เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 126 พวกเราร่วมมือกัน
ตอนที่ 126 พวกเราร่วมมือกัน
ตกเย็น วันที่สองของร้านอาหารร่ำรวยแย่กว่าวันแรกมาก ลูกค้าน้อยกว่า ส่วนข้าวผัดจักรพรรดิไม่ได้ทำออกมาสักจาน
หลังจากคิดบัญชีเสร็จในตอนเย็นแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็สั่งให้ทุกคนเลิกงาน แต่ตอนที่กำลังจะเลิกงาน เขาเห็นชายชราที่ติดค่าเหล้าเมื่อตอนกลางวันยืนเคาะประตูหน้าร้านสองที
ชายชราใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูมีเมตตาและเป็นมิตรเหมือนตอนกลางวัน แต่ตอนนี้เขามีกระเป๋าสะพายข้างเพิ่มมาหนึ่งใบ
“ท่านเจ้าของร้าน ฉันมาคืนค่าเหล้า”
พอพูดเช่นนี้ พนักงานสองสามคนต่างอึ้งไป หยางกังหัวเราะพูดว่า “อะไรนะ ท่านเจ้าของร้านเหรอ ฮ่าๆๆๆ ตาเฒ่าคุณมาจากราชวงศ์ชิงเหรอ”
ชายชราไม่โกรธ ยังคงหัวเราะเหมือนเดิม “เหอะๆ ใช่เถ้าแก่นั่นแหละ เถ้าแก่ ฉันสมองไม่ดี ชอบเรียกผิดตลอด”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ เดินเข้าไปข้างหน้า “ท่านผู้เฒ่า ไม่ต้องรีบครับ”
“ไม่ได้หรอก ดื่มเหล้าแล้วก็ต้องจ่ายเงิน”
ขณะพูด ชายชราหยิบเงินหนึ่งหยวนห้าใบออกมาจากกระเป๋ายื่นให้ซ่งจื่อเซวียน เอ่ยว่า “ท่านเจ้าของร้าน อ้อไม่ใช่ เถ้าแก่ ขอติดไว้หนึ่งหยวน แล้วขออีกแก้วได้ไหม”
เมื่อได้ยินดังนั้น หยางกังจึงส่ายหน้า “เฮ้อ คนดีคนนี้ผิดปกติตั้งแต่แรกแล้ว ยังมาขอค้างเงินติดๆ กันอีก”
“เขามาจ่ายเงินแล้ว อย่างน้อยก็มีความน่าเชื่อถือน่า” ฟางรุ่ยกล่าว
“แล้วแต่เลย ยังไงฉันก็ไม่ใช่เถ้าแก่อยู่แล้ว ตาแก่นี่ก็เก่งจริงๆ เวลาช่วงบ่ายนี่ไปเก็บกระเป๋าเก่าๆ มาจากไหนเนี่ย ฮ่าๆๆ”
หยางกังพูดจบ สายตาของซ่งจื่อเซวียนก็สังเกตไปที่กระเป๋าใบนั้นเช่นกัน เขาหรี่ตามองเล็กน้อย กระเป๋าใบนี้คุ้นตาเป็นอย่างมาก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
และด้านล่างกระเป๋าใบนั้นเหมือนจะมีอีกสองสามชั้น ดูแล้วคล้ายกับกระเป๋าเรียนที่ซ้อนทับอยู่ด้วยกัน แปลกมาก
เขารับเงินห้าหยวนมา ตอบยิ้มๆ ว่า “ได้ครับ ผมจะให้คุณอีกหนึ่งแก้ว แก้วนี้คุณไม่ต้องติดเงินก็ได้ ถือว่าขายเอากำไรเล็กน้อย สามหยวนหนึ่งแก้ว ห้าหยวนสองแก้ว”
เมื่อได้ยิน ชายชราจึงโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ได้ๆ คนละเรื่องกัน นายทำมาค้าขาย ฉันจะทำลายกฎของนายไม่ได้ ต้องจ่ายเท่าไรก็ต้องจ่ายเท่านั้น”
ซ่งจื่อเซวียนฟังแล้วรู้สึกสนุกดี วางเงินใส่กล่องเก็บเงิน จากนั้นสั่งฟางรุ่ยเอาเหล้ามาเสิร์ฟหนึ่งแก้ว ขณะเดียวกันก็กระซิบพูดข้างหูว่า “เอาเหล้าเอ้อร์กัวโถวมาให้เขา”
