เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 124 ข้อยกเว้น
ตอนที่ 124 ข้อยกเว้น
ภายในห้องยามค่ำคืน ไม่รู้ว่าซ่งอวิ๋นฮั่นและซ่งจื่อเซวียนพูดคุยกันนานแค่ไหน ถึงขั้นที่ลืมเวลาไปแล้วด้วยซ้ำ
ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองผ่อนคลายกว่าครั้งที่แล้วมาก ไม่เพียงแต่มีความอึดอัดน้อยลงเท่านั้น แต่ในห้องยังมีเสียงหัวเราะหลายครั้งอีกด้วย
“จื่อเซวียนเอ๋ย ฉันมีความสุขมากที่เห็นแกเป็นแบบนี้ แกโตขึ้นแล้วจริงๆ” ซ่งอวิ๋นฮั่นกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนถือโอกาสหยิบขวดน้ำแร่ขึ้นมาจิบหนึ่งอึกแล้วกล่าว “ไม่มีทางเลือกนี่นา ถูกสถานการณ์บังคับ ถ้าผมไม่เป็นแบบนี้แล้วแม่จะทำยังไงเล่า”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “ลำบากแกแล้วเจ้าหนู แต่ตอนนี้แกยอดเยี่ยมมาก ฉันชื่นใจมากจริงๆ”
“ผมก็ชื่นใจเหมือนกัน อย่างน้อยตอนนี้ผมก็กินอิ่ม แม่ก็ไม่ต้องทำงานอีกแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูดพร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู “เที่ยงคืนกว่าแล้ว ผมรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณหรือเปล่า”
ซ่งอวิ๋นฮั่นยิ้มและส่ายหัว “แกอยู่ที่นี่ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ นั่งอีกสักหน่อยเถอะ ฉันจะให้เจิ้งอวี่ไปส่งแก”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไร ถือว่าเขายินยอมโดยปริยาย
“หวงฟาคนนั้น…จื่อเซวียน แกมีแผนยังไง” ซ่งอวิ๋นฮั่นเอ่ยถาม
“เหอะๆ ทุกอย่างต้องเอาเรื่องเงินมาพูด ถ้าผมรวยกว่าหวงฟาก็ยังไม่แน่ว่าใครจะเป็นผู้ที่นั่งเก้าอี้สูงสุดในวงการอาหารเมืองตู้เหมิน” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเบาๆ
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นความมั่นใจของซ่งจื่อเซวียน ดูเหมือนว่าเขาจะมองเห็นตัวเองที่อยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว ราวกับว่าอะไรๆ ก็ไม่ได้อยู่ในสายตา
“มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ทรัพย์สินเงินทองของหวงฟาไม่ใช่แบบที่แกจินตนาการไว้ และนอกจากเรื่องเงินแล้ว การตั้งหลักในยุทธภพนี้ยังต้องมีเส้นสาย ซึ่งก็คือคอนเนกชั่น จื่อเซวียน แกต้องสร้างมันขึ้นมา”
“คอนเนกชั่น คุณหมายถึงความสัมพันธ์กับทางภาครัฐเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“มีทั้งทางภาครัฐและส่วนตัว อย่างทางภาครัฐ เขาคุ้นเคยกับกระทรวงสาธารณสุขเป็นอย่างดี และคนจากสมาคมอาหารก็ไว้หน้าเขาด้วย ทางส่วนตัวนั้น…สถานะของเขาในวงการใต้ดินตู้เหมินนั้นอยู่เหนือกว่าเคอซานและเฉิงปาที่แกเอ่ยถึง ตอนที่อยู่ปักกิ่งฉันเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อน”
