เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 121 ทำไมถึงดีกับฉันขนาดนี้
ตอนที่ 121 ทำไมถึงดีกับฉันขนาดนี้
ได้ยินหูเจิ้นด่าทอแบบนี้ ฟางรุ่ยก็หัวร้อนทันทีและหันหลังพุ่งกลับไป แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับรั้งเขาไว้
อย่างไรในวันข้างหน้าพวกเขาก็ล้วนเป็นคนกันเอง ซ่งจื่อเซวียนจึงย่อมไม่คิดจะทำเหมือนอย่างที่เคยทำกับเจิ้งฮุยและโจวเผิงในช่วงแรก
“แหะๆ ผมจะออกไปดูข้างนอกให้ชินสักหน่อยน่ะ”
“ชินบ้าอะไร ไอ้เด็กนี่ไม่เคยทำงานหรือไงวะ ทุกคนยุ่งกันอยู่แต่นายจะออกไปเดินเล่น ไม่มีตาหรือไงวะ”
“ไม่มีตางั้นเหรอ” ฟางรุ่ยเริ่มไม่พอใจ ครุ่นคิดในใจว่าไปโง่ดักดานมาจากไหน กล้าพูดกับนายท่านรองแบบนี้ได้อย่างไร “แกรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร ฉันว่าน้ำหน้าอย่างแกต่างหากที่หามีตาไม่!”
หูเจิ้นทำหน้าดูถูกเหยียดหยามแล้วพูด “โถๆๆ เขาจะเป็นใครได้ล่ะ แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร บอกมาก่อนสิว่านายเป็นใคร ใครใช้ให้นายเข้ามาในครัว ไสหัวออกไปซะ!”
ฟางรุ่ยโมโหจนเกือบถอดรองเท้าเขวี้ยงใส่เขา แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับคลี่ยิ้ม “พอเถอะ รุ่ยจื่อ นายออกไปก่อนไปดูว่าข้างนอกมีงานอะไรให้ทำหรือเปล่า”
“หา? แต่นายท่านรอง เขา…”
ซ่งจื่อเซวียนขยิบตาสุดแรง ฟางรุ่ยก็หันหลังออกไปพร้อมกับความไม่พอใจ แต่ก่อนที่จะจากไปเขาก็กระซิบ “นายท่านรอง ถ้าคุณมีเรื่องอะไรก็บอกผมนะ ถ้าไอ้เด็กนี่เล่นแง่ ผมจะยัดลงหม้อเสียเลย”
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้มและโบกมือ
“แหะๆ ทำอะไรอยู่เหรอครับ มาทำด้วยกันเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพร้อมกับพับแขนเสื้อขึ้น
“ด้านหลังกำลังหั่นอยู่ นายไปคอยส่งวัตถุดิบกับปอกเปลือกมันฝรั่ง งานเยอะขนาดนี้อย่าซุ่มซ่ามล่ะ เข้าใจไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรและเดินไปด้านหลัง
ที่จริงแล้วในความคิดของเขา การที่หัวหน้าเชฟร้านอาหารร่ำรวยจะมีอารมณ์ร้ายหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เช่นเดียวกับเจิ้งฮุย เขาก็มีอารมณ์ร้ายในแบบของตัวเองเช่นกัน เช่นนี้ถึงจะควบคุมในครัวด้านหลังได้อยู่หมัด
นอกเหนือจากความขัดแย้งในช่วงแรกๆ ความสามารถของเจิ้งฮุยก็ค่อนข้างดี ไม่เพียงแต่มีทักษะทำอาหารดีแต่เขายังจัดการครัวได้ดีด้วย ทั้งหมดนี้ไม่สามารถแยกออกจากนิสัยของเขาได้
ด้วยเหตุนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่ถือโทษโกรธ อันที่จริงตอนนี้ตัวเองก็เป็นเถ้าแก่แล้ว มีลูกน้องอย่างหัวหน้าเชฟที่มีอารมณ์ร้ายหน่อยยังดีกว่าหัวหน้าเชฟที่อ่อนแอ ในด้านความสามารถเขาก็จะค่อยๆ พิจารณาในอนาคต