ฟางรุ่ยหัวเราะ เข้าใจความหมายของซ่งจื่อเซวียน ไม่ให้สุรากลั่นแก่ชายชรา แต่เปิดเอ้อร์กัวโถวขวดใหม่ แล้วรินให้ชายชราหนึ่งแก้ว
ซ่งจื่อเซวียนบอกคนอื่นให้เลิกงาน แล้วยื่นเหล้ากับถั่วลิสงให้ชายชราทันที เอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่า ไม่มีคนแล้ว คุณนั่งดื่มได้ครับ”
“เฮ้อ ไม่ได้หรอกๆ ฉันนั่งดื่มตรงมุมก็พอ พวกนายเพิ่งทำความสะอาด ฉันมาทำเลอะอีก แบบนั้นจะทำให้พวกนายยุ่งยากไม่ใช่เหรอ”
พอพูดจบ ซ่งจื่อเซวียน ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยก็อึ้งงันไป
เดิมทีรู้สึกสงสาร รู้สึกสนุก แต่ตอนนี้เกิดความรู้สึกเคารพเลื่อมใสขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แค่ความมีมารยาทนี้ของชายชรา ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้หาได้กี่คนกัน
ชายชรานั่งลงยองๆ ดื่มอยู่ที่มุม แล้วพูดว่า “หือ สี่สิบสองดีกรี ท่านเจ้าของร้าน นายให้ฉันผิดหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนชอบนั่งดื่มเหล้าไปเรื่อยๆ ชิมนิดเดียวก็รู้ว่าเป็นยี่ห้อไหนและมีกี่ดีกรี
“เหอะๆ เปลี่ยนตัวอื่นให้คุณดื่มบ้างไง” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ จริงๆ แล้วเขามองอกว่าชายชราอายุมากแล้ว ต้องดื่มสุรากลั่นในปริมาณน้อย
เอ้อร์กัวโถวถึงแม้จะไม่ใช่เหล้าดีอะไร แต่อย่างน้อยก็มียี่ห้อ ดื่มแล้วจะไม่ทรมานมาก
“เหอะๆ ท่านเจ้าของร้านนายก็พิถีพิถันนะ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านายยังหนุ่มขนาดนี้ แต่กลับเป็นคนใจกว้างมาก” ชายชรากล่าว
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพลางเดินเข้าไป นั่งลงยองๆ ตรงหน้าชายชรา เอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่า เป็นเพราะคุณเข้าใจกฎเกณฑ์ครับ”
“หืม” ชายชรางงงัน
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่ครับ คุณพูดตลอดว่าจะทำลายกฎไม่ได้ ไม่ควรสร้างความยุ่งยากให้พวกเรา จริงๆ แล้วเป็นเพราะกฎของคุณ ติดเงินตอนกลางวันเอามาคืนตอนเย็น นี่คือทำอะไรอย่างมีกฎเกณฑ์ ไม่สร้างความวุ่นวายให้พวกเรา นั่งลองยองๆ ดื่มเหล้า การเป็นคนก็ต้องมีกฎเกณฑ์เช่นกัน”
ชายชราได้ยินแล้วจึงหัวเราะ วางแก้วเหล้าแล้วกำหมัดคำนับให้ซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนรีบกำหมัดคำนับคืนทันที หัวเราะพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าดื่มเลยครับ จะว่าไปแล้ว ผมเห็นกระเป๋าใบนี้ของคุณ…รู้สึกว่ามันคุ้นมาก”
“แค่กระเป๋าเก่าๆ น่ะ เก็บได้ตอนบ่าย อยู่ตรง…ข้างถังขยะริมถนน”
ได้ยินชายชราพูดเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่พูดอะไรอีก และได้แต่หัวเราะ
