เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 125 ปฏิบัติตัวให้ดีก่อนทำงาน
ตอนที่ 125 ปฏิบัติตัวให้ดีก่อนทำงาน
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนส่งเหล้าให้ ชายชราก็รีบรับไปด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณ ขอบคุณน้องชาย ตาแก่อย่างฉันนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ บางครั้งฉันอดข้าวหลายมื้อก็ยังได้ แต่เหล้าจิบหนึ่งนี่…เฮ้อ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็คลี่ยิ้ม “ไม่เป็นไร คุณเหมือนปู่ของผมเปี๊ยบเลย ถ้าไม่ได้แตะเหล้ามื้อหนึ่งก็ว้าวุ่น ช่างเถอะ คุณเข้ามาดื่มก่อน นี่มันฤดูหนาวเหน็บ ข้างนอกเย็นนะ”
พูดจบ เขาก็หันหน้าไปเอ่ยสั่ง “เทียนซั่ว จัดถั่วลิสงมาหน่อย”
ซางเทียนซั่วนำจานถั่วลิสงมาวางบนโต๊ะ สุดท้ายชายชราก็กินคนเดียว จึงไม่ได้เตรียมมามากนัก มากสุดก็เพียงยี่สิบกว่าเม็ดเท่านั้น
“น้อยไปมั้ง เอาเพิ่มมาอีก” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“ไม่ๆๆ น้องชาย พอแล้ว นี่ก็พอแล้วล่ะ”
ชายชราเดินไปที่โต๊ะ หยิบถั่วลิสงขึ้นมาแล้วเดินตรงไปที่มุมห้อง นั่งยองแล้วจิบหนึ่งอึก จากนั้นก็วางถั่วลิสงลงบนพื้นแล้วคว้าเอาเข้าปากสองเม็ด
เมื่อเห็นอย่างนั้น หยางกังพนักงานเสิร์ฟก็หัวเราะคิกคัก “เหอะๆ ขอทานยังไงก็เป็นขอทานล่ะนะ เอามาให้บนโต๊ะ เขาก็ยังจะกินบนพื้น น่าสมเพช!”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวช้าๆ “พอเถอะหยางกัง หยุดพูดแล้วไปทำงานของนายซะ”
เมื่อเห็นชายชรานั่งกินยองๆ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่คะยั้นคะยออีก ซางเทียนซั่วเอ่ย “อาจารย์ นี่มันเรื่องอะไรกัน วันนี้เราบริจาคเหล้าเหรอ”
“เหอะๆ แค่เหล้าหนึ่งจิบ ขายสามหยวน นายว่าต้นทุนเท่าไรล่ะ แล้วข้าวผัดจักรพรรดิจานหนึ่งราคาเท่าไร หาเงินได้มากขนาดนั้นจะบริจาคหน่อยเดียวไม่ได้เหรอ”
ซางเทียนซั่วพยักหน้าพลางยิ้ม “คำพูดนี้ไม่ผิด แต่…”
“คืองี้นายท่านรอง อันที่จริงเราไม่ควรฝ่าฝืนกฎนี้ มาคุยเรื่องการติดบัญชีของเขากันก่อน ตอนนี้ร้านอาหารที่ไหนจะให้ติดบัญชี แม้แต่ข้าวถ้วยเดียวก็ไม่ได้นะ นอกจากนี้คุณดูเสื้อผ้าทั้งตัวเขาสิ สภาพนี้ใครยังกล้าให้เขาเข้ามากินข้าวกัน” หยางกังที่อยู่ด้านข้างเข้ามาร่วมวงด้วย
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย “เอาล่ะ เอาอย่างนี้ หยุดทำทุกอย่างก่อนแล้วพวกนายมานั่งคุยกันตรงนี้ มาเลย รุ่ยจื่อ นายก็มาด้วย”
