เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 117 ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 117 ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย
ตอนที่ 117 ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย
เสี่ยเจียงสวมชุดแบบราชวงศ์ถังสีบานเย็น ผ้าไหมสะท้อนแสงแวววาว ปักอย่างงดงามและมีชีวิตชีวา มือถือไม้เท้าหัวมังกร รัศมีนั่นเหนือกว่าพวกแขกในงานจนเทียบไม่ติดเลยจริงๆ
เห็นเสี่ยเจียงเดินเข้ามา เฉิงปาก็รีบไปต้อนรับ “เสี่ยเจียง จะว่ายังไงดีล่ะ เป็นเกียรติมากที่เสี่ยมาร่วมงานครับ”
เสี่ยเจียงได้ยินก็ยักไหล่ พูดเจือรอยยิ้มจางๆ “เสี่ยปาก็เกรงใจไป ผมมาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ ผมมาหาคนน่ะ”
เมื่อครู่เสี่ยเฉิงปาร่วมดื่มกับแขกหลายโต๊ะไปไม่น้อย ตอนนี้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ตีขึ้นมาแล้ว ได้ยินคำพูดนี้ของเสี่ยเจียงก็รู้สึกไม่สบายใจทันที
“เหอะๆ หาคนเหรอครับ เสี่ยเจียง เสี่ยมาหาคนที่ร้านผมเหรอ”
เสี่ยเจียงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมถึงขีดสุด “เฉิงปา คุณไม่ได้เปิดร้านนี้แค่คนเดียวใช่ไหม”
เสี่ยเฉิงปานึกอะไรขึ้นได้ทันที เคอหงเทาเคยพูดกับเขาไว้ว่างานชุมนุมอาหารคราวก่อนเรียกเข้าประชุมอยู่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็มีเสี่ยเจียงด้วย
ดังนั้นเสี่ยเฉิงปาก็เชื่อมโยงเรื่องราวพวกนี้ได้ในทันที หรือว่าที่เสี่ยเจียงมาที่นี่จะเกี่ยวข้องกับเสี่ยหวงกัน
เขากับเสี่ยเจียงไม่ได้มีเรื่องผิดใจอะไรกัน ไม่เหมือนกับเคอซาน แต่ถ้าเสี่ยเจียงมาเพื่อเรื่องนั้นเหมือนกัน เกรงว่าจะไม่ได้มาดีแล้ว
“ฮ่าๆ ร้านของผมก็คือร้านของผมคนเดียวสิครับ ถ้าเสี่ยเจียงจะหาคนล่ะก็…เกรงว่าจะมาผิดที่แล้ว”
“พูดเพ้อเจ้อให้มันน้อยๆ หน่อย เฉิงปา อย่ามาเมาเหล้าใส่เสี่ยคนนี้ ผมมาหาคุณซ่ง” ขณะที่เสี่ยเจียงพูดก็ใช้ไม้เท้าหัวมังกรกระแทกกับพื้นอย่างแรง
ต้องพูดเลยว่า วงการอาหารในเมืองตู้เหมิน มีเสี่ยเจียงคนหนึ่งที่เสี่ยเฉิงปาเห็นแล้วกระวนกระวาย เจียมเนื้อเจียมตัวหลายส่วน
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“เรื่องส่วนตัวน่ะ ถือโอกาสส่งของแสดงความยินดีด้วยเลยแล้วกัน”
“ของแสดงความยินดีเหรอครับ เมื่อกี้เคอซานมาแล้ว ของแสดงความยินดีนั่นก็นับว่าใหญ่อยู่ อีกนิดก็ก่อกวนงานเปิดร้านของผมแล้ว ของแสดงความยินดีเสี่ยเจียงนี่…เกรงว่าผมจะไม่กล้ารับ” เสี่ยเฉิงปาพูด
“ให้ตายสิ เฉิงปา ถ้าไม่ใช่คุณซ่ง วันนี้เสี่ยไม่มาหรอก เกียรติของคุณไม่ได้มากขนาดนั้น เต๋อหมิง เอาของแสดงความยินดีของพวกเราให้เสี่ยปาดูหน่อยสิ”
เสี่ยเจียงหันไปพูดกับหานเต๋อหมิงด้านหลัง
หลังจากนั้น หานเต๋อหมิงก็หยิบซองแดงออกมาส่งให้เสี่ยเฉิงปา
เสี่ยเฉิงปารับมาจับก็รู้ว่าด้านในไม่ได้บาง จึงอดสูดลมหายใจไม่ได้ คนคนนี้ส่งของแสดงความยินดีจริงๆ เหรอ
