เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 120 ทำงานให้ข้าสิ
ตอนที่ 120 ทำงานให้ข้าสิ
ในห้องหนังสือขนาดใหญ่ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมนอนที่นั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้หนังกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ชาโสมในมือยังมีไอร้อนพวยพุ่งออกมา
“เธอว่าเธอไปก่อเรื่องอะไรไว้นะ สองสามวันนี้ฉันจัดการเรื่องเสร็จแล้วก็จะไปอยู่กับเธอ”
“อืม วางใจเถอะที่รัก ฉันจัดการเรื่องสำหรับห้าวันเรียบร้อยแล้ว พวกเราไปภูเก็ตกันโอเคไหม”
“งั้นยุโรปล่ะ คราวก่อนตอนที่เธอไปไม่ใช่ว่ายังซื้อไม่พอหรอกเหรอ งั้นคราวนี้ไปซื้ออีกสักหน่อยดีไหม”
ขณะที่ชายวัยกลางคนพูดก็มีสีหน้าพึงพอใจ ถึงภายนอกจะอยู่ในวัยกลางคนแล้ว แต่กลับเหมือนชายหนุ่มที่อยู่ในห้วงแห่งความรัก คำพูดคำจาเปี่ยมไปด้วยความรัก
ตอนนี้เอง ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ชายคนนั้นตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี “ได้ๆ เดี๋ยวไว้โทรหาอีกนะ”
พูดจบ เขาก็วางสาย
คนที่เดินเข้ามาก็คือเฮ่อเหยียนข่าย เขาทอดถอนใจ ตรงมานั่งนิ่งๆ บนโซฟา
“พ่อ ทีหลังพ่อคุยกับเหล่าเอ้อร์ก็ไม่ต้องปิดบังผมหรอก ผมไม่ได้สนใจพ่อสักหน่อย”
ชายคนนั้นจ้องเฮ่อเหยียนข่ายเขม็ง “พูดอะไรของแกน่ะ นี่แกพูดกับพ่อแบบนี้แล้วเหรอ”
“เหอะ ถ้างั้นผมควรจะพูดกับพ่อยังไงดีล่ะ พ่อ พ่อคุยกับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้วเหรอ ช่วงนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ” เฮ่อเหยียนข่ายเย้ยหยัน
ชายคนนั้นมองเขาอย่างจนใจ
เฮ่อเหว่ย พ่อของเฮ่อเหยียนข่าย มีบริษัทจัดการลงทุนที่ควบคุมหุ้นตลาดขนาดกลางและใหญ่อย่างน้อยหกบริษัทในตู้เหมิน หนึ่งในนั้นรวมถึงตลาดอาหารทะเลสามแห่ง ตลาดสดระดับภูมิภาคสองแห่งและซูเปอร์มาเก็ตขนาดกลางหนึ่งแห่ง
เทียบกันแล้ว ผลกำไรของตลาดอาหารทะเลมากกว่าตลาดสดและซูเปอร์มาเก็ตอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างไรก็เป็นแหล่งค้าส่ง รายได้สะพัดต่อเนื่องไม่ขาดสาย กำไรก็สูง ปัจจุบันเป็นโครงการสำคัญของบริษัท
“วันนี้เด็กอย่างแกน่าจะอยู่ที่มหา’ลัยไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้หนีกลับมาบ้านล่ะ ทำไม…ตังค์หมดแล้วเหรอ” เฮ่อเหว่ยถาม
“ตังค์มี พ่อไม่ต้องกังวลหรอก ลูกชายพ่อมีช่องทางหาเงินเป็นของตัวเองอยู่แล้ว”
เฮ่อเหว่ยได้ยินก็ยิ้ม “แกจะมีช่องทางอะไรได้ ถ้าไม่ใช่ลงตลาดไปหาผู้ค้าพวกนั้นแล้วตัดกำไรมานิดๆ หน่อยๆ คราวหลังแกทำเรื่องพวกนั้นให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ผู้ค้าเขาไม่ได้มีเงินกันทุกคนนะ”
“ชิ ก็ผมดูแลพวกนั้นไง ผมแนะนำเรื่องธุรกิจไป พวกเขาก็มีรายได้ ยอมเสียกำไรเป็นเรื่องปกติ อีกอย่าง…ผู้ค้าที่ไม่มีความสามารถผมก็คงไม่ไปยุ่งหรอก ไม่เกี่ยวกับผมเลยสักนิด!”