หลายคนนั่งที่โต๊ะ ซ่งจื่อเซวียนจึงกล่าวว่า “พวกนายดูสิ เราไม่คิดเงินสำหรับเหล้าจิบนี้ แต่หัวใจของผู้เฒ่าคนนั้นถือว่าได้รับความอบอุ่นแล้ว ในฤดูหนาวเหน็บนี้ ถ้าให้คนดื่มข้างนอกและไม่ให้เข้าข้างใน นี่เรียกว่าการหาเงิน แต่จะไม่เรียกว่าการซื้อขาย”
“นายท่านรอง ถ้างั้นการซื้อขายคืออะไรเหรอ”
“ซื้อขายเหรอ เหอะๆ จะพูดความต่างของการซื้อขายนี้ยังไงดี การซื้อและการขายย่อมต้องได้รับผลกำไร นี่คือสัจธรรมและแบบแผน แต่การซื้อขายนี้จะยิ่งใหญ่แค่ไหนและนานเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับฝีมือและจิตใจที่ดีงาม วันนี้ถ้าเราไล่ผู้เฒ่าออกไป นั่นเรียกว่าใจร้าย”
ซ่งจื่อเซวียนพูดแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมา ฟางรุ่ยเข้ามาใกล้ด้านหน้าก่อนรีบจุดให้แล้วเขาก็พูดต่อ “ที่พวกเราทำอาชีพนี้อยู่ตอนนี้ แสดงให้เห็นว่าครอบครัวเราล้วนไม่ได้คาบช้อนทองมาเกิด รวมถึงฉันด้วย ตอนนี้ยังอาศัยในห้องเล็กๆ กับแม่และพี่สาวอยู่เลย ทุกคนเป็นคนจนกันทั้งนั้น ถ้าไม่ช่วยคนจนด้วยกันเอง รอให้สักวันหนึ่งถูกคนรังแกแล้วใครล่ะจะช่วยนาย”
พูดประโยคนี้จบ หยางกังที่อยู่ด้านข้างก็เป็นใบ้ไปแล้ว พนักงานคนอื่นๆ ก็เช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่ซ่งจื่อเซวียนพูดแทงใจพวกเขา นั่นคือ…ทุกคนเป็นคนจน
ถูกต้องแล้ว ทายาทเศรษฐีรุ่นที่สองใครจะออกมาทำงานเป็นพนักงานกัน
“อาจารย์ ผมเข้าใจแล้ว สิ่งที่อาจารย์ทำไม่ใช่ธุรกิจ แต่คือการปฏิบัติตัว ถ้าปฏิบัติตัวดีไม่ได้ ถึงธุรกิจจะใหญ่เพียงไหนก็ไร้ค่า!” ซางเทียนซั่วกล่าว
ฟางรุ่ยพยักหน้ากล่าว “ใช่แล้ว นายท่านรองพูดถูก ถ้าเราไล่ตะเพิดผู้เฒ่าออกไปจริงๆ นั่นมันไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้ม “พวกนายคิดดู ถ้าวันหนึ่งร้านอาหารร่ำรวยของเราเติบโตขึ้น และสื่อรายงานว่าครั้งหนึ่งเราเคยไล่คนแก่ออกจากร้านอาหารในฤดูที่หนาวเหน็บ อย่างนั้นมันจะเป็นยังไงล่ะ ร้านของเราจะไม่จบเห่เหรอ ดังนั้นทำงานต้องให้เรียบร้อยสมบูรณ์ ปฏิบัติตัวต้องชอบธรรม คนน่ะ…เมื่อมีความชอบธรรมแล้วก็ไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด!”
หลายคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ส่วนชายชรากำลังดื่มอยู่ตรงมุมห้อง แต่เขากลับได้ยินคำพูดเหล่านี้ทั้งหมด
เขาระบายยิ้มเล็กน้อยและยัดถั่วลิสงเข้าปาก
………………………….