ซ่งอวิ๋นฮั่นกล่าวพร้อมกับจุดบุหรี่อีกมวน ดูเหมือนว่าที่ลูกชายมาวันนี้ เขาจะปล่อยตัวปล่อยใจด้วย
“นี่ก็จริง…แต่ตอนนี้เราอยู่ในบ้านเมืองมีขื่อมีแปแล้ว พวกเขายังกล้าทำสุ่มสี่สุ่มห้าอีกเหรอ”
“ฮ่าๆๆ แกน่ะนะยังอ่อนเกินไป แต่ฉันบอกแกตอนนี้ ก็ดีกว่าเจออุปสรรคในภายหลัง”
“หา พูดๆ มาสิ คุณบอกผมอีกสิ” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
แม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับ แต่สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็คือพ่อแท้ๆ นิสัยไม่เกรงใจนี้สะท้อนให้เห็นในตัวซ่งจื่อเซวียนเช่นกัน
“ถ้าหวงฟาจะก่อเรื่องบางอย่างจริงๆ ฉันคิดว่าเขาทำได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ อย่างแน่นอน และด้วยสถานะของเขา แม้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็จะต้องมีแพะรับผิดแทนเขาเป็นแน่”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจประโยคนี้ ในวงการใต้ดิน มีเจ้าพ่อคนไหนบ้างที่ก่อเรื่องแล้วจะไม่ให้ลูกน้องไปเป็นแพะ และบางครั้งแม้ว่าภาครัฐจะรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็จะไม่สืบสาวราวเรื่อง อย่างไรคอนเนกชั่นในนี้ก็ซับซ้อนเหลือเกิน
“ดังนั้น ในแง่ส่วนตัวแล้ว เขามีตัวแทนที่จัดการธุระต่างๆ ให้ และมีคนที่เป็นแพะให้เขา พูดง่ายๆ ก็คือลูกน้อง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่ ผมเข้าใจจุดนี้”
“ในแง่ของภาครัฐ หวงฟาสามารถจัดหาเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายด้านอาหารมาตรวจสอบร้านอาหารของแก และตรวจให้แกไม่สามารถเปิดร้านได้ แต่ถ้าร้านของเขาเกิดมีปัญหาซะเอง แค่คำพูดไม่กี่คำก็สามารถแก้ไขได้แล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ คนของภาครัฐโง่เง่ากันหมดหรือไง โดนเขาจูงจมูกหรือว่าเขาติดสินบนกัน”
พูดถึงเรื่องนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เผยความดูถูกเหยียดหยาม อย่างไรเขาคือลูกวัวแรกเกิด เขาดูถูกคนที่มีพฤติกรรมติดสินบนใต้โต๊ะ
ซ่งอวิ๋นฮั่นสามารถรู้ความในใจของซ่งจื่อเซวียนได้โดยปริยายจึงคลี่ยิ้มกล่าว “นี่คือกฎปฏิบัติของสังคมและกฎเกณฑ์ในยุทธภพ จีนก็เป็นแบบนี้มาแต่โบราณ แกไม่จำเป็นต้องดูถูกเหยียดหยาม”
แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนไม่ชอบใจในสิ่งที่เรียกว่ากฎปฏิบัติและกฎเกณฑ์ แต่ดูเหมือนว่าเขาหมดคำจะพูดเกี่ยวกับความจริงนี้ และในที่สุดก็พยักหน้าเบาๆ
“จื่อเซวียน บางครั้งความสัมพันธ์ของพวกเขากลับไม่ง่ายเหมือนกับการติดสินบน และฉันเกรงว่าแกจะต้องเรียนรู้ในอนาคต”
“เรียนรู้เหรอ”
“ถูกต้อง แม้ว่าแกจะไม่อยากแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ต้องปกป้องตัวเอง ในบางครั้ง…คำพูดจากบางคนก็สามารถฆ่าคนได้”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็แสดงสีหน้าเอาจริงเอาจัง “เรื่องพวกนี้คือวงการใต้ดินเหรอ”
