เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 113 เพิ่มเป็นเมนูจานหลัก
ตอนที่ 113 เพิ่มเป็นเมนูจานหลัก
เมื่อพูดประโยคนี้จบ ซ่งจื่อเซวียนก็โมโหทันที อย่างไรนี่คือผลงานเขาใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายแท้ๆ
หากเป็นครั้งที่แล้ว ตาเฒ่าฟางบอกว่าไม่ถูกต้องก็ไม่เป็นไร แต่ครั้งนี้…เขาพยายามกลบกลิ่นยาจีนและรักษาสรรพคุณของยาแล้ว ขณะเดียวกันรสชาติของวัตถุดิบหั่นฝอยทั้งห้าชนิดก็นุ่มกำลังดีไม่เละเกินไป ทำไมถึงบอกว่าไม่ได้อีก
และเป็นเหมือนครั้งที่แล้ว ไม่แม้แต่จะชิมเลยสักนิด…
ตอนบ่ายเขาขลุกอยู่ในห้องครัว แทบจะไม่ได้ทำงานอย่างอื่นเลย บวกกับประสบการณ์ครั้งที่แล้ว ไม่รู้ว่าชิมไปกี่ครั้งกว่าจะได้รสชาตินี้…พูดจริงๆ นะ…เขาไม่ยอมหรอก
“ปู่ อีก อีกนิดเดียวงั้นเหรอ อีกนิดเดียวยังไงล่ะ”
ฟางจิ่งจือเหลือบตามองซ่งจื่อเซวียนหนึ่งที “อีกนิดเดียวก็อีกนิดเดียว ถามอะไรเยอะแยะไร้สาระ”
“ผม…” ซ่งจื่อเซวียนโมโห แต่อยู่ต่อหน้าชายชรา เขาต่อให้โกรธแค่ไหนก็ไม่กล้าระบายออกมา
“แกทำไม กลับไปทำใหม่ไป” ขณะพูด สายตาของฟางจิ่งจือก็ตกไปอยู่ที่ตัวถังหย่าฉี “วันนี้ทำไมพาสาวมาด้วยล่ะ เอามาดูแลฉันเหรอ ฉันบอกแกเลยนะ ฉันไม่ต้องการคนดูแล!”
ถังหย่าฉีอึ้งไป แต่ไม่ได้โกรธ กลับหัวเราะแทนด้วยซ้ำ “ปู่คะ ฉันไม่ใช่คนดูแลค่ะ ฉันเป็นเพื่อนของซ่งจื่อเซวียน”
“หืม เก่งนะไอ้หลานเวร มีแฟนแล้วเหรอ ผู้หญิงคนนี้ไม่เลวเลย สวย!”
คำพูดของฟางจิ่งจือทำให้ถังหย่าฉีหน้าแดง มองซ่งจื่อเซวียนอย่างกระอักกระอ่วน สีหน้าเขินอาย
“ตาแก่พูดอะไรเนี่ย ไม่สนใจน้ำแกงห้าสายของผม แล้วไปพูดถึงเธอทำไม รีบพูดเลย ขาดตรงไหน”
ฟางจิ่งจือหัวเราะเบาๆ “เหอะๆ แกคุมภรรยาให้ได้ก่อน แล้วฉันจะบอกแกให้ว่าขาดตรงไหน!” ฟางจิ่งจือพูดจบก็ดื่มเหล้าต่อ แล้วตามด้วยถั่วลิสง
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ถังหย่าฉีอย่างขอโทษ “ขอโทษด้วยนะ คนแก่ก็เป็นแบบนี้แหละ”
ถังหย่าฉีพลันนึกอะไรออก “อ๋า…จริงสิ เขาก็คืออาจารย์ของนายเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนนิ่งไป ทันใดนั้นจึงนึกถึงตอนที่คุยกันครั้งแรก เขาเคยบอกว่าความสามารถในการประเมินสิ่งของเรียนมาจากอาจารย์ เช่นนั้นก็หมายถึงฟางจิ่งจือ
“อืม ใช่แล้ว ตาเฒ่าฟางอายุมากแล้ว บางครั้งเลอะเลือน พูดอะไรไร้สาระ เธออย่าไปสนใจเลยนะ”
“กับผีน่ะสิ ไอ้หนู แกว่าใคร!” ฟางจิ่งจือขึงตาพูด
“ผม…”
ซ่งจื่อเซวียนจนปัญญาจริงๆ ด้านหนึ่งก็ถังหย่าฉี ตัวเองไม่อยากให้เธออาย ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ฟางจิ่งจือ ตัวเองไม่กล้าพูดจาไร้สาระกับเขาเลย ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่คนที่จะรับมือด้วยได้จริงๆ