“เอาล่ะ เชิญเสี่ยเจียงด้านในเถอะครับ แต่ตอนนี้น้องซ่งอยู่กับคนของจ้งอันและรองประธานของจุนเค่อ เสี่ยรอผมเรียกเขามาแล้วกันนะครับ”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยเจียงก็ชะงัก ความสัมพันธ์ของซ่งจื่อเซวียนกับคนของจ้งอันไม่ธรรมดา เรื่องนี้เขาคาดการณ์ไว้ตั้งนานแล้ว นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาไม่กล้าทำตามสิ่งที่เสี่ยหวงกำชับให้จัดการ แต่คิดไม่ถึงว่ารองประธานของจุนเค่อก็อยู่ด้วย…
ปฏิกิริยาแรกของเขาคิดว่าเฉิงปากำลังโม้อยู่ แต่ทันทีที่คิดว่า…การโม้แบบนี้ก็จะถูกเปิดโปงได้ง่ายเกินไป คนอย่างเฉิงปาต่อให้จะโง่แต่ก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น
เขาพยักหน้าอย่างจำนน “ได้ ผมจะรอเขา”
เสี่ยเฉิงปาเดินขึ้นไปด้านบนเกินหนึ่งนาทีกว่า ซ่งจื่อเซวียนก็เดินลงมา
เห็นเสี่ยเจียง ซ่งจื่อเซวียนก็ประสานหมัดคารวะก่อน “เสี่ยเจียง ได้เจอกันอีกแล้ว”
เสี่ยเจียงรีบประสานหมัดตอบกลับเป็นมารยาททันที “คุณซ่ง ผมมาสายไปหน่อย คุณอย่าตำหนิกันเลยนะ วันนี้ผมมาอวยพรคุณโดยเฉพาะเลย”
ซ่งจื่อเซวียนแปลกใจอยู่บ้าง ว่ากันตามเหตุและผล เขากับเสี่ยเจียงเจอกันครั้งเดียว เดิมจะว่าสนิทสนมก็เอ่ยไม่ขึ้น อีกทั้งเขาก็แทบจะคิดถึงจุดประสงค์ที่เสี่ยเจียงมาหาตนเองได้
โดยเฉพาะหลังจากได้รู้จักเสี่ยหวงคนนี้ ซ่งจื่อเซวียนกระทั่งประติดประต่อเสี่ยเจียงกับเสี่ยหวงไว้ด้วยกันได้
เสี่ยเคอซานเพิ่งมาก่อความวุ่นวายไปรอบหนึ่ง เสี่ยเจียงก็มาอีกคน…
แต่ไม่ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย เขาก็ต้องเผชิญหน้า เขายิ้ม “เสี่ยเจียงเกรงใจแล้ว เสี่ยมาได้ก็ใจกว้างมากแล้วครับ แถมยังเอาของแสดงความยินดีอะไรมาด้วย”
“นี่เป็นมารยาทน่ะ วันนี้เป็นวันมงคล ก็ต้องคิดให้มงคลเข้าไว้ มาสิ ของเล็กๆ น้อยๆ”
เสี่ยเจียงหยิบซองแดงออกมาอีกครั้ง ส่งให้ซ่งจื่อเซวียนด้วยสองมือ
ซ่งจื่อเซวียนลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง ถ้าบอกว่านี่เป็นคำแนะนำของเสี่ยหวงเหมือนกัน เช่นนั้นเสี่ยเจียงก็พยายามเกินไปแล้วมั้ง
ว่ากันตามเหตุผล ตำแหน่งของเขาคล้ายๆ กับเฉิงปาและเคอซาน แต่ต่อให้เป็นเสี่ยเฉิงปาก็ไม่ได้เคารพตนเองขนาดนี้
“เอาอย่างนี้ครับ เชิญเสี่ยเจียงด้านบนดีกว่า”
“ไม่ต้องๆๆ วันนี้เสี่ยปาก็ไม่ได้ให้เชิญฉัน ฉันแค่มาส่งของแสดงความยินดีเดี๋ยวก็ไปแล้ว ไม่อยู่นานหรอก” เสี่ยเจียงพูดพลางโบกมือ
“อย่างนั้นก็ไม่ค่อยดีเท่าไรจริงๆ จะไม่มีมารยาทด้วย วันนี้คุณมาแล้วอย่างน้อยก็ดื่มเหล้าสักหน่อย เชิญด้านบนไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดถึงตรงนี้แล้ว เสี่ยเจียงย่อมไม่ไว้หน้าไม่ได้ จึงพยักหน้าไปอย่างจำยอม “งั้นตาแก่ก็ไม่ปฏิเสธแล้วแล้วกันนะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “คุณเกรงใจไปแล้วครับ!”
