เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 118 ถอดเสื้อผ้าออกมาก็คือลิง
ตอนที่ 118 ถอดเสื้อผ้าออกมาก็คือลิง
ได้ยินหวังเฉิงยงพูดแบบนี้ เสี่ยเจียงก็แปลกใจ เขาครุ่นคิดว่าตนเองไม่ได้จำผิด…
“เสี่ยคงยุ่งมากจนลืมเรื่องราวไปเยอะเลยสินะครับ กระทะเหล็กน่ะ ตอนนั้นเสี่ยยังพูดอยู่เลยว่าถ้าไม่มีกระทะใบนี้ ทักษะทำอาหารของเสี่ยก็จะลดลงไปอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง”
หวังเฉิงยงอดมองซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ รีบหลบสายตาทันที
“ใครจะยุ่งมากจนลืมเรื่องราวไปเยอะล่ะ ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย นายจำผิดแล้ว นั่นไม่ใช่ฉัน!”
หวังเฉิงยงพูดพลางไม่ลืมขยิบตากับเสี่ยเจียง
หวังเฉิงยงพูดในใจ นายไม่รู้แต่ฉันรู้ เจ้าเด็กซ่งจื่อเซวียนคนนี้ดูเหมือนจะซื่อๆ แต่ภายในฉลาดหลักแหลมอย่างกับลิง คราวก่อนตนเองเอาของที่ดูเรียบร้อยแล้วให้อีกฝ่ายดู ไม่คิดเลยว่าจะแย่งไป
แค้นนี้ยังไม่ได้ชำระ ตอนนี้เจียงเหล่าซานอย่างนายยังกล้าพูดถึงกระทะของฉันอีกเหรอ ตอนนี้ยังดี จู่ๆ หวังเฉิงยงก็รู้สึกว่าถ้าไม่กลัวขโมยก็กลัวว่าขโมยจะห่วงหาเขา…
เห็นสายตาของหวังเฉิงยง เสี่ยเจียงอดมองซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ ก็เข้าใจความหมายทันที “อ้อๆ เหมือนว่าผมจะจำผิดแหละ…ใช่ๆๆ จำผิด อายุมากแล้วก็ลืมนั่นลืมนี่อยู่บ่อยๆ”
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่ได้สับสนขนาดนั้น เขาเผยรอยยิ้ม ตรงไปนั่งข้างๆ หวังเฉิงยง ทั้งยังเอามือไปวางไว้บนไหล่เขา
“งั้นเหรอครับ มีกระทะเหล็กด้วยเหรอ”
เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของซ่งจื่อเซวียน หวังเฉิงยงรู้สึกแค่ตัวชา เขากลืนอาหารลงไปคำหนึ่ง แสร้งทำเป็นไม่รู้จะพูดอะไร “หา? อะไร เขาจำผิดไง ฉันไม่มี ไม่มีสักหน่อย…”
“ว่างๆ เอามาให้ผมดูหน่อยได้ไหม” ซ่งจื่อเซวียนรักษารอยยิ้มไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ในสายตาของหวังเฉิงยง นั่นเป็นความกดดันจริงๆ…
ต้องรู้ว่าถ้าเจ้าเด็กคนนี้เห็นของดีแล้วล่ะก็จะคุ้นเคยมากกว่าใครๆ
ไม่ว่าจะที่ตลาดโบราณ หรือที่ถนนอิเล็กทรอนิกส์หลังจากนั้น ล้วนเห็นได้ชัดมาก
เขายังไม่รู้เรื่องปี่เซียะเนื้อน้ำแข็งกับตู้เตี้ยราชวงศ์หมิงเลย ถ้ารู้เข้าเดาว่าตอนนี้คงวิ่งปรี่ไปแล้ว
“นายอย่ายิ้มสิ ดูน่ากลัวชอบกล” หวังเฉิงยงดันแขนของซ่งจื่อเซวียนออก “ฉันแก่ขนาดนี้แล้วนายจะมาลูบฉันทำไม ไปนั่งตรงนั้นไป”
“ไม่ เราสองคนมีความสัมพันธ์อันดี ผมจะนั่งนี่แหละ ตาเฒ่า ขอดูกระทะนั่นของคุณได้ไหม”
เหมือนเป็นเพราะผ่านเรื่องที่ถนนอิเล็กทรอนิกส์ครั้งก่อนมา ซ่งจื่อเซวียนจึงพูดคุยกับหวังเฉิงยงตามใจมากขึ้น ตาแก่นี่ไม่ใช่แค่น่าสนใจ ยังเป็นคนมีไหวพริบอีก ที่สำคัญที่สุดคือ…ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่าเขามีของดี
หวังเฉิงยงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ก็ได้ น่ารำคาญเป็นบ้า คราวหน้าไปดูที่บ้านฉัน โอเคไหม”
“คำพูดลูกผู้ชาย!”
