เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 114 ฉันจะไม่มาได้ยังไง
ตอนที่ 114 ฉันจะไม่มาได้ยังไง
ซางเทียนซั่วดื่มเหล้าหนึ่งอึก แล้วใช้ตะเกียบคีบทันที ต้องพูดว่า เขาอดใจรอไม่ไหวแล้ว
อันที่จริงตอนที่อาหารยังอยู่ในห้องครัว เขาแทบอยากจะพุ่งเข้าไปขอชิมอาหารที่ยังปรุงไม่เสร็จก่อน กลิ่นนั้นช่างสุดยอดจริงๆ…
ถึงแม้อาหารจะไม่เลว แต่ไม่ถึงขั้นเป็นอาหารเลิศรส ที่นั่งกันอยู่ตรงนี้นอกจากฟางรุ่ยที่อยู่กองกำลังพิเศษมาตลอด ถังหย่าฉีกับซางเทียนซั่วก็ต้องเคยเห็นเคยกินอาหารเลิศรสมามาก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ยังถูกดึงดูดด้วยกลิ่นนี้อย่างลึกซึ้ง
พูดให้ถูกต้องกว่าเดิมคือ ตอนที่ถังหย่าฉีชิมครั้งที่แล้ว ก็ยอมรับว่าเป็นของดีในโลกมนุษย์แล้ว หลังจากได้คำแนะนำของชายชรา รสชาติยิ่งทำให้คนหาคำชมที่เหมาะสมไม่ได้เลยจริงๆ
พอเข้าปาก ซางเทียนซั่วถึงกับนิ่งอึ้งไปทั้งตัว เขาเบิกตาโตมองซ่งจื่อเซวียน อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก
“นายมองอะไรน่ะ เป็นยังไงพูดสิ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“อะ อาจารย์ ผมรู้สึกว่า…อาจารย์ลองชิมเองดีกว่า ได้กินเมนูนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร ไม่คู่ควรที่จะได้กินแล้วก็ไม่คู่ควรที่จะวิจารณ์”
เมื่อได้ยินดังนั้น ถังหย่าฉีแทบจะพ่นอาหารนี้ออกมา เธอเอ่ยยิ้มๆ “จื่อเซวียน อร่อยมากเลย ฉันไม่เคยกินอาหารที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน สิ่งที่ทัดเทียมกับมันได้ ก็คงมีแต่ข้าวผัดจักรพรรดิเท่านั้น แต่ฉันกล้าพูดว่ามันอยู่เหนือกว่าอีกขั้นหนึ่ง”
ซ่งจื่อเซวียนดีใจขึ้นมาทันที เขาชิมน้ำแกงก่อนหนึ่งคำ แค่ความสดกลมกล่อมของน้ำแกงก็ทำให้ตัวเขาเองตกตะลึงเหมือนกัน
ตอนที่ชิมวัตถุดิบหั่นฝอยทั้งห้าชนิดนั้น รสสัมผัสสดกลมกล่อมกับรสชาติน้ำแกงที่ผสมกันอย่างลงตัว ยากที่จะบรรยายได้จริงๆ
เขาแทบทนไม่ไหวอยากจะกินข้าวสักสิบชามก่อนแล้วค่อยว่ากัน…
ต่อให้เป็นอาหารที่ตัวเองทำ ก็ยังหลงใหลขนาดนี้ นี่อาจจะเป็นความยิ่งใหญ่ของสูตรอาหารราชวงศ์ชิง!