ทั้งสองเตรียมจะขึ้นไปด้านบน ก็เห็นเหลยจื่อวิ่งเข้ามาอย่างกระวนกระวาย เขาหาเสี่ยปาไม่เจอ จึงวิ่งตรงมาหาซ่งจื่อเซวียน
“นายท่านรอง มีเรื่องนิดหน่อย” ที่จริงเหลยจื่อก็เข้าใจ บางทีพูดกับซ่งจื่อเซวียนจะมีประโยชน์มากกว่า ตอนนี้แม้แต่เสี่ยปาก็ฟังเขา…
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่น “เกิดอะไรขึ้น”
“นายท่านรอง…คือ มีตาแก่คนหนึ่งเข้ามา ท่าทางเหมือนกับขอทานเลย แถมพูดว่าอยากเจอเถ้าแก่ของร้านพวกเรา”
“หืม เพื่อนเสี่ยปาหรือเปล่า” ซ่งจื่อเซวียนถาม
เหลยจื่อส่ายหน้าตอบ “ไม่มีทางเป็นไปได้ นายไม่ได้เห็นว่าตาแก่นั่นน่าเกลียดขนาดไหน ไม่มีทางที่เสี่ยปาจะมีเพื่อนแนวนั้นแน่นอน”
“แต่ว่า…ให้เขาเข้ามาไม่ได้งั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจ วันมงคลแบบนี้ต่อให้มาก่อกวน ให้สุราเขาสักแก้วก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับเขาในวันเช่นนี้เลย
เหลยจื่อทำหน้าลำบากใจ “นายท่าน ฉันก็บอกเขาไปแล้ว แต่เขาไม่ยอม แถมยังพูดว่า…ต้องไปบอกให้เถ้าแก่ออกมารับเขาด้วยตัวเองน่ะ”
“อะไรนะ” ซ่งจื่อเซวียนหันหน้าไปดู “คิดว่าเสี่ยปาขึ้นไปด้านบนแล้ว เอาอย่างนี้ ผมจะไปกับคุณก่อน”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เดินตามเหลยจื่อออกไป ที่พวกเขาพูดคุยกันเสี่ยเจียงก็ได้ยินแล้ว กลัวว่าซ่งจื่อเซวียนจะแก้ปัญหาไม่ได้ เสี่ยเจียงจึงถือโอกาสตามออกไปด้วยเสียเลย
“เต๋อหมิง ถ้าวุ่นวาย แกก็ช่วยคุณซ่งจัดการเสียหน่อยนะ” เสี่ยเจียงหันไปพูด
“เข้าใจแล้วครับเสี่ย” หานเต๋อหมิงพูดตอบ
แต่ยังไม่ทันเดินถึงหน้าประตู จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็หยุดฝีเท้า เขาขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยครุ่นคิด พริบตาเดียวก็เผยรอยยิ้มออกมา
“เหลยจื่อ ไม่เป็นไร คุณเข้าไปก่อนเถอะ ผมว่าผมรู้แล้วว่าเป็นใคร…”
พูดจบ เขาก็ยิ้มพลางเดินออกจากร้านอาหาร
เห็นเพียงมีชายอายุห้าสิบกว่าปีนั่งอยู่ตรงแท่นหินหน้าร้านอาหาร ถึงแม้จะหันหลังให้ซ่งจื่อเซวียน แต่เขาก็มั่นใจว่าตนเองทายถูก
ชายคนนั้นสวมกางเกงสีเขียวกองทัพ เห็นได้ชัดว่ากางเกงเก่ามาก นอกจากจะมีรอยขาดสองสามจุดแล้วยังมีบางส่วนที่เลอะดินโคลนด้วย
ท่อนบนสวมเสื้อทำงานสีน้ำเงิน ดูแล้วเหมือนเสื้อผ้ายุคแปดศูนย์ คนหนุ่มสาวเห็นแล้วแทบจะคิดถึงคุณปู่คุณตาของตนเอง
การแต่งตัวแบบนี้ ร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้าไม่รู้จักคงนึกว่าเพิ่งออกมาจากสถานที่ก่อสร้างที่ไหน
“ตาเฒ่าหวัง ต้องให้ผมมารับเหรอคุณถึงจะเข้าไปน่ะ”
ได้ยินคำพูดนี้ ชายคนนั้นก็ยักไหล่ ไม่ได้หันหน้ามา
“เหลวไหล เด็กอย่างนายแค่เอาเปรียบหน่อยจะเป็นไรไป วันนี้เสี่ยมาก็เป็นการไว้หน้าแล้ว นายต้องมารับสิ พูดอย่างนี้เป็นบ้าไปแล้วหรือไง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่ได้เป็นบ้าสักหน่อย นี่ผมไม่ได้มารับคุณหรือไงเล่า พวกเราก็อย่าทะเลากันเลย เข้าไปด้วยกันเถอะ ด้านในมีเหล้าดีๆ อาหารดีๆ อยู่ โอเคไหม”
“ฮ่าๆ เด็กอย่างนายถึงจะเจ้าเล่ห์ แต่พูดจาหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ งั้นเสี่ยก็ไว้หน้าแล้วกัน!”