ตึกจวี้เฟิงย่านใจกลางเมืองธุรกิจ ตึกสูงสิบเจ็ดชั้น ว่ากันว่าเจ้าของโครงการเชื่อเรื่องโชคลาง ดังนั้นจึงไม่เคยสร้างตึกที่สูงกว่าสิบเจ็ดชั้น เชื่อว่าสิบแปดชั้นคือข้อต้องห้าม
ชั้นแรกของตึกมีร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตมากมาย ถัดจากนั้นขึ้นไปเป็นสำนักงาน หลายบริษัททำงานอยู่ที่นี่ และชั้นสิบเอ็ดถึงสิบเจ็ดเป็นบริษัทเดียวกันคือบริษัทโอชาหารจำกัด
การออกแบบชั้นที่สิบหกแตกต่างจากชั้นอื่นโดยสิ้นเชิง ไม่มีบรรยากาศของสำนักงานในโทนสีอ่อนที่ทันสมัย แต่ทั้งชั้นเป็นสีแดงมะฮอกกานี
เมื่อก้าวออกจากลิฟต์ พื้นกระเบื้องเคลือบจากชั้นอื่นก็เปลี่ยนเป็นพื้นไม้จริง ทางเดินทั้งสองด้านปูด้วยไม้แดงและมีม้านั่งยาวเหมือนกับลานของคฤหาสน์โบราณ
ผนังสีขาวไม่ได้ตกแต่งมากเกินความจำเป็น ประตูสำนักงานทั้งหมดทำจากไม้แดงโบราณ ถึงแม้จะไม่ได้ทำจากไม้ล้ำค่าแต่เมื่อมองดูก็สง่างามอย่างแน่นอน
ทุกๆ สองสามก้าวในทางเดินจะมีต้นไม้แคระ บางกระถางงอกงามเขียวชอุ่มจนไต่ขึ้นไปตามทางเดิน และเชื่อมต่อกับกิ่งก้านอื่นๆ มีความเป็นธรรมชาติจนยากจะจินตนาการว่านี่คือตึกสำนักงานสมัยใหม่
ภายในสำนักงานมีขนาดใหญ่ ไม่ว่าโต๊ะ เก้าอี้หรือโซฟาทั้งหมดล้วนทำขึ้นจากไม้แดง มีชาเขียวสองถ้วยอยู่บนโต๊ะกาแฟ ยังมีไอร้อนอยู่ ทำให้กลิ่นหอมของชาตลบอบอวลไปทั่วทั้งสำนักงาน
หน้าโต๊ะทำงานมีเก้าอี้แขนโค้งตัวหนึ่ง มีสีม่วงทั้งตัว สะท้อนแสงแวววับ ไม่รู้ว่าสะสมมากี่ปีถึงมีคราบหนาและธรรมชาติขนาดนี้ คนที่นั่งเก้าอี้ตัวนี้ได้ต้องเป็นพวกชนชั้นสูงอยู่แล้ว
หวงฟานั่งที่หน้าโต๊ะ เคาะโต๊ะเบาๆ ด้วยไฟแช็ก หรี่ตาลงเล็กน้อยและไม่พูดอะไรสักคำ
เคอหงเทาที่นั่งอยู่บนโซฟาไม่กล้าพูดเป็นธรรมดา นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่มาห้องทำงานหวงฟาและเกร็งจนไม่กล้าหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบด้วยซ้ำ
ในทางกลับกันคุณเถียนที่อยู่ด้านข้างกล่าวว่า “เสี่ยซาน คุณไม่ต้องเกร็ง จิบชาก่อนสักหน่อย”
“ใช่ๆ ชานี้ดี กลิ่นหอมจริงๆ” เคอหงเทาพูดอย่างกระอักกระอ่วน เหลือบมองหวงฟาอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ
“เสี่ยซาน นายรู้ไหมว่าฉันตามนายมาเพราะเรื่องอะไร” หวงฟากล่าวอย่างช้าๆ
เคอหงเทาวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ย “เสี่ยครับ โปรดแจ้งให้รู้ชัด”
“เรื่องบันทึกหย่งซั่นเป็นยังไงบ้าง”
“เรื่องนี้…จัดการยากนิดหน่อย คุณให้ผมเอามีดจี้คอคนรอบตัวซ่งจื่อเซวียน ผมตรวจสอบแล้ว พบว่าไอ้เด็กนี่เป็นลูกกตัญญู ปกติเชื่อฟังแค่แม่เขาเท่านั้น แต่บ้านพวกเขาอยู่ใกล้สถานีตำรวจ เสี่ยครับ ลงมือไม่ง่ายเลย”