“ได้ พูดแล้วไม่คืนคำ โอเคไหม สองวันนี้นายไปดูที่บ้านพวกเรา” หวังเฉิงยงพูดอย่างจนปัญญา ดื่มสุราหนึ่งอึก “เอาล่ะ นายรีบไปเถอะ รกหูรกตาเป็นบ้า”
“เชอะ คุณดื่มไปเถอะ อีกสองวันไปดื่มที่บ้านคุณต่อ!”
ซ่งจื่อเซวียนพออกพอใจ ลุกขึ้นเดินด้วยท่าทางตามมารยาทอย่างราชวงศ์ชิงแล้วหันหลังจากไป
“เฮ้อ ฉันว่านะเจียงเหล่าซาน ทำไมคนอย่างนายถึงปากพล่อยขนาดนี้นะ เอาเถอะ ตอนนี้เหนื่อยอีกแล้ว” หวังเฉิงยงพูด
“เอ่อ…เสี่ยหวัง หมายความว่ายังไงครับ” เสี่ยเจียงสับสนงงงวย อย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหวังเฉิงยงกับซ่งจื่อเซวียน
หวังเฉิงยงกลอกตาใส่เขา “ยังจะหมายความว่ายังไงอีกเหรอ ฉันจะบอกนายให้นะว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นปีศาจในร่างคน ถ้าเอาของดีๆ อะไรให้เขาดูฉิบหายแน่นอน ถูกเขาหาทางเอาไปแน่”
“เสี่ยหวัง เรื่องนี้ผมไม่รู้เลย ซ่งจื่อเซวียนเขายังมีความสามารถแบบนี้ด้วยเหรอครับ” เสี่ยเจียงถาม
“เขาน่ะเหรอ ถอดเสื้อผ้าออกมาคงมีขนทั้งตัวแน่ๆ ก็ลิงนั่นแหละ พอแล้ว ไม่พูดแล้ว พวกเราดื่มกันก่อนเถอะ”
“ครับ!”
แต่เสี่ยเจียงก็ใคร่ครวญในใจ ไม่แตะต้องซ่งจื่อเซวียน…เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ถ้าฟังเสี่ยหวงจริงๆ ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะวุ่นวายแค่ไหน
จ้งอันกรุ๊ป สมาคมจุนเค่อ ตอนนี้แม้แต่เสี่ยหวังที่เกษียณจากวงการมานานปีขนาดนี้ก็ยังรู้จักเขา จำต้องพูดประโยคนี้ว่าเขามีความสามารถจริงๆ!