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินไป หูเจิ้นก็ชักสีหน้าและพึมพำว่า “ให้ตาย เสแสร้งซะเหลือเกิน แค่ทำงานเบ็ดเตล็ดยังจะมาเก๊ก…”
ช่วงเช้า ซ่งจื่อเซวียนยุ่งอยู่กับการทำงานกับทุกคนในครัวด้านหลัง
อันที่จริงเปิดกิจการวันแรกต้องเตรียมงานมากมาย แถมยังเป็นทีมใหม่ทั้งหมดอีกด้วย ทุกคนยังต้องปรับตัวให้ชิน เมื่อทำงานร่วมกันจึงจะเข้าขากันได้ดี
โชคดีที่ซ่งจื่อเซวียนยังคล่องแคล่วและไม่ได้พูดคุยอะไรกับหูเจิ้นอีก ถึงอย่างไรเขาก็ทำงานเบ็ดเตล็ดที่ร้านอาหารชุนเซียงมาหลายปีแล้ว พูดถึงเรื่องทำงานซ่งจื่อเซวียนก็เป็นมือดีอย่างแน่นอน
เมื่อถึงตอนเที่ยง ผู้คนเริ่มสั่งอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงเตาและตะหลิวในครัวก็เริ่มครึกครื้น
ซ่งจื่อเซวียนอดนึกถึงสถานการณ์วันแรกของต้าสือไต้ไม่ได้ ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน แต่เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว ตอนนี้ร้านอาหารแห่งนี้เป็นกิจการของเขาเอง ภายในใจจึงรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน
ในขณะที่กำลังยุ่งอยู่ ซางเทียนซั่วเดินเข้ามาเห็นซ่งจื่อเซวียนที่กำลังล้างผักก็งงงวย จึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไป
“อาจารย์ ทำไมถึงมาทำอะไรพวกนี้ล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้มและพูด “ไม่เป็นไร จะได้คุ้นเคยกับคนในครัวด้านหลังไง”
“ให้ตาย มีอะไรให้คุ้นเคยกัน อาจารย์รีบไปพักข้างหน้าเลย คนทำต้องเป็นผมสิ” ซางเทียนซั่วพับแขนเสื้อขึ้นขณะที่พูด
อย่างไรเขาก็ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของซ่งจื่อเซวียนที่ต้าสือไต้ แม้ว่าเขาจะเป็นท่านชายผู้ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ทำมาหมดแล้วตั้งแต่การขัดหม้อจนถึงการทำความสะอาดเตา
“แน่นอนว่าต้องทำความคุ้นเคยสิ นายเห็นไหมว่าช่วงเช้านี้ฉันคุ้นเคยกับหัวหน้าเชฟที่ชื่อหูเจิ้นแล้ว แถมยังมีเหล่าหลี่กับเสี่ยวหลิวที่อยู่ตรงนั้น ทำความคุ้นเคยเอาไว้ถึงจะเป็นผลดีในภายภาคหน้า” ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้คิดอะไร ล้างผักไปพลางพูดไปพลาง “เอ๊ะทำไมนายถึงมาเวลานี้ล่ะ ตื่นกี่โมงเนี่ย”
ซางเทียนซั่วสีหน้าดูอับอาย “ตื่น…ตื่นสาย ไม่ต้องทำแล้ว ผมทำเอง!”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันหูเจิ้นก็เดินเข้ามา “ยังคุยเชี่ยอะไรกันอีก ตรงนั้นรอผักอยู่!”
“พ่อง!”