พวกเขากำลังเพลิดเพลินกันอยู่ ซ่งจื่อเซวียนก็พลันสังเกตเห็นว่าประตูไม่ได้ปิดสนิท และมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่
“รุ่ยจื่อ มีคนอยู่หน้าประตู!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยลุกขึ้นยืนพร้อมกัน รีบพุ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
จังหวะที่พุ่งออกไป รุ่ยจื่อก็เห็นผู้ชายใส่สูทลำลองคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังแอบมองมาทางนี้
ไม่พูดพร่ำทำเพลง รุ่ยจื่อยื่นมือออกไปจับ ซางเทียนซั่วก็พุ่งเข้าไปในเวลาเดียวกัน
คนคนนั้นไม่ทันตั้งตัว คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะออกมือ เขาจึงตั้งรับไม่ถูก ขณะที่หลบ เท้าก็ยืนไม่มั่นคงจนเกือบล้ม
ทว่าคนคนนั้นปรับตัวเร็วมากเช่นกัน วินาทีต่อมาก็ประจันหน้ากับฟางรุ่ย เขาหลบอีกครั้งและตบฝ่ามือออกไป
วินาทีที่ฝ่ามือเข้าใกล้ฟางรุ่ย ก็แปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บทันที เห็นได้ชัดว่ากำลังจะจับไหล่ของฟางรุ่ยไว้
ฟางรุ่ยก็สังเกตเห็นปัญหาหนึ่งทันที อีกฝ่ายไม่ได้คิดจะทำร้ายตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช้การจับ แต่ต้องเป็นกำปั้นแทน
ซางเทียนซั่วกลับไม่สนใจ เขายกขาเตะไปที่คนคนนั้น อีกฝ่ายถอยหลังหนึ่งก้าว รีบยื่นมือออกไปอีกครั้งอย่างไว จับข้อเท้าของซางเทียนซั่ว ยกขึ้นด้านบน ซางเทียนซั่วเอนไปข้างหลังทั้งตัว หน้าหงายล้มลงไปกับพื้น
“โอ๊ยแม่ง จะมาพังร้านใช่ไหม ฉันจะสู้กับแกให้ตายกันไปข้าง”
เห็นซางเทียนซั่วโดนจัดการ ฟางรุ่ยก็ใจร้อนเหมือนกัน รีบประชิดตัวต่อยไปหนึ่งหมัด ผู้ชายคนนั้นดูจะป้องกันตัวไม่ดีพอ ถึงแม้จะหลบแล้ว แต่แขนก็ยังโดนต่อยไปหนึ่งที
เห็นสถานการณ์เช่นนี้เขาก็ร้อนใจเช่นกัน ตีลังกากลับหลังหลบการโจมตีของฟางรุ่ย จากนั้นก็เดินสามก้าวเตะกวาดขาใส่ ขณะที่ฟางรุ่ยกระโดดสองเท้าหลบ ผู้ชายคนนั้นก็ต่อยหมัดเข้ามา
แต่ฟางรุ่ยตอบสนองเร็วเช่นกัน เขาบิดตัวกลางอากาศหลบการโจมตี และในตอนนี้เอง เขามองกระบวนท่าของผู้ชายคนนั้นออกแล้วจึงจับข้อมือของอีกฝ่ายทันที
ใช้แรงเล็กน้อย ผู้ชายคนนั้นก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาทันที ต้องรู้ไว้ว่า นั่นคือเส้นลมปราณ!
และในเวลานี้เอง เสียงหนึ่งก็ดังมา “หยุดก่อน หยุดตีกันได้แล้ว ไต้ทงคุณหยุดตีได้แล้ว!”
ได้ยินดังนั้น ทั้งสองคนจึงหยุดแล้วมองไปยังถังหย่าฉี
“ไต้ทงคุณทำอะไรน่ะ อยากมีเรื่องเหรอ” ถังหย่าฉีตวาดใส่
“ผม…หย่าฉี ประตูปิดไม่สนิท กลิ่นนี้หอมเกินไป ผมเลยเข้ามาดู….”