ตอนนี้ดูท่าที่มาวันนี้จะถูกต้องแล้ว ดูจากตอนนี้ การมองสถานการณ์อยู่เงียบๆ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นวิธีที่ดี ซ่งจื่อเซวียนคนนี้จะผงาดขึ้นมาในตู้เหมินจริงๆ…
…………………
ณ หอหงเยวี่ย
หอหงเยวี่ยตอนบ่าย ลูกค้าก็เริ่มมีบ้างแล้ว กลิ่นหอมของชาแผ่กำจายไปทั้งโถงด้านหน้า
รู้กันอยู่แล้วว่าค่าใช้จ่ายของหอหงเยวี่ยค่อนข้างสูง ค่าใช้จ่ายสำหรับห้องส่วนตัวและน้ำชาหนึ่งกาก็ราคาหลักร้อยเกือบหลักพัน แต่ใบชานี้ก็คุ้มค่าสมราคา หลี่ม่านหงไม่สามารถนำใบชาราคาต่ำกว่าสองพันหยวนห้าร้อยกรัมมาขายได้เพราะจะเสียชื่อหอหงเยวี่ย
เนื่องจากวันนี้ผู้นำในท้องที่มีเสวนากันที่นี่ ดังนั้นถึงจะเป็นเสี่ยหวง ก็ต้องเลือกห้องส่วนตัวห้องอื่น ไฉ่อวิ๋นเฟยย่อมต้องยกให้เหล่าผู้นำใช้กัน
ในห้องส่วนตัว กลิ่นชา กลิ่นควันบุหรี่ผสานรวมกัน และเป็นกลิ่นปกติสุดของที่นี่
ซิกการ์ในมือของหวงฟาขยับน้อยๆ ควันเบาบางก็ลอยคลุ้งออกมาเร็วขึ้น
“ท่าทางของเฉิงปาเขาเป็นยังไงบ้าง” หวงฟาถาม
เคอหงเทาพยักหน้า “ไม่ผิดเลยครับ เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาจะปกป้องซ่งจื่อเซวียน ต่อให้เป็นเสี่ยหวง เขาก็ไม่ถอย”
ได้ยินดังนั้น หวงฟาก็ยิ้ม “ดี ดีจริงๆ ฉันได้รู้ว่า…งานชุมนุมอาหารตู้เหมินที่ฉันเปิดตอนแรกมีปัญหานิดหน่อย”
“หืม เสี่ยหมายความว่ายังไงครับ” เคอหงเทาถาม
“เหอะๆ หามาได้แค่พวกขี้เมาหยำเปสามสี่คน ดูท่าตอนนี้…ฉันไปร่วมมือกับเฉิงปาเสียตั้งแต่แรกน่าจะไว้ใจได้มากกว่า!”
ได้ยินประโยคนี้ เคอหงเทาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที ไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องประจบประแจงเสี่ยหวง แต่แพ้ให้กับเฉิงปาต่างหาก…ที่ทำให้เขาไม่พอใจที่สุด
“เสี่ยหวง เฉิงปาเขาเป็นคนที่โตแต่ตัวไม่มีสมอง ผมเดาว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์คือโดนซ่งจื่อเซวียนหลอก ผมกับเด็กนั่นเคยพูดคุยกันมาก่อน เด็กนั่นมีสมองอยู่บ้างครับ” เคอหงเทาพูด
หวงฟาสูดลมหายใจลึก แล้วถอนหายใจออกมาทันที ยักไหล่พลางยิ้มพูด “ช่วงนี้เหล่าเจียงก็ไม่ได้ติดต่อฉัน เรื่องนี้แปดสิบเปอร์เซ็นต์เขาคงไม่อยากยุ่งแล้ว เคอซาน ในใจนายน่าจะมีเปอร์เซ็นต์อยู่ด้วยล่ะมั้ง”
เคอหงเทาเข้าใจความหมายในคำพูดของหวงฟา ‘ฉันต้องจัดการคนอย่างเฉิงปากับเหล่าเจียงพวกนี้ไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว ถ้าตอนนี้แกทำตัวดีๆ แกก็จะเป็นคนของฉัน ในตู้เหมิน ฉันโอบอุ้มแกได้!’