ในด้านของทักษะ ซางเทียนซั่วเทียบกับฟางรุ่ยไม่ได้ แต่ในด้านอารมณ์ร้าย…
ทันทีที่สิ้นเสียงหูเจิ้น ซางเทียนซั่วก็ตบปากเขาแล้ว ซ่งจื่อเซวียนไม่มีเวลารั้งเขาด้วยซ้ำ…
“แม่มันเถอะ แกตีฉันเหรอ”
“พูดจาหมาไม่แxก แกพูดเสียงดังขนาดนั้นทำข้าตกใจหมด!” ซางเทียนซั่วตะคอกออกมา เสียงของเขาดังกว่าหูเจิ้น พลังที่พลุ่งพล่านของเขากดอีกฝ่ายลงทันที
เวลานี้ งานของครัวด้านหลังหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ทุกคนมองไปที่หูเจิ้นและซางเทียนซั่ว พวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนลองดีกับหัวหน้าเชฟ
เมื่อหูเจิ้นถูกตบตีเข้า เขาก็ไม่ยอมเสียเปรียบเป็นธรรมดา เรื่องนี้ทำให้เขาตื่นตระหนก ต่อไปเขาจะทำงานอยู่ในครัวอย่างไร
เขาหยิบตะหลิวข้างๆ ขึ้นมาแล้วคิดจะฟาดซางเทียนซั่วกลับ
เมื่อซางเทียนซั่วเห็นว่าอีกฝ่ายขยับ เขาก็ไม่เกรงใจแล้ว ไม่รอให้หูเจิ้นฟาดตะหลิวใส่เขาก็ยกขาเตะออกไป
อย่างไรเขาก็อายุน้อยกว่าเป็นสิบปี ซางเทียนซั่วมีแรงเยอะและว่องไว หูเจิ้นยังไม่ได้ตอบโต้ก็ถูกเตะไปนั่งอยู่ที่พื้น
“บ้าเอ๊ย ให้ตายเถอะ!”
ขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นสู้ เขาก็เห็นเหลยจื่อวิ่งเข้ามาในครัว “นายท่านรอง ร้านเปิดแล้วนะ มีคนสั่งข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว!”
หูเจิ้นไม่ฟังสิ่งที่เหลยจื่อพูด ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเข้ามาก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหา “พี่เหลย เชฟในครัวมันบังอาจ พวกเขากล้าตบตีผม!”
เหลยจื่อตะลึงงัน “หือ ตบตีนาย เกิดอะไรขึ้น”
“สองคนนั้น!” หูเจิ้นชี้ไปที่ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วพลางตะโกน
ซางเทียนซั่วอยากพูดบางอย่าง แต่ในจังหวะนี้ซ่งจื่อเซวียนรีบวางมือบนไหล่ของเขาแล้วกล่าว “เอาล่ะเหลยจื่อ คุณจัดการเถอะ ผมจะทำข้าวผัดเสิร์ฟก่อน เทียนซั่วมาช่วยตรงนี้หน่อย”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินตรงไปที่เตา
เหลยจื่อรู้สึกมึนงง เมื่อเขาและหูเจิ้นมองหน้ากัน หูเจิ้นดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ไอ้เด็กนั้นเรียกพี่เหลยว่า…เหลยจื่อเหรอ
“เอาล่ะ เหล่าหูออกมานี่หน่อย” เมื่อเหลยจื่อพูดจบก็หันหลังเดินออกจากครัว
หูเจิ้นไม่มีเวลาคิดใคร่ครวญ มองกลับไปที่ซ่งจื่อเซวียนแล้วเดินตามออกไปทันที
เหลยจื่อแค่นหัวเราะเบาๆ “นายไม่ได้ยินเหรอว่าฉันเรียกเขาว่ายังไง”
สมองของหูเจิ้นสั่นสะเทือนราวกับกลองป๋องแป๋ง[1]
“ฉันเรียกเขาว่านายท่านรอง!”