ความจริงแล้วในใจเฮ่อเหว่ยพึงพอใจ ถึงจะบอกว่าเรื่องที่ลูกชายเขาทำพึ่งเส้นสายความสัมพันธ์ของเขา แต่กลับทำได้ไม่เลวเลย สามารถพึ่งพาทรัพยากรในขณะที่กำลังเรียนอยู่หาเงินได้ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
“เด็กอย่างแกมีเหตุผลแฮะ เงินมีพอใช้ก็ดีแล้ว แล้วก็นะ แกอย่ามัวหาแต่เงิน สองสามปีนี้แกตั้งใจเรียนไปก่อนค่อยมาทำงานที่บริษัท หลังจากนั้นถ้าจะสืบทอดตำแหน่งต่อมีปริญญาบัตรสักใบก็ชักจูงคนได้ง่ายแล้ว”
นี่เป็นคำพูดจากใจของเฮ่อเหว่ย เขาไม่ขาดเงินอยู่แล้ว อย่าพูดถึงเฮ่อเหยี่ยนข่ายเลย จวบจนถึงลูกหลาน ชีวิตนี้ก็เกรงว่าจะมีพอให้ใช้
ดังนั้นเขาถึงเป็นห่วงเรื่องการเรียนของเฮ่อเหยียนข่ายยิ่งกว่า ถ้ามีเงินแต่ไม่มีการศึกษา ก็จะกลายเป็นคนรวยที่ไม่มีสมอง คงได้เป็นที่ตลกขบขันแน่
ล้มลุกคลุกคลานมาหลายปีขนาดนี้ ตัวเฮ่อเหว่ยข้ามผ่านช่วงเวลานั้นมาเช่นกัน ในมือมีเงินอยู่บ้างแต่ถูกคนหัวเราะเยาะที่ไม่มีการศึกษา เขาจึงไม่อยากให้ลูกตนเองเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
เฮ่อเหยียนข่ายกลับไม่ใส่ใจเสียเต็มประดา พูดว่า “เอาเถอะน่า แถมเรื่องรับช่วงต่ออีก ผมไม่ได้สนใจตำแหน่งนั่นของพ่อสักหน่อย”
“ไม่สนใจ? โอ้โห มีแพลนในอนาคตแล้วสิ งั้นแกคิดจะไปทางไหนล่ะ” เฮ่อเหว่ยยิ้มพูด
เขาเฝ้ารักทะนุถนอมลูกชายมาตั้งแต่เล็ก ถ้าจะทำการอะไรแล้วมีหลักการไปหมด อย่างนั้นสิ่งที่เขาไม่มีหลักการเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือความรักที่มีต่อลูกชาย แทบจะไม่เคยปฏิเสธอะไรเลย
“ไปทางไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ทางเดียวกับพ่อ จะได้ไม่โดนรังแกเอา”
“หืม แกอย่ามาพูดแบบนี้กับฉัน แกขยันไปตลาดพวกนั้นมากกว่าฉันอีก ใครจะกล้ารังแกแกกัน เรียกท่านชายเฮ่ออย่างนั้นอย่างนี้ไปทั่วทุกที่ไม่ใช่หรือไง” เฮ่อเหว่ยพูด
“โธ่ ไม่ใช่ว่าผมบอกพ่อไปแล้วหรือไงที่ว่าสองวันก่อนผมเพิ่งไปตลาดอาหารทะเลเฉิงหนานมาน่ะ อย่าพูดถึงเรื่องเรียกว่าท่านชายเลย ทุกคนทำผมตกใจเกือบตาย!” เฮ่อเหยียนข่ายพูดพลางแสร้งกล้ำกลืนฝืนทนเล็กน้อย เรื่องที่เขาคิดจะพูดเห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่ซุนโส่วเหวินช่วยเหลือซ่งจื่อเซวียน
“หืม หมายความว่ายังไง ผู้ค้ารายไหนกัน” เฮ่อเหว่ยอดขมวดคิ้วไม่ได้ ด้วยนิสัยของเขา ถ้ามีคนกล้ารังแกลูกชายเขาจริงๆ เขารับประกันได้ว่าวันรุ่งขึ้นก็สามารถไล่คนคนนั้นให้ไสหัวออกไปจากตลาดได้
ไม่ใช่แค่นี้ ถ้าเขาเต็มใจ กระทั่งสามารถไล่คนคนนั้นให้ไสหัวออกไปจากตลาดเมืองตู้เหมินได้ด้วยซ้ำ!