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ เสี่ยหวงก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “เสี่ยซานเอ๋ย เสี่ยซาน นายอยากให้ฉันพูดว่านายมีดีอะไรไหม นายฉลาดมาทั้งชีวิต แต่ก็มีช่วงที่โง่เขลา”
“หา เสี่ยหวง ที่คุณพูด…ผมไม่ค่อยเข้าใจครับ”
“ไม่เข้าใจเหรอ เหอะๆ งั้นฉันจะพูดให้ชัดเจนขึ้น เสี่ยซาน นายเป็นคนฉลาด นายคงไม่ต้อง…ให้ฉันพูดเป็นครั้งที่สองหรอกจริงไหม”
เคอซานรู้สึกเหงื่อไหลลงหลังเมื่อได้ยิน เคอซานจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เขาแค่แกล้งโง่กับเสี่ยหวงเท่านั้น
เสี่ยหวงบอกว่าเอามีดจี้คอ แน่นอนว่าไม่ใช่ให้เขาถือมีดจริงๆ แต่ให้เริ่มลงมือจัดการคนรอบตัวซ่งจื่อเซวียน ไม่ว่าจะเป็นแม่หรือเพื่อนของเขา ขอแค่ให้ผลประโยชน์เล็กน้อยแล้วปล่อยให้พวกเขาเป่าหูซ่งจื่อเซวียน เรื่องนี้ก็จะคลี่คลาย
แต่เคอซานไม่ได้โง่ ตอนนี้เขาได้เป่าหูไปจริงๆ แล้ว เรื่องดีๆ เหล่านั้นเสี่ยหวงจะได้รับผลประโยชน์ไปหมด ตอนนี้เขาแค่ถ่วงเวลาเท่านั้น
เขายังคิดวิธีการที่จะได้บันทึกหย่งซั่นมาอยู่ แต่เสี่ยหวงยังบีบบังคับเขาตลอด เขาจึงทำได้เพียงหาทางยื้อเอาไว้
ทว่าตอนนี้หวงฟาบอกว่านายเป็นคนฉลาดแสดงว่าถูกเขามองออกแล้ว ในใจของเคอหงเทาก็เริ่มรู้สึกตื่นตระหนกเป็นธรรมดา
“เสี่ยซาน เอาอย่างนี้เถอะ ช่วงนี้ฉันวางแผนหาเรื่องให้เฉิงปาวุ่นใจ นายช่วยจัดการเรื่องนี้ได้ไหม” หวงฟากล่าว
“เสี่ยสั่งมาได้เลยครับ”
“เรียกพี่น้องจำนวนหนึ่งมาแล้วไปสนับสนุนร้านเขา ส่วนจะสนับสนุนมากแค่ไหน…ขึ้นอยู่กับฝีมือของนาย”
เคอซานพยักหน้าเล็กน้อย กล้าพนันได้เลยว่าเสี่ยหวงกำลังก่อเรื่องวุ่นวาย เหอะๆ คาดไม่ถึงว่าฉันจะประเมินไอคิวหวงฟาสูงเกินไป ก่อเรื่องแบบนี้ดูจะต่ำเกินไปหน่อย
“เรื่องนี้จัดการง่าย คุณไม่ต้องกังวล ผมจัดการเอง”
หวงฟาพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น…ช่วงที่เกิดเรื่อง หญิงชราของตระกูลซ่งคงจะอยู่ในบ้านแน่ใช่ไหม เสี่ยซาน งั้นรบกวนนายไปเยี่ยมดูสักหน่อย นั่นก็คือ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หวงฟาก็หยุดชั่วขณะและขมวดคิ้วเล็กน้อย “นั่นก็คือถ้าหญิงชราคนนั้นต้องการอะไรก็ให้ไป ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือรถ แม้กระทั่งบ้าน ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นบัญชีของฉัน หวงฟาคนนี้”
เคอหงเทาได้ยินก็เบิกตากว้างและพยักหน้า “เยี่ยมครับเสี่ย ผมเข้าใจที่คุณจะสื่อแล้ว ก่อเรื่องให้เฉิงปาเห็น และให้ซ่งจื่อเซวียนเดือดร้อน จากนั้นเราก็จัดการหญิงชราของตระกูลซ่ง จากนั้นหาทางใช้เวลาที่มีให้เป็นประโยชน์ เปิดไพ่ตายกับซ่งจื่อเซวียน!”