แต่เคอหงเทาไม่ใช่คนโง่ สำหรับเขาแล้ว ถ้าเอาบันทึกหย่งซั่นมาได้ คงจะมีผลประโยชน์ยิ่งกว่าเสี่ยหวงฟา
ตนเองเป็นลูกพี่ได้ ทำไมต้องไปเป็นลูกน้องให้เขาด้วยล่ะ
เมื่อพูดถึงความทะเยอทะยาน เสี่ยเฉิงปาเทียบกับเคอหงเทาเขาไม่ได้ เสี่ยเจียงก็เทียบไม่ติด
“เหอะๆ ความหมายของเสี่ยผมเข้าใจครับ ผมก็รู้ว่าต้องทำยังไง เสี่ยวางใจเถอะ ผมจะทุ่มสุดตัว”
หวงฟาเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง พูดว่า “เมื่อถึงเวลาที่จำเป็น…พวกเราอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการทั่วไป”
“หืม เสี่ยหมายถึง…” สีหน้าเคอหงเทาอึมครึ้มทันที
“แต่เรื่องต้องจัดการให้เกลี้ยงเกลาและงดงาม เสี่ยซาน เรื่องแบบนี้…ฉันวางใจแค่นายนะ” หวงฟาพูดพลางจ้องเคอหงเทา น้ำเสียงนั้นเชื่อมั่นเด็ดขาด
“เข้าใจแล้วครับเสี่ย แต่ผมต้องบอกความจริงกับเสี่ยนะครับว่าซ่งจื่อเซวียนคนนี้ดื้อรั้น ถ้าผมเดาไม่ผิด ต่อให้มีดจ่อที่คอ ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้เขาเชื่อฟังได้”
คำพูดนี้ของเคอหงเทาไม่ได้ล้อเล่น เขาพูดคุยกับซ่งจื่อเซวียนมาหลายครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะข่มขู่อย่างไร ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่เคยก้มหัวให้เลยสักครั้ง นี่คือเรื่องจริง
“เหอะๆ เคอซานหนอเคอซาน นายคิดว่าฉันจะบอกว่านายฉลาดหรือโง่กันล่ะ นิสัยแข็งกร้าวน่ะ ฉันเจอมาเยอะแล้ว แต่ฉันหวงฟาลงโทษพวกเขาค่อนข้างสบายอยู่นะ” หวงฟาพูดด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้…เสี่ยหวงเปิดเผยดีนะครับ”
“มีดจ่อคอยังไม่ยอมอีกเหรอ ถ้าอย่างนั้นนายลองเอาจ่อคอคนในครอบครัวเขา จ่อคอแฟนของเขา วันนี้ฉันทิ้งคำพูดไว้ตรงนี้ เรื่องนี้สำเร็จแน่นอน”
เคอหงเทานิ่งเงียบครู่หนึ่ง คิดในใจว่าหวงฟานี่ใจเด็ดมากจริงๆ เรื่องนี้ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่นายสั่งให้ฉันทำเนี่ยนะ ถ้าได้บันทึกหย่งซั่นมายังต้องให้นายอีกเหรอ ฉันเคอซานไม่ได้โง่ขนาดนั้น
แต่ถึงในใจจะคิดอย่างนั้น เคอหงเทากลับยังคงพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับเสี่ย ผมขอพิจารณาเรื่องนี้สักหน่อย จากนั้นจะจัดการครับ”
“ฉันจะรอข่าวจากเสี่ยซานนะ!”
หวงฟาพูดพลางยกจอกชาชนกับจอกของเคอหงเทา
……………
การเปิดร้านวันแรกนี้เกินความคาดหมายของซ่งจื่อเซวียนอย่างเห็นได้ชัด เดิมเขาคิดว่าวันนี้ตนเองจะพิงเคาน์เตอร์ทั้งวันก็ผ่านไปได้ แต่คิดไม่ถึงว่าตนเองจะกลายเป็นตัวเอกเสียอย่างนั้น…
การปรากฏตัวของหงหยวนเซิน ซุนโส่วเหวินจนกระทั่งโต้วซานซานล้วนทำให้เขาประหลาดใจ ที่สำคัญที่สุดคือคาดไม่ถึงว่าหวังเฉิงยงกับเสี่ยเจียงรุ่นเก๋าในวงการคู่นี้จะมีเรื่องราว แน่นอนว่าสิ่งที่เก็บเกี่ยวมาได้มากที่สุดก็คือนัดกับหวังเฉิงยงว่าจะไปดูกระทะเหล็กใบนั้นเรียบร้อยแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจ ก็เหมือนกับที่หงหยวนเซินพูดว่าในวงการอาหารไม่มีความลับ เดิมเขาคิดว่าตัวเขาจืดจางนัก แต่วันนี้เขากลับกลายเป็นตัวเอกที่โดดเด่นที่สุดเสียอย่างนั้น