“ไม่ใช่แค่นั้น ภาครัฐก็เหมือนกัน ถ้าหวงฟาต้องการยัดโทษแก แค่เพียงต้องหาเรื่องมาใส่ร้ายแกเท่านั้นเอง กลัวว่าแกอาจจะสูญเสียอิสรภาพในอีกไม่กี่ปีข้างหน้ากระทั่งนานกว่านั้นด้วยซ้ำ”
คำพูดของซ่งอวิ๋นฮั่นในตอนนี้ทั้งเรียบง่ายและตรงไปตรงมามาก เขาเข้าใจดีว่าตัวเองมีเวลาไม่มาก เรื่องบางเรื่องเขาต้องสอนให้กับซ่งจื่อเซวียนด้วยวิธีที่โหดร้ายและเข้าใจง่ายที่สุด
“ดังนั้น ผมจะต้องสร้างคอนเนกชั่นของผมกับทั้งทางภาครัฐและส่วนตัว อย่างนี้ต่อให้จะไม่ไปโจมตี อย่างน้อยก็มีความสามารถในการป้องกันได้” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“แกเข้าใจได้เยี่ยมมาก แต่แกต้องรู้จักเรียนรู้การใช้คอนเนกชั่นพวกนี้ด้วย นี่ไม่ใช่เพียงแค่ให้สินบนเท่านั้น บางครั้งแกก็ต้องช่วยพวกเขาและต้องขอให้พวกเขาช่วยแกด้วย ความช่วยเหลือนี้…แกเข้าใจใช่ไหม” ซ่งอวิ๋นฮั่นถาม
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ก็คือสร้างคุณค่าของการใช้ประโยชน์จากอีกฝ่าย คุณหมายถึงช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์แบบนี้หากรักษาให้คงอยู่เป็นเวลานาน ก็จะแยกไม่ได้ว่าใครติดหนี้ใครมากกว่ากัน หากจะใช้ประโยชน์กันอีกครั้ง…ก็ไร้ซึ่งความหวาดระแวงแล้ว”
“จื่อเซวียน แกฉลาดกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก ฉันคิดว่าถ้าฉันมีชีวิตอยู่นานกว่านี้ ฉันจะช่วยแกจัดการกับเรื่องพวกนี้เอง แต่…เหอะๆ สรุปคือฉันเชื่อว่าแกสามารถทำได้ดีด้วยตัวเอง”
ได้ยินเช่นนี้ ในใจของซ่งจื่อเซวียนก็หนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง เขาถอนหายใจ “ไม่หรอก คุณบอกเรื่องพวกนี้กับผมได้ก็เป็นประโยชน์มากแล้ว อย่างน้อยบางทีทัศนคติของผมก็อาจจะเปลี่ยนไปแล้ว”
พูดคุยกันอีกสองสามประโยค ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นและจากไป อย่างไรตอนนี้สุขภาพร่างกายของซ่งอวิ๋นฮั่นไม่แข็งแรง จะให้เขาอดทนอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้จริงๆ
ทว่าซ่งจื่อเซวียนกลับอธิบายไม่ถูกว่ามีบางอย่างที่ค้างคา อย่างน้อยจากประสบการณ์ของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนสอนหลักการบางอย่างให้กับเขานอกจากตาเฒ่าฟาง
ยิ่งไปกว่านั้น…คำพูดของซ่งอวิ๋นฮั่นยิ่งมีความเป็นรูปธรรมมาก ทำให้ซ่งจื่อเซวียนผู้ที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับยุทธภพนี้อยู่แล้ว มีแรงจูงใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อก้าวออกจากลิฟต์ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินมุ่งไปที่ประตูโรงแรม แต่เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงตะโกนจากด้านหลัง
“ซ่งจื่อเซวียน!”