ทันใดนั้นเขาจึงลุกขึ้นเดินไปที่เคาน์เตอร์ เอ่ยว่า “อ้อใช่ท่านผู้เฒ่า วันหลังถ้าอยากดื่มเหล้าอีกก็มาได้เลยนะครับ ผมยอมให้ติดเงินตามสบาย จะจ่ายเมื่อไรแล้วแต่คุณสะดวกครับ”
“อ๋า จริงเหรอ ติดเงินได้ตลอดใช่ไหม” ชายชราแสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาทันที
ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้าหัวเราะเอ่ยว่า “คนอื่นทำไม่ได้ แต่คุณทำได้ครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราจึงมีสีหน้าดีใจ กล่าวว่า “อย่างนั้นฉันขอขอบคุณท่านเจ้าของร้านด้วยนะ”
เขาเพิ่งดื่มไปหนึ่งอึก แต่ยังไม่วางใจ จึงพูดอีกว่า “อ้อใช่ท่านเจ้าของร้าน นายวางใจได้ ฉันจะต้องจ่ายเงินแน่นอน เอ้า จ่ายแน่นอน!”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ ไม่พูดอะไรอีก
พอดื่มเหล้าหมดแล้ว ชายชราก็เดินออกไป ซางเทียนซั่วจึงพูดว่า “อาจารย์ ทำไมล่ะครับ ผมไม่เข้าใจ อาจารย์ยกให้เขาเป็นกรณีพิเศษ หรือว่าต่อไปพอเจอชายชราพวกเราก็ต้องสงเคราะห์ให้เขาเหรอ”
“เหอะๆ สงเคราะห์อะไร ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ข้าวผัดจักรพรรดิจะต้องกลับมารุ่งอีกครั้ง ต้นทุนแค่นี้ไม่เป็นไร อีกอย่างชายชราคนนี้…เทียนซั่ว นายไม่เห็นอะไรบ้างเหรอ”
“หืม เห็นอะไรครับ ก็คนชอบดื่มเหล้าเท่านั้นนี่” ซางเทียนซั่วกล่าว
“ฉันไม่ได้พูดถึงที่เขาดื่มเหล้า แต่เป็นกระเป๋าที่อยู่บนตัวเขาต่างหาก”
“กระเป๋าเหรอ ผมไม่ได้สังเกต อ้อใช่ เมื่อกี้ที่อาจารย์ถามเขา หมายความว่าอะไรครับ”
ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยยิ้มๆ “นายลองคิดดู กระเป๋าใบนี้พวกเราเคยเจอที่ไหน”
ซางเทียนซั่วพยายามคิด แต่ก็ยังส่ายหน้า “จำไม่ได้ครับ กระเป๋าสกปรกนั่นเคยเจอที่ไหนล่ะ อย่างมากสุดก็เคยเห็นแถวถังขยะ เหมือนที่เขาพูด ต้องเก็บมาจากถังขยะแน่นอน”
“ไอ้หยา นายลองคิดดูอีกทีสิ กระเป๋าที่อยู่กับเสี่ยวเป่าไง”
“กู่เสี่ยวเป่า? เด็กขอทานนั่นน่ะเหรอ”
“นึกอะไรได้อีก”
ซางเทียนซั่วคิด ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ เบิกโต แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา “แม่ง ไม่ใช่มั้ง…แก๊งขอทาน”
“ฉันก็เดาว่าเป็นแบบนั้น เมื่อก่อนเสี่ยวเป่ามักจะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ เมื่อกี้ชายชราคนนั้นก็เหมือนกัน ฉันถามถึงกระเป๋าเขาก็รีบเอาไปหลบข้างหลัง ฉันรู้สึกว่าต้องมีอะไรอยู่ในนั้นแน่นอน” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“งั้นก็ง่ายมากครับ ครั้งหน้าถ้าเขามาดื่มเหล้าอีก ผมจะถามเขาเอง อาจารย์ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ถึงวิธีการถามของผม!”