ได้ยินคำนี้ หูเจิ้นก็กลืนน้ำลายและเบิกตากว้าง “นะ…นายท่านรอง”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในวงการใต้ดิน แต่เขาก็ยังตกตะลึงพักหนึ่ง เขามีเพื่อนนักเลงอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้เองว่าการเรียกว่านายท่านหรือเสี่ยสื่อถึงอะไรในวงการนี้
เหลยจื่อเหลือบมองเขา “เรื่องนี้ฉันไม่ยุ่ง นายดูสถานการณ์เอาเองเถอะ ไม่งั้น…ถ้าคนด้านในนั้นตบตีนายอีกครั้งก็ถือว่าสมน้ำหน้า แล้วเห็นคนนั้นที่อยู่ข้างนอกหรือยัง”
หูเจิ้นมองไปที่ฟางรุ่ยที่กำลังยืนพิงประตูสูบบุหรี่อยู่ข้างหน้า ใบหน้านั้นมองดูอย่างไรก็เย็นชา
“แล้วไงเหรอ”
“แล้วไง? เหอะๆ ถึงให้ตบตีนายสิบคนก็ไม่มีปัญหา เขาเป็นบอดี้การ์ดมืออาชีพ”
“บอดี้การ์ดเหรอ คนคนนั้น…เอ๊ะไม่สิ นายท่านรองมาทำงานยังต้องพาบอดี้การ์ดมาด้วยเหรอ” สีหน้าของหูเจิ้นเปลี่ยนไป เขามองไปที่เหลยจื่อ “พี่เหลย นายท่านรองมาทำอะไรที่ร้านพวกเราเหรอ”
“เหอะๆ นายคิดว่าไงล่ะ เสี่ยปาทำอะไรเขาก็ทำอย่างนั้นแหละ เข้าใจหรือยัง” เมื่อพูดจบเหลยจื่อก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในเคาน์เตอร์
หูเจิ้นรู้สึกชาไปทั้งตัวและขยับตัวไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง เขามองไปที่ประตูห้องครัว บอกตามตรงว่า…โคตรไม่อยากเข้าไปเลย
ในไม่ช้าก็มีกลิ่นหอมฟุ้งออกมา ขณะเดียวกันพนักงานเสิร์ฟก็เดินออกมาพร้อมกับข้าวผัดจานหนึ่ง
หูเจิ้นจ้องมองข้าวผัดจานนั้น เขาคิดไม่ถึงเลยว่าทำไมข้าวผัดจานนี้ถึงมีกลิ่นหอมเช่นนี้
เหลยจื่อกลับระบายยิ้มขณะกดเครื่องคิดเลข “ช่างหอมกรุ่นจริงๆ สมแล้วที่เป็นข้าวผัดจักรพรรดิของนายท่านรอง”
“ข้าวผัดจักรพรรดิ อ้อพี่เหลย นี่มันเกิดอะไรขึ้น ข้าวผัดจักรพรรดิไม่ใช่อยู่ที่ต้าสือไต้หรอกเหรอ จะมีที่นี่ได้ยังไง กลิ่นนี้…”
เหลยจื่อกระตุกยิ้ม “จะไม่มีที่ต้าสือไต้อีกต่อไปแล้ว คนที่อยากกินข้าวผัดจักรพรรดิในเมืองตู้เหมินนี้ต้องมาที่ร้านอาหารร่ำรวยของเราเท่านั้น เข้าใจไหม”
“เมื่อกี้นายท่านรองไม่ได้โกรธ นายก็ไปจุดธูปแล้วกัน รีบเข้าไปซะ!” เหลยจื่อเหลือบมองหูเจิ้นแล้วพูด
เดินเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง หูเจิ้นก็ไม่มีความโกรธเคืองเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว แม้ว่ารอยฝ่ามือบนใบหน้ายังคงอยู่ แต่เขาก็โกรธไม่ลงอีกแล้ว
ข้อแรก เขาสั่งการซ่งจื่อเซวียนทั้งเช้า อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ไม่ทำอะไรเขาเลย ยังไม่บ่นอะไรสักคำ ข้อที่สอง อีกฝ่ายเป็นเถ้าแก่ และท่าทีของเขาเมื่อครู่นี้ เพียงแค่โดนฝ่ามือตบเท่านั้นไม่ได้เสียหายเลยจริงๆ…
เมื่อเห็นว่าซ่งจื่อเซวียนกำลังทำความสะอาดเตาอยู่ หูเจิ้นก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “นายท่านรอง ผมผิดไปแล้ว”
ซางเทียนซั่วที่อยู่ด้านข้างยังคิดออกว่าเหลยจื่อต้องบอกเขาแล้วแน่นอนจึงเอ่ยว่า “เชี่ย ตอนเช้าทำอะไรลงไปล่ะ แล้วที่กร่างเมื่อกี้ล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนกลับคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร หัวหน้าเชฟหู เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะมีอารมณ์โกรธ แต่ต้องพูดบางอย่าง ต่อไปถึงเราจะอ้าปากหรือปิดปากก็ด่าไปทั่วไม่ได้หรอกนะ”
“ครับๆๆ นายท่านรองครับ ผมจะปรับปรุงแน่นอน คุณดูสิ…เช้าตรู่คุณมาถึงก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเถ้าแก่ ผมยังคิดว่าคุณทำงานเบ็ดเตล็ดซะอีก ผมเลย…”
“ฉันบอกไปแล้วว่าไม่เป็นไร ฉันถือว่าได้สานสัมพันธ์กับทุกคน”
บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้ทั้งห้องครัวดูโง่เขลากันไปหมด คนที่ถูกหัวหน้าเชฟสั่งการมาทั้งเช้าเป็นถึงเถ้าแก่เชียวหรือ ไม่ต้องพูดอย่างอื่นแล้ว แค่ลักษณะท่าทางนี้…ก็ไม่มีใครไม่ยกนิ้วให้!