พูดจบ ทุกคนก็มึนงง กลิ่นของน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายดึงดูดไต้ทงเข้ามาเลยเหรอ
เมื่อเห็นว่าเป็นคนกันเอง ฟางรุ่ยจึงเก้อเขินขึ้นมา ไม่พูดอะไรอีก
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าไต้ทงไปไหน มาสิ เข้ามากินด้วยกัน”
“หา ผมดมกลิ่นก็พอครับ” ไต้ทงพูดจบก็รู้สึกเสียใจภายหลัง ถึงแม้จะไม่ใช่บุคคลสำคัญอะไร แต่เป็นบอดี้การ์ดระดับสูงมานานหลายปีแล้ว ชีวิตนี้ไม่เคยทำตัวไม่ได้เรื่องขนาดนี้
“พูดอะไรไร้สาระ เข้ามากินเถอะ”
เมื่อเห็นว่าถังหย่าฉีพูดแล้ว ไต้ทงจึงเดินเข้ามา ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะยื่นมือดึงซางเทียนซั่วที่นั่งอยู่บนพื้นขึ้นมา
เมื่อพวกเขานั่งลงแล้ว ไต้ทงจึงชิมอาหาร สีหน้าบ่งบอกถึงความเพลิดเพลิน ซ่งจื่อเซวียนจึงเอ่ยยิ้มๆ “พี่ชาย ต้องรบกวนคุณขับรถทุกครั้ง วันนี้ถือว่าเลี้ยงขอบคุณแล้วกัน กับข้าวไม่เยอะ อย่าถือสานะครับ”
“ไม่ถือสาหรอก กับข้าวมากมายขนาดนี้ แต่น้ำแกงอร่อยมากจริงๆ ซ่งจื่อเซวียน คุณทำเองเหรอ”
“ใช่ครับ”
ไต้ทงไม่ดื่มเหล้า แต่กินข้าวกับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายอย่างเดียว เขากินข้าวคำโตพลางพูดว่า “มิน่าล่ะ หย่าฉี…คุณมองคนไม่ผิดเลย นี่ไม่ใช่ฝีมือธรรมดา”
ถังหย่าฉีก็หัวเราะ “ดูคุณสิ เดี๋ยวก็นึกว่าตระกูลถังของพวกเราเลี้ยงคุณไม่อิ่มหรอก”
ไต้ทงรีบยกมือ “ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย ประเด็นสำคัญคือเมนูนี้อร่อยมากจริงๆ ชาตินี้ไม่เคยกินมาก่อนเลย หย่าฉี ผมขอพูดหนึ่งประโยคอย่าถือสานะ อาหารตระกูลพวกเราเทียบกับฝีมือของซ่งจื่อเซวียนไม่ได้เลย”
ตามหลักแล้วหากได้ยินประโยคนี้ ถังหย่าฉีควรที่จะโกรธ อย่างไรครอบครัวของตัวเองก็ทำธุรกิจอาหาร ทว่าไม่รู้ทำไมไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับกันยังรู้สึกทระนงตนและภูมิใจมาก
“งั้นเหรอ ถ้างั้นคุณกินเยอะๆ หน่อย จะได้อุดปากได้ กินเสร็จก็กลับไปที่รถเลย!”
ไต้ทงพยักหน้าอย่างแรง “อ้อใช่ซ่งจื่อเซวียน ร้านของพวกคุณเปิดกิจการแล้วใช่ไหม”
“ยังเลย เปิดวันพรุ่งนี้ ทำไม นายจะเอาซองแดงมาให้เหรอ ฉันบอกนายก่อนนะ เมื่อกี้ที่ต่อยฉัน ค่ารักษาห้าพันหยวน!” ซางเทียนซั่วพูด
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครสนใจประโยคหลังของเขา…
“เปิดร้านวันพรุ่งนี้งั้นเหรอ ดีเหลือเกินซ่งจื่อเซวียน ไม่คิดจะบอกฉัน นายไม่อยากให้ฉันมาใช่ไหม!” ถังหย่าฉีเอ่ย
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเก้อเขินขึ้นมา “เอ่อ…ก็ไม่ใช่ หย่าฉี พวกเราไม่ได้อยากจัดพิธีเปิดร้านอะไร เปิดร้านแบบเงียบๆ ก็พอแล้วน่ะ”
ถังหย่าฉีครุ่นคิด พยักหน้าเอ่ยว่า “ก็ใช่นะ ตามนิสัยของนาย แต่ฉันก็จะมา ฉันจะเป็นลูกค้าคนแรกของนาย จริงสิ นายเป็นเถ้าแก่ของร้านนี้ใช่ไหม”
“เหอะๆ มีหุ้นส่วนเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์น่ะ”
“งั้นก็ถือว่าใช่ เก่งมากเถ้าแก่ซ่ง วันพรุ่งนี้จะมาแบบเรียบง่ายหน่อย ฉันจะเอากระเช้าดอกไม้มาให้ โอเคไหม”
“ถ้างั้นก็ขอบคุณ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม
ถังหย่าฉีก็ชินแล้ว หมอนี่เป็นคนพูดน้อย จึงทำปากจู๋ใส่พลางพูดว่า “เชอะ ฉันกระตือรือร้นขนาดนี้ นายพูดแค่ขอบคุณเนี่ยนะ…”
“เหอะๆ ขอบคุณมากๆ ครับ วันพรุ่งนี้จะทำข้าวผัดจักรพรรดิกับน้ำแกงห้าสายให้เธอ ฉันเลี้ยงเอง!”