“ไสหัวไปเลย ฉันจะบอกนายให้นะ ถ้านายกล้าลงมือกับท่านผู้เฒ่า อย่างนั้นคือไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ต่อไปอย่าโทษถ้าฉันจะทำเป็นไม่รู้จักนายอีก!” ซ่งจื่อเซวียนพูดจริงจัง
ซางเทียนซั่วเอามือป้องปากหัวเราะ “ล้อเล่นครับ รู้ว่าอาจารย์จิตใจดี ผมก็ไม่ใช่นักเลงเสียหน่อย ไม่ทำหรอกครับ”
ฟางรุ่ยพยักหน้า “นายท่านรอง คุณพิถีพิถันจริงๆ ผมรุ่ยจื่อเลือกไม่ผิดที่อยู่กับคุณ!”
หลังจากพวกเขาสามคนออกจากร้านแล้ว เพิ่งจะล็อกประตู ก็เห็นรถเจ็ดที่นั่งจอดอยู่ริมถนนกะพริบไฟหน้ารถมาที่พวกเขา
ซ่งจื่อเซวียนเดินไปที่รถคันนั้น เห็นประตูรถเลื่อนออก ผู้ชายใส่เสื้อกระดุมถักสีดำแบบราชวงศ์ถังคนหนึ่งเดินลงมา
ถึงแม้แสงข้างนอกจะน้อยมาก และยังเป็นการย้อนแสง ทว่าดูจากร่างกายและลักษณะทรงผมที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ซ่งจื่อเซวียนมองปราดเดียวก็จำได้ว่าเป็นเคอหงเทา
“น้องซ่ง พอมีเวลาคุยกันไหม”
ซ่งจื่อเซวียนมองเคอหงเทา เอ่ยว่า “ระหว่างเรายังมีอะไรต้องพูดกันอีกเหรอ”
ถ้าหากเป็นช่วงปกติ มีคนกล้าพูดแบบนี้กับเคอหงเทา ต้าลี่คงจัดการไปนานแล้ว แต่วันนี้เขาไม่ทำ
หลังจากผ่านเรื่องราวครั้งที่แล้ว ซ่งจื่อเซวียนถือว่ามีบุญคุณไม่ฆ่าเขา เรื่องนี้เขายังจำขึ้นใจ
เคอหงเทามองฟางรุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มพลางพูดว่า “นายมีฟางรุ่ยอยู่ข้างกาย ยังจะกลัวฉันอีกเหรอ”
“กลัวเหรอ ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่ว่า…ไม่ค่อยอยากคุณกับคุณก็เท่านั้น” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
เคอหงเทาหัวเราะ เดินไปข้างหน้าตบแขนซ่งจื่อเซวียนเบาๆ “โอเค เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ วันนี้พี่ชายมาหานายเพราะมีธุระจริงๆ”
“ฉันกล้ามาถึงเขตเฉิงตง นายกลัวที่จะกลับไปเขตเฉิงซีกับฉันหรือเปล่า”
“ยังไงก็ได้ ยังไงผมก็พักอยู่ที่เขตเฉิงซีอยู่แล้ว แต่อย่าไกลมากเกินไป” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“อย่างนั้นก็แถวหน้าบ้านของนาย พูดสักประโยคสองประโยคนายจะได้กลับบ้านสะดวก”
รถขับไปยังเขตเฉิงซี ซึ่งเป็นถิ่นของเคอซาน หาสถานที่ดื่มน้ำชาพูดคุยกันในแถบนี้ถือเป็นเรื่องง่ายดายนัก
เขาโทรไปจองห้องส่วนตัวกับร้านน้ำชา ถึงแม้ใกล้จะปิดร้านแล้ว แต่พอได้ยินว่าเสี่ยซานจะมา จึงเหลือห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดไว้ให้เขา
ภายในห้องส่วนตัว เคอหงเทาจัดวางเครื่องชงชา ถึงแม้ซ่งจื่อเซวียนจะเข้าใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ช่วย