“ฮ่าๆๆ ฉันว่าแล้ว…เสี่ยซานเป็นคนฉลาด”
“เอาล่ะครับ คุณมั่นใจได้เลย เรื่องนี้ปล่อยให้ผมจัดการเอง” เคอหงเทาพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากพูดคุยกันอีกสักพัก เคอหงเทาก็จากไป เถียนเหวินคุ่ยเอ่ย “เสี่ยหวง เสี่ยเคอซานคนนี้เป็นพยาธิตัวกลมในท้องของคุณจริงๆ เลยครับ เขารู้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ”
หวงฟาเหลือบมองไปที่เถียนเหวินคุ่ยแวบหนึ่ง และแค่นหัวเราะเบาๆ “เหวินคุ่ยเอ๊ย นายแกล้งโง่เป็นแล้วได้ยังไง เคอซานไม่เข้าใจ นายก็ยังไม่เข้าใจด้วยเหรอ”
เถียนเหวินคุ่ยดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม และไม่ได้พูดอะไรสักคำ
“เอาอย่างนี้ จับตาดูเคอซานวันที่เขาก่อเรื่อง แล้วหาหนึ่งศพให้ฉันในคืนนั้นด้วย”
“ศพเหรอครับ” ได้ยินประโยคนี้ เถียนเหวินคุ่ยก็อึ้งจริงๆ เขาเข้าใจสิ่งที่หวงฟาและเคอหงเทาพูดเมื่อสักครู่ แต่อย่างไรเขาก็คิดไม่ออกว่าการเคลื่อนไหวนี้ของหวงฟาหมายถึงอะไร
“ถูกต้อง จะตามหามาหรือลงมือฆ่าเองก็ได้ ฉันอยากได้ศพหนึ่งที่ตายมาแล้วไม่เกินหนึ่งวัน” หวงฟาพูดพร้อมกับดับบุหรี่ในมือ “จากนั้นให้เคอซานมาพักที่นี่ในคืนนั้น ถ้าไม่มีคำสั่งฉัน เขาก็ออกไปไม่ได้”
แม้ว่าเถียนเหวินคุ่ยจะไม่เข้าใจความหมายของหวงฟา แต่เขาก็ยังพยักหน้า “รับทราบครับ ผมขอตัวไปจัดการก่อน”
เมื่อเดินออกจากตึกจวี้เฟิง เคอหงเทารู้สึกว่าแผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มไปหมด และเมื่อถูกลมหนาวปะทะอีกรอบ เขาก็หนาวจนตัวสั่นระริก
เมื่อขึ้นรถ เขาก็เอ่ย “ต้าลี่ พรุ่งนี้ให้ฉินซินเจี๋ยโผล่หัวมาหาฉัน ฉันมีธุระกับเขา”
“ครับเสี่ย” ต้าลี่พูดแล้วก็หันกลับไปมองแวบหนึ่ง “เสี่ยเป็นอะไรไปครับ ผมเปียกไปหมดเลย”
เคอหงเทาสูดหายใจเข้าลึกๆ “อย่าถาม คราวนี้ไปเขตเฉิงตง ก็คือ เอ่อ…ร้านอาหารร่ำรวย ยังจำทางได้ไหม”
“วางใจเถอะ ผมจำได้ครับ”
ต้าลี่เหยียบคันเร่ง รถก็เคลื่อนไปจากหน้าตึกจวี้เฟิง
เมื่อมองลงมาจากชั้นที่สิบหกของตึก หวงฟาสูบซิการ์ในมือและเผยรอยยิ้มชวนคิด
“เคอซานหนอเคอซาน ความทะเยอทะยานของนายมีไม่น้อยเลยจริงๆ ฉันอยากจะรู้ว่าเราสองคนใครจะได้บันทึกหย่งซั่นก่อนกัน!”
ขณะที่พูดเขาก็หักซิการ์ในมือ ใบยาสูบยังมีขี้เถ้า กระทั่งประกายไฟก็ยังกำไว้ในมือ!
…………………………………………..