เสี่ยเจียงข้างๆ มึนงง นี่เสี่ยคนไหนกัน
ซ่งจื่อเซวียนในตอนนี้ร่วมมือกับเสี่ยเฉิงปาได้ ถือว่าไม่ธรรมดา ตนเองต้องนับถือเขาสักหน่อย แต่เสี่ยท่านนี้พูดจาไม่ไว้หน้าเลยจริงๆ…
ชายคนนั้นลุกขึ้นหันหน้ามามองซ่งจื่อเซวียน ยิ้มพูด “มาประคองเสี่ยเข้าไปสิ!”
ชายคนนั้นพูดพลางยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนรีบแสร้งเข้าไปประคอง พูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ขอรับเสี่ย เชิญด้านในเลยครับ!”
เห็นชายคนนั้นหันหน้ามา เสี่ยเจียงก็ชะงักทันที “สะ…เสี่ยหวัง”
ได้ยินดังนั้น หวังเฉิงยงก็หันหน้าไปมองเสี่ยเจียง “หืม นายรู้จักฉันด้วยเหรอ”
“เสี่ยหวัง?” ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงักไปเช่นกัน เขาไม่เคยได้ยินใครเรียกหวังเฉิงยงว่าเสี่ยหวังมาก่อน
ปกติจะเรียกเสี่ยจางหรือจะเป็นเสี่ยหลี่ยังเข้าใจได้ นั่นคือใช้เรียกคนที่อายุมากหรือมีตำแหน่งสูง แต่มีเพียงเสี่ยหวังเท่านั้นที่ดูพิเศษ เหมือนแฝงไปด้วยความรู้สึกมีอำนาจและสูงส่ง
“ใช่ครับเสี่ยหวัง เสี่ยยังจำเสี่ยวอวิ๋นซานได้ไหมครับ”
ได้ยินดังนั้น หวังเฉิงยงก็นึกขึ้นได้ นั่นเป็นเรื่องในยุคแปดศูนย์ ตอนนั้นเขาทำงานอยู่ในร้านอาหารร้านหนึ่งชื่อว่าเสี่ยวอวิ๋นซาน
“นั่นมันเรื่องปีไหนแล้ว นี่นายก็รู้จักเหรอ” หวังเฉิงยงถาม
“แน่นอนว่าต้องรู้สิครับ ตอนนั้นคุณเป็นเชฟอยู่ที่เสี่ยวอวิ๋นซาน ผมคือคนที่หั่นวัตถุดิบให้คุณอยู่ครึ่งปีแล้วคุณก็วางมือไปไงครับ!” เสี่ยเจียงพูด
“ปัดโธ่ หลายปีขนาดนี้แล้ว ฉันจำนายไม่ได้จริงๆ” หวังเฉิงยงพูดพลางชี้ไปที่เสี่ยเจียง “ให้ตายสิ นายคือเจียงเหล่าซานใช่ไหม”
“ฮ่าๆๆ เสี่ยหวังยังจำได้จริงๆ ด้วย นี่ก็หลายปี พวกเราแก่กันหมดแล้ว” เสี่ยเจียงยิ้มพูด
ซ่งจื่อเซวียนแปลกใจ ที่แท้หวังเฉิงยงคนนี้เป็นพ่อครัวเหรอ มิน่าเขาถึงบอกเล่าประวัติของข้าวผัดจักรพรรดิออกมาได้ เป็นคนซ่อนคมจริงๆ ตนเองรู้แค่ว่าตาเฒ่าคนนี้รู้เรื่องราวไม่น้อย ใครจะไปคิดว่าเดิมทีจะเป็นเพื่อนร่วมสายอาชีพ
“ใช่ ถูกต้อง ฉันจำได้ว่านายมาได้ไม่นานฉันก็ไม่ทำแล้ว เหนื่อย”
“ฮ่าๆ คุณเป็นชนชั้นสูง ย่อมรับความอยุติธรรมนั่นไม่ไหวอยู่แล้ว”
“เอาล่ะ ในเมื่อได้เจอหน้ากัน อย่างนั้น…ย้อนรำลึกหน่อยไหม” หวังเฉิงยงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ย้อนรำลึก เชื่อเสี่ยครับ”
ขณะที่พูด ทั้งสองจูงมือเดินเข้าไป หวังเฉิงยงไม่ลืมหันหน้าไปพูดว่า “ไอ้หนู เก็บโต๊ะให้เสี่ยสะอาดๆ โต๊ะหนึ่ง ไม่เอาของเหลือนะ”