นับว่าพวกซ่งจื่อเซวียนดื่มตั้งแต่เที่ยงจนถึงหัวค่ำ ช่วงแรกอยู่กับพวกหงหยวนเซินกับซุนโส่วเหวิน พอกินมื้อเที่ยงเสร็จพวกเขาก็แยกย้าย ช่วงหลังแทบจะเป็นรอบพิเศษของโต้วซานซานกับถังหย่าฉี จากจิบเล็กจิบน้อยกลายเป็นเมามายเสียงดัง
จากนั้นสองสาวก็ดื่มกันต่อจนกลายเป็นพี่สาวน้องสาวกัน ที่โอเวอร์ที่สุดก็คือถังหย่าฉีกำชับให้ซางเทียนซั่วปฏิบัติกับโต้วซานซานดีๆ
แต่ซางเทียนซั่วก็ดื่มไปมากแล้วจึงตอบเต็มปากเต็มคำ แถมยังพูดอีกว่าจะให้โต้วซานซานขายบริษัททิ้งแล้วกลับบ้านไปทำขนมให้เขากินโดยเฉพาะแทน ใบหน้าน้อยๆ ของโต้วซานซานแดงขึ้นทันทีแล้วก็ตกปากรับคำ
มีแค่ซ่งจื่อเซวียนคนเดียวที่ถึงแม้จะดื่มไปน้อยก็ยังถือว่ามีสติอยู่ ถึงอย่างไรก็เรียนรู้กับชายชรามาตั้งแต่เด็ก ปริมาณแอลกอฮอล์นั่นไม่ใช่เล่นเลยจริงๆ
ก่อนอื่นให้ไต้ทงไปส่งถังหย่าฉีก่อน แล้วเรียกคนขับรถมืออาชีพให้โต้วซานซาน แล้วถึงค่อยให้ฟางรุ่ยประคองซางเทียนซั่วกลับโรงแรม
ส่วนซ่งจื่อเซวียนก็ไปบ้านตาเฒ่าฟาง
ทันทีที่เข้าบ้านไป ซ่งจื่อเซวียนก็ได้ยินเสียงวิทยุทรานซิเตอร์เครื่องนั้นของตาเฒ่าฟาง เขายิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้อง เอาขวดเก็บความร้อนวางบนโต๊ะ
“มาครับปู่ มากินข้าว!”
ฟางจิ่งจือมองซ่งจื่อเซวียน “เปลืองวัตถุดิบอีกแล้วเหรอ”
“เฮ้ยๆ ปู่ลองชิมดูก่อน ผมทำตอนใกล้เลิกงาน ปู่ลองดูว่ากลิ่นถูกไหม” ซ่งจื่อเซวียนตั้งใจทำมากเป็นพิเศษ จนตอนที่ร้านปิด พ่อครัวไปกันหมดแล้ว เขาถึงได้ทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายออกมาที่หนึ่ง จุดประสงค์ก็คือให้ชายชราชิม
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเปิดขวดเก็บความร้อน กลิ่นนั้นลอยฟุ้งออกมา ฟางจิ่งจือจึงผงะไป
ไม่นานนัก เขาก็ยิ้ม “หลานเอ๊ย เสิร์ฟให้สักชามสิ”
“รับออร์เดอร์!” ซ่งจื่อเซวียนก็ภูมิใจในพริบตา ตาเฒ่าอยากชิม ดูท่ากลิ่นแบบนี้จะถูกต้องจริงๆ
ฟางจิ่งจือยกชามจรดที่จมูกแล้วลองดม ดื่มเข้าไปทันที “อืม…หลานเอ๊ย รสชาตินี้ ไม่ได้กินมาสิบกว่าปีแล้วล่ะ…”
“ถ้าปู่ชอบกิน ผมจะทำมาให้ปู่ที่หนึ่งทุกวันเลย”
ฟางจิ่งจือส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ต้องหรอก ตอนนี้แก่แล้ว ทนกินเจ้านี่ไม่ไหว ชิมคำหนึ่งก็พอแล้ว หลานเอาไปให้แม่แกลองดูเถอะ”
“ปู่ไม่กินแล้วเหรอ”
ชายชราส่ายหน้าไม่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ตอแยอีก ปิดฝาขวดเก็บความร้อน แต่กลับมีความสุขราวกับมีดอกไม้บานสะพรั่งอยู่ในใจ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายที่ชายชรายอมรับคุณภาพแล้ว
แต่ซ่งจื่อเซวียนนึกถึงปฏิกิริยาของคนสองสามคนที่ได้กินน้ำแกงห้าสายเมื่อวานขึ้นได้ ท่าทีของตาเฒ่าฟางไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เหมือนเคยได้กินเคยได้เห็นมาก่อนจริงๆ
“แหะๆ ปู่ น้ำแกงห้าสายนี่ทำถูกแล้ว…ถ้างั้นตะหลิวลายฟีนิกซ์นั่น…”
…………………………………………..