สีหน้าของหูเจิ้นเปลี่ยนจากแดงเป็นซีดเซียว “นายท่านรอง ผมไม่รู้เกี่ยวกับข้าวผัดจักรพรรดินี้เลย…เอาแบบนี้ เดี๋ยวผมค่อยเอาเตาเดี่ยวเข้ามาดีกว่า ผมกลัวเคาน์เตอร์เตาของผมจะทำให้มือคุณเปื้อน…”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “ไม่ต้องเกินไปขนาดนั้นหรอก แต่ว่า…เมื่อก่อนที่ต้าสือไต้ก็ใช้เตาเดี่ยว จริงๆ แล้วมันสะดวก เอาอย่างนี้เถอะหัวหน้าเชฟ เดี๋ยวนายสั่งเตาเดี่ยวมาวางไว้ตรงนั้น พรุ่งนี้เราจะได้ใช้มัน”
“ได้เลยนายท่านรอง คุณเป็นผู้ใหญ่ไม่เหลือคราบเด็กเลยจริงๆ เรื่องในวันนี้เป็นความผิดของผมหูเจิ้นเอง”
“พอเถอะไม่ต้องพูดแล้ว นายรีบไปทำงานเถอะ อาหารข้างนอกก็เยอะขึ้นแล้ว ฉันจะออกไปดูก่อน” หลังจากซ่งจื่อเซวียนพูดจบ เขาก็เดินออกจากครัว
หูเจิ้นไม่เพียงแต่พยักหน้าเงียบๆ ‘คนแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าเถ้าแก่ การพูดจา…หนักแน่นจริงๆ’
เมื่อเดินออกจากครัว แวบหนึ่งซ่งจื่อเซวียนก็เห็นลูกค้าโต๊ะที่สั่งข้าวผัดจักรพรรดิ เขาคลี่ยิ้มกว้างและเดินเข้าไป
“ยังคงเป็นเธอที่ประเดิมให้ฉันเหรอ”
ถังหย่าฉีเงยหน้าขึ้นแล้วมองเขา “แน่นอนอยู่แล้ว ฉันจะให้คนอื่นแย่งไปก่อนไม่ได้ อ้อใช่สิ ฉันคิดว่าวันนี้พวกนายคงจะมีออร์เดอร์ระเบิดระเบ้อแล้วล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่รีบร้อน เขานั่งลงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คิดไว้แล้วล่ะว่าจะต้องมีวิธีการหนึ่งแน่ๆ”
“อันที่จริงฉันเพิ่งโพสต์ในโมเมนต์ของฉันไปเมื่อวานนี้ พวกเขาส่วนใหญ่มีเรียนกันวันนี้ นายคิดว่าทั้งหมดจะเหมือนฉันที่โดดเรียนมาสนับสนุนนายหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ก็ต้องบอกว่าเธอมีสัจจะจริงๆ ทำไมเธอถึงดีกับฉันขนาดนี้ล่ะ”
ทันทีที่เอ่ยคำนี้ ถังหย่าฉีก็ชะงักและใบหน้าแดงระเรื่อทันที
…………………………………………..
[1] กลองป๋องแป๋ง หรือ ปัวลั่งกู่ (拨浪鼓) เดิมทีเป็นเครื่องดนตรีโบราณจนกลายมาเป็นของเล่นเด็ก มีลักษณะคล้ายกลองมือ เมื่อใช้มือหมุนจะทำให้เกิดเสียงที่ไพเราะ