เฮ่อเหยียนข่ายได้ยินก็ยกขาขึ้นยันกับโต๊ะกาแฟไว้ พูดว่า “คุณซุนนั่นไง เหอะๆ ใช้ได้จริงๆ ไอ้สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ เขาทำอย่างกับตัวเองเป็นคุณซ่งจริงๆ!”
“ซุนโส่วเหวิน? แกไปมีเรื่องกับเขาได้ยังไง”
เฮ่อเหยียนข่ายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นทันที แน่นอนว่าจะขาดการเลี่ยงความผิดและใส่สีตีไข่ไปไม่ได้
หลังจากเฮ่อเหว่ยฟังจบก็โกรธเกรี้ยวทันที ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ “นี่มันเรื่องไร้สาระไม่ใช่หรือไง มีคนก่อเรื่องในตลาดแล้วยังให้ท้ายได้ยังไง ให้ท้ายก็แล้วไป คิดไม่ถึงว่าจะมารังแกลูกชายทูนหัวของฉันเฮ่อเหว่ยอีก!”
“ฮ่าๆๆ พ่อครับ ผมว่าเขาไม่เห็นหัวพ่อเลย ไม่แม้แต่จะคำนึงถึงความรู้สึกผมเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นสิถึงเรียกว่าตบหน้ากัน แม่งเอ๊ย คิดๆ ดูตอนนี้ยังโกรธอยู่เลย!”
เฮ่อเหว่ยสีหน้ามืดหม่น “เอาล่ะ ปากแกน่ะพูดให้มันเพราะๆ หน่อย แกเพิ่งจะอายุเท่าไร แกอย่าลืมสิว่าแกเป็นนักศึกษาคนหนึ่งน่ะ อย่าเอาแต่อ้าปากพูดว่า ‘แม่งเอ๊ย’ ‘แม่งเอ๊ย’ ไปวันๆ มันเหมือนนักเลง”
“เหอะๆ ก็พ่อพูดว่าผมมีฝีมือนี่!” เฮ่อเหยียนข่ายไม่ได้ร้อนใจ แต่เขาก็เข้าใจพ่อของตัวเองดีเกินไป สิ่งที่เฮ่อเหว่ยรับไม่ได้ที่สุดก็คือความคับข้องหมองใจของลูกชาย และความคับข้องหมองใจของเขาก็แสดงออกมาจนถึงขีดสุดแล้วเช่นกัน
“เฮ้อ ที่จริงเรื่องนี้ก็แปลกนะ ปกติซุนโส่วเหวินไม่ได้พูดมาก จัดการเรื่องราวก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องให้เกียรติอะไร ดำเนินการตามที่คุณซ่งกำชับมาหมด จะมีเรื่องกับแกได้ยังไงกัน…”
“ผมจะไปรู้ได้ยังไง ถือว่าผมโชคร้ายไปแล้วกัน” เฮ่อเหยียนข่ายพูด
“เสี่ยวข่าย แกพูดออกมาตามตรง เรื่องนี้ยังมีสาเหตุอื่นด้วยใช่ไหม หรือว่า…แกว่าไอ้คนใส่ไฟคนนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า”
อย่างไรก็ทำเรื่องใต้โต๊ะมาหลายปี ปฏิกิริยาแรกของเฮ่อเหว่ยคือคิดว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ ซุนโส่วเหวินไม่มีทางหาเรื่องเฮ่อเหยียนข่ายโดยไม่มีเหตุผล อย่างแรกนี่ไม่ใช่นิสัยของเขา อย่างที่สองสำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกำไรเขาไม่มีทางทำแบบนี้
นอกเสียจาก…
นอกเสียจากลูกชายของตนจะโกหก หรือสถานะของคนคนนั้นไม่ธรรมดา!