“ครับ คุณวางใจได้!”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็รีบจัดการเพิ่มโต๊ะ เขารู้ว่าตาเฒ่าหวังเฉิงยงคนนี้เอาใจยาก แต่ตอนนี้แขกเหรื่อยังไม่ได้ออกไป จะไล่ไปด้วยไม้แข็งไม่ได้ จึงทำเพียงเพิ่มโต๊ะอีกโต๊ะหนึ่งก็พอแล้ว
ตอนนี้เสี่ยเฉิงปาก็มาถึงโถงใหญ่แล้ว เห็นซ่งจื่อเซวียนจึงเดินเข้าไปถาม “น้องชาย ตาแก่คนนี้เป็นใครกัน แล้วเสี่ยเจียงเข้าไปพูดคุยด้วยได้ยังไง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่รู้สิครับ รวมๆ ก็…เป็นเรื่องในวงการสมัยอดีตทั้งนั้น จริงสิเสี่ยปา เสี่ยเคยได้ยินเรื่องเสี่ยวอวิ๋นซานมาก่อนไหมครัย”
“เสี่ยวอวิ๋นซานเหรอ เหมือนจะเคยได้ยินนะ ตอนนั้นเป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่ดังมาก แต่ก็หลายสิบปีมาแล้ว ฉันจำได้ว่ามีคนเคยพูดไว้ว่า เชฟร้านพวกเขาเจ๋งโคตร ตอนนั้นคนไม่น้อยไปท้าประลองทักษะการทำอาหารที่เสี่ยวอวิ๋นซาน โดยส่วนใหญ่ก็แพ้แล้วจากไปทั้งนั้น”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ยิ้ม ตาแก่คนนี้…ซ่อนคมจริงๆ
“เอาล่ะ งานเปิดร้านวันนี้นับว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว เสี่ยแต่ละคนก็ถือว่าทักทายหมดแล้ว เสี่ยปาคอยจับตาดูไว้นะ ผมจะไปดูแลโต๊ะนั้น”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินขึ้นบันไดไป
เสี่ยเฉิงปาเกาหัวล้าน “เรื่องในวงการสมัยอดีตอะไรกัน…เสี่ยเจียงนี่หมายความว่ายังไงกัน”
เดินผ่านโต๊ะหวังเฉิงยงกับเสี่ยเจียงโต๊ะนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มให้ “ตาเฒ่าหวัง วันนี้ผมไม่จับตะหลิวนะ แต่เหล้าและอาหารมีมากพอ อยากกินอย่างอื่นของพวกเราไว้คราวหลังนะครับ”
หวังเฉิงยงโบกมือ ยิ้มพูด “เอาน่า ฉันเข้าใจ นายไสหัวไปเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน มีเหล้าก็พอแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขา ไม่ได้สนใจอีก
“จริงสิ เสี่ยหวัง ตอนนั้นคุณอาศัยกระทะเหล็กลูกหนึ่ง จัดการเชฟไปไม่น้อย แถมยังมีเชฟต่างชาติด้วย เป็นหน้าเป็นตาจริงๆ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็หยุดเดินทันที หันหน้าไปมองหวังเฉิงยง
แต่เหมือนว่าหวังเฉิงยงจะไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของซ่งจื่อเซวียน สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที พูดว่า “กระทะเหล็กอะไรกันเล่า นายอย่าพูดไปเรื่อย ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย…”
………………………………………