ซ่งจื่อเซวียนหันกลับมามอง โจวเผิงก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาพอดี
ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง ไม่คาดคิดว่าจะพบกับโจวเผิง…ที่โรงแรมข่ายอ้อนี้
“บังเอิญซะจริง มาเจอกันที่นี่ ซ่งจื่อเซวียน นายมาทำอะไร” โจวเผิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
แต่บังเอิญหรือไม่นั้นมีเพียงตัวเขาเองที่รู้ เขารออยู่ที่นี่มาเกือบสองชั่วโมงแล้ว เมื่อครู่รอจนเหนื่อยและคิดจะยอมแพ้จริงๆ ใครจะคิดว่าซ่งจื่อเซวียนจะออกมาจากลิฟต์ในเวลานี้พอดี
“ไม่มีอะไรหรอก ทำไมเหรอ แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่” ซ่งจื่อเซวียนพูดไปเรื่อยพลางเดินต่อออกไปข้างนอก
“ฉัน…เมื่อกี้ฉันมาหาเพื่อนน่ะ เหอะๆ แล้วนายล่ะ” โจวเผิงเดินตามซ่งจื่อเซวียนพลางถาม
“ผมก็ด้วย”
โจวเผิงเดินตามอย่างใกล้ชิดก่อนเอ่ย “เหอะๆ งั้นคงเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ข่ายอ้อนี่ระดับห้าดาวเชียวนะ เพื่อนของนายต้องไม่ธรรมดาแน่ใช่ไหม วันนี้คงมาหารือเรื่องธุรกิจล่ะสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้้น ซ่งจื่อเซวียนก็หยุดฝีเท้า “คุณอยากจะพูดอะไร”
“หา? เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แค่ถามเฉยๆ นายออกจากต้าสือไต้หลายวันแล้ว ช่วงนี้สบายดีเนอะ”
“อืม พอได้”
โจวเผิงไม่ชอบใจ และพึมพำในใจ ‘แกจะไปเจ๋งอะไร แค่ทำข้าวผัดเป็นอ่ะนะ’
หลังจากยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง โจวเผิงก็เอ่ย “อ้อ จริงสิ ฉันได้ยินมาว่านายรู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อเฮ่อเหยียนข่าย”
เหตุผลที่โจวเผิงพูดแบบนี้ก็เพื่อให้ซ่งจื่อเซวียนพูดมาอีกสองสามประโยค ดูว่าไอ้เด็กนี่หลังจากออกจากต้าสือไต้แล้วไปทำอะไรกันแน่
อันที่จริงหลังจากที่ซ่งจื่อเซวียนจากไป โจวเผิงก็ต้องทำงานไม่น้อยเลยจริงๆ แม้ว่าจะติดประกาศที่หน้าประตูต้าสือไต้ว่าข้าวผัดจักรพรรดิไม่มีขายแล้ว แต่ผู้คนก็ยังมาสั่งอยู่ทุกวี่ทุกวัน บางคนถึงกับเริ่มมีปากเสียงในร้าน
ทว่าซ่งจื่อเซวียนไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านี้ ประจวบเหมาะกับที่เจิ้งอวี่เดินมาที่ประตูพอดี “คุณซ่ง ทางนี้ครับ”
“เพื่อนผมมาแล้ว ไปล่ะนะ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกจากโรงแรมตรงไปขึ้นรถของเจิ้งอวี่
เห็นรถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีดำจากไป โจวเผิงก็สูดหายใจ “ไอ้เด็กนี่ใช้ได้ นั่งรถเบนซ์ด้วย เหอะๆ ไม่แปลกที่แกพูดจาหยิ่งยโสขนาดนั้น แกคอยดูนะ ไม่ช้าก็เร็วจะมีช่วงที่แกตกต่ำแน่นอน!”
ซ่งจื่อเซวียนกลับถึงบ้านยามดึกก็กินอาหารง่ายๆ แค่ไม่กี่คำแล้วเข้านอน แม้ว่าทั้งวันเขาจะไม่ได้ผัดข้าวมากนัก แต่ก็เหนื่อยล้าเหลือเกิน
แค่สิ่งเหล่านั้นที่ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดกับเขาก็เพียงพอให้ตกตะกอนความคิดสักพักหนึ่งแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนเดินทางไปร้านอาหารร่ำรวย เหมือนกับเมื่อก่อนที่ไปต้าสือไต้ตั้งแต่เช้าตรู่ อย่างไรเขาก็ไม่ชอบมาสาย
เช่นเดียวกับวันแรก กิจการร้านอาหารร่ำรวยธรรมดาทั่วไป จนกระทั่งบ่ายโมงก็มีลูกค้าเพียงสองสามโต๊ะเท่านั้น
อีกทั้งวันนี้ไม่ได้ขายข้าวผัดจักรพรรดิ กระแสจึงน้อยลงไปอีก
แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่รีบร้อน ร้านอาหารร่ำรวยเพิ่งเปิดได้ไม่นาน เป็นไปไม่ได้ที่จะโด่งดังพลุแตกในพริบตาและมื้อเย็นก็สำคัญกว่ามื้อเที่ยง
ร้านอาหารร่ำรวยไม่ใช่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่กระแสจะน้อยในช่วงเที่ยง แต่ในตอนเย็นผู้คนบริเวณใกล้เคียงอาจมีการรวมตัวเป็นครอบครัว จำนวนลูกค้าอาจเพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าโต๊ะ ก็ได้ยินหยางกังพนักงานเสิร์ฟพูดว่า “เฒ่าขอทาน ใครปล่อยให้เข้ามาฮะ ออกไป!”