“เบื้องลึกเบื้องหลัง? เชฟคนหนึ่ง ชื่อว่าซ่งจื่อเซวียน จะมีเบื้องหลังอะไร”
“ซ่งจื่อเซวียน? แซ่ซ่งเหมือนกันเหรอ ไม่หรอกมั้ง…จะบังเอิญขนาดนั้นเลยเหรอ”
ได้ยินดังนั้น เฮ่อเหยียนข่ายก็ชะงักทันที ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตจุดนี้เลย
แต่พอคิด เขาก็โบกมือ “ไม่หรอกพ่อ พ่อคิดดูนะ ถ้าเขาเกี่ยวข้องกับคุณซ่ง เขาจะมาที่ตลาดอาหารทะเลซื้อของเติมสต๊อกทำไม อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าพ่อก็เคยพูดเหรอว่าหลายปีมานี้คุณซ่งอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ไม่มีครอบครัว กระทั่งไม่มีญาติโกโหติกาอะไรด้วยซ้ำไม่ใช่เหรอ”
พูดถึงตรงนี้ เฮ่อเหว่ยก็พยักหน้า “ก็ใช่อยู่ ถ้างั้นสรุปแล้วซุนโส่วเหวินทำไปเพราะอะไรล่ะ ปกติเขาไม่ใช่คนแบบนี้นะ คนคนนี้ทำตัวนอบน้อมมาก นอกจากจะจัดการเรื่องให้คุณซ่งก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรเลย”
เฮ่อเหยียนข่ายยิ้มพลางยักไหล่ “แล้วแต่เถอะ เรื่องราวผมก็เล่าไปแล้ว อย่างอื่นพ่อก็ค่อยๆ คิดดู อย่ารอให้มีสักวัน ที่แม้แต่พ่อก็จะถูกคนเขาเหยียบย่ำเอานะ”
เฮ่อเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย “เอาล่ะ พูดไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย แกรีบกลับมหา’ลัยไปเถอะไป เรื่องนี้ฉันจะคิดดู”
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนก็มาถึงโรงแรมที่ฟางรุ่ยพักอยู่ ฟางรุ่ยตื่นแต่เช้า ถึงจะดื่มไปไม่น้อย แต่สมรรถภาพทางกายหลายปีมานี้ยังทำให้ตอนตีห้ากว่าเขาก็ตื่นแล้ว
แต่ทางซางเทียนซั่วไม่เห็นเค้าว่าจะตื่นเลยสักนิด ตอนนี้แปดโมงแล้ว เสียงกรนยังดังออกมาจนห้องถัดไปยังได้ยิน
ซ่งจื่อเซวียนจึงปล่อยไปไม่เรียกเขา พาฟางรุ่ยไปที่ร้านอาหารร่ำรวยก่อน
เนื่องจากเขตเฉิงตงห่างกับที่เดิมอยู่ไม่น้อย การเดินทางจึงใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่า พอถึงร้านก็เกือบสิบโมงแล้ว
พอเข้าไปในร้าน ก็เห็นพนักงานกำลังง่วนอยู่กับการปัดกวาดเช็ดถูโถงด้านหน้า ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกมีความสุข ถึงอย่างไรตอนนี้สถานะของเขาไม่ใช่แค่เชฟแล้ว แต่เป็นเถ้าแก่เต็มตัว เขาเป็นหุ้นส่วนที่นี่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
เข้าไปในครัวด้านหลัง ก็เห็นเหล่าเชฟในชุดยูนิฟอร์มสีขาวเหมือนกันหมด สะอาดสะอ้าน ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับงาน
เพิ่งจะเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง ก็เห็นคนสวมชุดยูนิฟอร์มเชฟคนหนึ่งเดินผ่านมา คนคนนี้แข็งแรงกำยำ ตาเรียวเล็ก ดูแล้วแฝงไปด้วยความหยาบกระด้างอยู่หลายส่วน
“เฮ้ยๆๆ นายจะทำอะไร ใครให้นายเข้ามาในครัวด้านหลัง” คนคนนั้นถือตะหลิวพลางเดินปรี่มาดันหน้าอกของซ่งจื่อเซวียนเอาไว้แล้วพูดออกมา