“ฮ่าๆๆ อย่างนั้นค่อยดีหน่อย”
คืนนี้พวกเขาไม่ได้ดื่มจนดึกดื่น เพราะต่างรู้กันดีว่าร้านอาหารร่ำรวยจะเปิดร้านในวันพรุ่งนี้แล้ว ถังหย่าฉีก็ไม่รอช้า กินดื่มเรียบร้อยก็ไปส่งพวกซ่งจื่อเซวียนกลับบ้าน
ซ่งจื่อเซวียนโทรคุยกับเสี่ยเฉิงปาตอนดึก นัดเวลาเปิดร้านวันพรุ่งนี้ แล้วจึงพักผ่อนอย่างสบายใจ
เช้าวันต่อมา พวกซ่งจื่อเซวียนมาถึงร้านอาหารร่ำรวยแต่เช้า แต่คิดไม่ถึงว่าเวลาแปดโมงเช้ากว่าๆ พวกเสี่ยเฉิงปาก็จะมาถึงแล้ว ดูออกเลยว่าเสี่ยเฉิงปาใจร้อนยิ่งกว่าซ่งจื่อเซวียนเสียอีก
พอเข้าร้าน ซ่งจื่อเซวียนก็กำหมัดคารวะเอ่ยว่า “เสี่ยปา วันนี้ตามหลักแล้วต้องแสดงความยินดีกับคุณ”
“ฮ่าๆๆ เช่นกันๆ ฉันเองก็ต้องแสดงความยินดีกับนายท่านรองเหมือนกัน” เสี่ยเฉิงปาพูดแซว
ยามปกติเขาจะไม่เรียกซ่งจื่อเซวียนว่านายท่านรอง วันนี้เพียงเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น อย่างไรก็เป็นวันมงคลเปิดร้าน ทุกคนจึงอยากดีใจมีความสุขกัน
เวลาเปิดร้านคือสิบโมง คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนเข้ามาแสดงความยินดีจำนวนไม่น้อย
ซ่งจื่อเซวียนก็จนใจ เดิมทีอยากจะเปิดร้านแบบเงียบๆ แต่เพิ่งนึกได้ว่าเสี่ยเฉิงปาเป็นหุ้นส่วนด้วย อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรเงียบๆ
ก่อนเวลาสิบโมง กระเช้าดอกไม้มาส่งที่หน้าร้านอาหารร่ำรวยนับสิบกระเช้า อีกทั้งประทัด พลุกระดาษก็ตระเตรียมไว้เรียบร้อย
เสี่ยเฉิงปาหัวเราะ “ฮ่าๆๆ น้องชาย โอเคไหม พี่ชายหน้าใหญ่พอไหม คนที่มาวันนี้ล้วนเป็นบรรดาเถ้าแก่ในเขตเฉิงตง เสี่ยปาเปิดร้าน พวกเขาจะกล้าไม่มาเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าหัวเราะอย่างจนใจ “หน้าของเสี่ยปาไม่เล็กเลยนะครับ”
ขณะที่กำลังคุยกันอยู่ เสียงพลุกระดาษ ประทัดข้างนอกก็ดังขึ้น เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ อย่างคึกคักสนุกสนาน
เวลานี้ ถังหย่าฉีก็มาแล้วเหมือนกัน เธอวางกระเช้าดอกไม้ที่หน้าประตูแล้วรีบเอามือป้องหูเดินเข้ามา
พอเข้ามาแล้วเธอจึงหยิกแขนของซ่งจื่อเซวียน “ซ่งจื่อเซวียน ไหนบอกว่าจะเปิดแบบเงียบๆ ไง กระเช้าดอกไม้ที่หน้าประตูพวกนั้นหมายความว่ายังไง”
“นี่คือ…น้องสะใภ้ใช่ไหม เพิ่งเจอกันครั้งแรกสินะ” เสี่ยเฉิงปาเห็นแล้วจึงรีบปรี่เข้ามา
ถังหย่าฉีเหมือนจะชินแล้ว อาจารย์แม่เอย หลานสะใภ้เอย และยังมีน้องสะใภ้อีก แต่กลับไม่ได้รู้สึกไม่ชอบอะไร