ทว่าท่าทางของเคอหงเทาดูคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก แต่ละขั้นตอนล้วนถูกต้อง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านักเลงหัวล้านคนนี้จะรู้จักวิธีชงชา
“น้องชาย ฉันดื่มชาตลอด แต่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ก่อนหน้านี้พวกเถ้าแก่บอกกับฉันว่าชาแดงล็อตนี้ดีมาก เลยเอามาให้พวกเราชิมพอดี”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เสี่ยซานเกรงใจไปแล้ว คุณไม่เข้าใจเรื่องชา แต่วิธีการชงชากลับคล่องแคล่วมาก”
“เหอะๆ เรียนเอาน่ะ นายไม่เข้าใจ วงการใต้ดิน..พอถึงระดับหนึ่ง ก็ต้องเป็นสุภาพบุรุษ อยู่กับพวกเขาต่อให้จะทำไม่เป็นแต่ก็ต้องคอยมองอยู่ทุกวัน วันไหนที่ฉันได้เป็นเจ้าบ้าน ถ้าไม่มีมาดเลยคงเสียหน้าใช่ไหมล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนแอบพยักหน้า ดูเหมือนจะเป็นแบบนี้จริง มีเจ้าพ่อในวงการใต้ดินคนไหนที่ไม่แสดงความสง่าสุภาพมีมารยาทออกมาในตอนสุดท้ายกันล่ะ
ลำพังแค่จุดนี้ เฉิงปากับเคอซานไม่สามารถเทียบกันได้ อย่างน้อยเคอซานไม่เข้าใจก็เรียน แต่เฉิงปา…ยอมที่จะอยู่แบบเดิมจริงๆ ถึงแม้จะเป็นตอนนี้ ก็ยังฝากฝังอนาคตไว้ที่ตัวของซ่งจื่อเซวียน
เมื่อชงชาเสร็จแล้ว เคอซานก็หันไปมอง “ต้าลี่!”
ต้าลี่เข้าใจทันทีจึงเดินออกไป เมื่อเห็นดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ย
ถึงแม้จะกังวลอยู่บ้าง แต่พอลองพิจารณาดูแล้วที่นี่มีเพียงเคอซานคนเดียว เขาสองคนสามารถเดินออกไปได้
เห็นคนออกไปแล้ว เคอหงเทาจึงพูดว่า “น้องชาย จริงๆ แล้ว…ที่ผ่านมาฉันทำไม่ถูก วันนี้พี่ชาย อยากขอโทษนายน่ะ”
“เสี่ยซานไม่ต้องครับ ผมซ่งจื่อเซวียนคงรับไม่ไหว!”
เคอหงเทาได้ยินแล้วจึงหัวเราะ ยื่นถ้วยน้ำชาออกไป “จริงๆ แล้ว ตอนนี้ฉันรู้จุดประสงค์ที่นายกับเฉิงปาร่วมมือกันแล้ว”
“โอ้ว เหอะๆ น่าสนใจครับ อย่างนั้นเสี่ยซานลองพูดดูครับ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้
“ฮ่าๆๆ ฉันเป็นคนตรงๆ ไม่พูดอ้อมค้อม น้องชาย พวกเราร่วมมือกันเถอะ นายว่ายังไง”
ซ่งจื่อเซวียนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา
“เสี่ยซาน คุณพูดแบบนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจครับ คุณพูดว่าร่วมมือกัน…”
“นายกับเฉิงปาร่วมมือกันยังไง พวกเราก็ร่วมมือกันแบบนั้น แบ่งกำไรเท่าไรนายเป็นคนกำหนด!” เคอหงเทาพูดด้วยสีหน้าจริงใจ
………………………………………………………..