ฟางรุ่ยเห็นสถานการณ์ก็หงุดหงิด แต่ตอนจะขยับตัว ซ่งจื่อเซวียนกลับยกมือห้ามเขา “พี่ชายท่านนี้ ผมมาทำงานครับ”
“ในครัวด้านหลังเหรอ เมื่อวานไม่เห็นนายเลยนี่ ไม่เคยได้ยินเสี่ยปาพูดมาก่อน…เมื่อวานนายไม่ได้มาเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม “เมื่อวานด้านนอกยุ่งมาก เสี่ยปาเลยให้ผมไปช่วยงานที่โถงด้านหน้า จริงสิ คุณคือหัวหน้าเชฟหูใช่ไหม”
อย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็เคยเห็นรายชื่อของคนในครัวด้านหลังมาแล้ว รู้ว่าหัวหน้าเชฟแซ่หู ชื่อว่าหูเจิ้น ตอนนี้เห็นรัศมีเขาเต็มเปี่ยมขนาดนี้ น่าจะไม่ผิดตัวแล้ว
“อ้อ…แบบนี้นี่เอง ใช่ ฉันคือหูเจิ้น อย่างนั้นนาย…รีบไปเปลี่ยนชุดไป ที่นี่เขายุ่งกันอยู่นะ” หูเจิ้นพูดพลางเดินเข้าไป “แต่ว่าไม่รู้เลยจริงๆ แฮะ จริงสิ นายทำหน้าที่อะไรล่ะ เป็นเด็กครัวเหรอ”
ฟางรุ่ยโมโหแล้ว พูดว่า “เด็กครัวเรอะ นี่คือนายท่าน…”
คำว่ารองยังไม่ได้พูดออกมา ซ่งจื่อเซวียนก็รีบพูดว่า “ไม่ใช่ครับ ร้านของเรามีเมนูซิกเนเชอร์อยู่อย่างหนึ่ง ผมเป็นคนทำน่ะ”
“เมนูซิกเนเชอร์เหรอ ให้ตายสิ ข้าวผัดจักรพรรดิอะนะ ฮ่าๆๆ ฉันรู้ แต่ก็น่าตลกจริงๆ นะ เสี่ยปาเห็นต้าสือไต้เขามีเมนูซิกเนเชอร์อยู่อย่างหนึ่ง ก็ไปเรียนมาทำตาม ที่หนึ่งราคาแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวน ภัตตาคารเขาใหญ่ไม่มีปัญหาหรอก เรามันร้านเล็กๆ…เกินความจำเป็นไปจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “หัวหน้าเชฟ พวกเขาใหญ่โตยังขายได้ ร้านเล็กๆ อย่างพวกเราก็ขายได้สิ”
“เอาล่ะๆ นายรีบไปทำงานเถอะ ยังไงข้าวผัดของนายก็ไม่มีคนกินหรอก พอได้ยินก็รู้สึกว่าเป็นของปลอมแล้ว เอ่อ…ตอนที่นายไม่มีงานทำก็ไปทำเบ็ดเตล็ดแล้วกัน ช่วยส่งของนั่นนี่น่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ยิ้ม ไม่ได้สนใจ ดูท่าเสี่ยปาจะยังไม่ได้พูดคุยอะไรมากจริงๆ ด้วยนิสัยของเสี่ยปา จัดการอะไรก็ไม่ละเอียดประณีต เดาว่าไม่ได้บอกกับพวกเขาว่าซ่งจื่อเซวียนมาจากต้าสือไต้
ตระเตรียมของง่ายๆ สักหน่อย ซ่งจื่อเซวียนก็พบว่าที่นี่ไม่มีเตาเป็นของตนเองโดยเฉพาะ ที่จริงเขาเคยพูดกับเสี่ยเฉิงปาเอาไว้แล้วว่าถ้าเป็นข้าวผัดนี่…คงไม่ใช่ว่าต้องแย่งที่กับหัวหน้าเชฟหรอกมั้ง
แต่คิดๆ ไปก็ช่างปะไร ถึงอย่างไรก็เป็นวันแรก ซ่งจื่อเซวียนวนๆ อยู่รอบหนึ่ง ก็เดินออกไปที่โถงด้านหน้า อย่างไรเสียก็เป็นเถ้าแก่ ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับร้านสักหน่อย ทำความคุ้นเคยกับพนักงานบ้าง
แต่เขายังไม่ทันเดินออกไป ก็ได้ยินหูเจิ้นตวาดมา “เฮ้ย แกแม่งสมองมีปัญหาหรือไงวะ เดินวกไปวนมาอยู่ตรงนั้นหาอะไร รีบมาทำงานให้ข้าสิวะ!”
………………………………………