“หย่าฉี นี่คือเสี่ยปา หุ้นส่วนร้านอาหารของฉัน เสี่ยปา นี่คือถังหย่าฉี เพื่อนของผม ไม่ใช่แฟนครับ” ซ่งจื่อเซวียนอธิบาย
“อ้อๆๆ เข้าใจแล้ว อย่างนั้นก็เท่ากับ…ว่าที่น้องสะใภ้”
ซ่งจื่อเซวียนขี้เกียจสนใจ พูดกับถังหย่าฉีว่า “ฉันคิดว่าจะเปิดแบบเงียบๆ แต่เสี่ยปา…ไม่น่าจะคิดแบบนั้น”
ถังหย่าฉีฟังแล้วจึงหัวเราะ “นายคิดว่าคนอื่นเป็นเหมือนนายกันหมด แต่เปิดร้านก็ย่อมต้องคิดว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสิ คนอย่างนายนี่เวลาแต่งงานคงขี้เกียจเชิญแขก แค่จดทะเบียนสมรสแล้วกลับบ้านไปใช้ชีวิตร่วมกันเท่านั้นล่ะมั้ง”
“มันไม่เหมือนกันสิ แต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ต้องคึกคักๆ หน่อย”
“จ้ะ”
เวลานี้ จางเปียวกำลังยุ่งอยู่นอกประตู ไม่เพียงแต่ยุ่งรับซองแดงเท่านั้น ยังต้องตะโกนด้วยว่าใครเป็นคนให้
“เสี่ยจางจงต้าเหมินมาแล้ว!”
“เถ้าแก่หยางถงปินโหลวมาแล้ว!”
“เถ้าแก่หลี่หลี่จี้ซีฟู้ดมาแล้ว…”
เถ้าแก่จากร้านอาหารต่างๆ เข้ามาแสดงความยินดีมากมายนับไม่ถ้วน ความครึกครื้นของร้านอาหารร่ำรวยอยู่เหนือความคาดหมายของซ่งจื่อเซวียนจริงๆ
แต่พอลองคิดดู ถังหย่าฉีก็พูดถูก บางครั้ง…ต้องมองว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี วันหลังไม่ต้องเล่นใหญ่ก็พอแล้ว
แต่ตอนนี้ เสียงของจางเปียวพลันหยุดลง เสี่ยปาขมวดคิ้ว “จางเปียว แกเป็นใบ้เหรอ ตะโกนสิ ไม่มีคนแล้วเหรอ”
เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยปา จางเปียวมองเสี่ยที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าลำบากใจ กัดฟัน แล้วจึงตะโกนออกมา
“เสี่ยเคอซานเฉิงซีมาแล้ว!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ คนอื่นไม่รู้สึกอะไร แต่เสี่ยเฉิงปากับซ่งจื่อเซวียนกลับตกตะลึง
เสี่ยปาขมวดคิ้ว “แม่งเอ๊ย เสี่ยเคอซานมาเหรอ น้องชาย แกอยู่เฉยๆ ฉันไปเอง!”
ระหว่างที่เสี่ยปาพูดก็ลุกขึ้นเดินออกไป พอออกไปที่ประตูก็เห็นเสี่ยเคอซานใส่เสื้อกระดุมถักสีดำแบบราชวงศ์ถัง หวีผมเป็นระเบียบเรียบร้อย
เสี่ยเฉิงปากำหมัดคารวะเดินออกมา “ฮ่าๆๆ เสี่ยซาน ลมอะไรพัดคุณมาที่นี่ล่ะ”
“แหมเสี่ยปาพูดจาหาเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ลืมส่งบัตรเชิญมาให้ผมเหรอ คุณเปิดร้านเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมเสี่ยเคอซานจะไม่มาได้ยังไง” เคอหงเทาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มกลับแฝงไปด้วยความยั่วยุท้าทาย!
……………………………………….