“พี่ชาย ฉันจะซื้อเหล้าหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนหันกลับไปและเห็นชายชราสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งยืนอยู่หน้าประตู
ผมของชายชราเป็นสีขาวโพลนแถมยังยุ่งเหยิง ชุดผ้าฝ้ายทั้งเนื้อทั้งตัวเปื้อนน้ำมันและมีรอยขาดหลายสิบจุด คาดว่าผ้าฝ้ายด้านในก็แทบจะเสียหายหมดแล้ว
กางเกงผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเห็นได้ชัดว่าแน่นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สีเอิร์ธโทนช่วงบนและคราบโคลนแทบจะทำให้สีของกางเกงเปลี่ยนไป
“ซื้อเหล้าเหรอ อยากได้เหล้าแบบไหนล่ะ อย่าเพิ่งเข้ามา เดี๋ยวฉันหยิบให้เอง”
“ขอบคุณนะพี่ชาย ฉันซื้อที่ราคาถูกก็พอ” ชายชราพูดด้วยใบหน้าที่ใจดีมาก แต่ดูแล้วเศร้าสร้อยเล็กน้อย
หยางกังเดินไปที่เคาน์เตอร์ ชี้ไปที่ขวดเหล้าแล้วกล่าว “แบบนี้แล้วกัน แก้วละสามหยวน ถูกที่สุดแล้ว”
ชายชราพยักหน้าน้อยๆ “ได้ เอานั่นแหละ…”
เมื่อได้ยิน หยางกังก็ยื่นเหล้าให้ “สามหยวน!”
“เอ่อ…พี่ชาย ติดไว้ก่อนได้ไหม เมื่อกี้ฉันหิวเลยซื้อเซาปิ่ง[1]ไป เงินในกระเป๋าเลยหมดแล้ว”
“ให้ตาย ตาแก่ล้อกันเล่นหรือไง แม่งเอ๊ย…”
หยางกังพูดพลางคิดจะเหวี่ยงหมัด ชายชราตกใจกลัวจึงก้มตัวและเอามือบังหน้าเพื่อป้องกัน
พนักงานเสิร์ฟข้างๆ เมื่อเห็นอย่างนี้ก็หัวเราะออกมา
แต่ก่อนที่หมัดจะเหวี่ยงลง ก็มีมือหนึ่งมาคว้าไว้ หยางกังหันกลับมามองและเห็นว่าเป็นซ่งจื่อเซวียน
“นายท่านรอง เขา…” เนื่องจากเหลยจื่อเรียกเขาว่านายท่านรอง ดังนั้นคนในร้านอาหารร่ำรวยจึงเรียกตามอย่างนี้
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า จากนั้นโบกมือแล้วเอ่ย “นายไม่ต้องสนใจ ไปเถอะ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็คุกเข่าลงจนอยู่ในระดับสายตากับชายชราแล้วกล่าว “ท่านผู้เฒ่า ร้านเราไม่สามารถติดบัญชีได้ครับ”
สีหน้าชายชราดูละอายใจ “ฉัน…ฉันก็จนปัญญา เมื่อกี้ใช้เงินไปหมด แต่พิษสุราในท้องนี้เริ่มเรียกร้องแล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะคิกๆ พลางเอ่ย “เอาเถอะ ผมให้คุณเป็นข้อยกเว้น คุณรับไว้ก่อนก็ได้”
…………………………………….
[1] เซาปิ่ง (烧饼) คือ ขนมแป้งทอด หรือขนมเปี๊ยะสด เป็นขนมโบราณของจีน