ทว่าถังหย่าฉีกลับยิ้มอย่างอ่อนโยน นั่งยองๆ ลงข้างฟางจิ่งจือ “ปู่คะ เขาไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะที่จริงฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าเมนูนี้ขาดตกตรงไหน ฉันก็ชิมแล้ว อร่อยมากเลยนะคะ”
ฟางจิ่งจือได้ยินดังนั้นสองตาก็มองไปที่ซ่งจื่อเซวียน ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยปาก แต่สายตาแบบนั้นกำลังซักถามอย่างชัดเจน
ซ่งจื่อเซวียนพลันเข้าใจความหมายของฟางจิ่งจือ รู้สึกตื่นเต้นทันที รีบพูดว่า “เปล่านะๆๆ ปู่อย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้สอนเธอ เธอก็ไม่ได้แอบขโมยสูตรอะไร แค่ทำเสร็จแล้วให้เธอชิมหนึ่งคำน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจดี การแอบขโมยสูตรเป็นข้อห้ามใหญ่ในวงการพ่อครัว ฟางจิ่งจือเดิมทีเป็นคนที่ปฏิบัติตามธรรมเนียม บวกกับนี่คือเมนูที่เขาถ่ายทอดให้ตัวเอง ไม่อนุญาตให้คนอื่นดู ดังนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงรีบอธิบายทันที
ถังหย่าฉีก็ฉลาดมีไหวพริบ รีบพูดว่า “ใช่ค่ะๆๆ ฉันไม่ได้เรียน ปู่อย่าโกรธนะคะ เขาทำเสร็จแล้วฉันถึงค่อยชิม ต้องโทษฉันที่อยากกินมากเกินไปค่ะ”
ฟางจิ่งจือกลับหัวเราะออกมา “เด็กสองคนนี้ ดูสิตกใจกันหมดแล้ว รู้ว่าปู่น่ากลัวแล้วเหรอ”
“รู้แล้วครับ”
“อืม รู้แล้วค่ะ” ถังหย่าฉีพูดไปตามซ่งจื่อเซวียน
“โอเคเลยไอ้หนู ตอนนี้ทำอาหารไม่รีบเอามาให้ฉันชิมแล้ว แต่ให้ภรรยาชิมก่อนใช่ไหม” ฟางจิ่งจือส่ายหน้าพลางเอ่ย
ถังหย่าฉีอายทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ซ่งจื่อเซวียนรีบพูด “ปู่อย่าล้อผมเล่นสิ สรุปมันขาดตรงไหนกันแน่”
“เหอะๆ สนุกจริงๆ อย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันเห็นแก่หน้าหลานสะใภ้ของฉัน ฉันจะอธิบายให้ไอ้เด็กเวรอย่างแกอีกครั้ง”
คำพูดเหล่านี้ทำเอาถังหย่าฉีหน้าแดงลามไปถึงคอ ก้มหน้างุดไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา หันไปขึงตาใส่ซ่งจื่อเซวียนหนึ่งที
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่สนใจแล้ว พอได้ยินว่าตาเฒ่าฟางจะอธิบาย จึงสนใจขึ้นมาทันที
“ขอรับ ขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณครับ ปู่บอกมาเลยว่าพลาดตรงไหนไป”
ฟางจิ่งจือครุ่นคิด “กลิ่นนี้เกือบจะใช่แล้วจริงๆ ยาจีนจัดการได้ไม่เลว มองแล้วพวกเนื้อสันใน ปลิงทะเลก็ไม่เละ ดีมาก”
“อ้าวปู่อย่ามัวแต่อุบไว้สิ ผมกำลังรีบอยู่”
“รีบร้อนอะไร รีบร้อนแล้วทำอาหารดีๆ ออกมาได้ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนจะบ้าตาย ตัวเองตอนนี้อยากรู้ว่าเมนูนี้ทำพลาดตรงไหน แต่ตาเฒ่าฟางไม่พูด มัวแต่พรรณนาถึงสาเหตุและหลักการ…
“ใช่ๆๆ ปู่พูดถูกแล้ว ผมฟังอยู่” ซ่งจื่อเซวียนก็จนใจ ต่อให้รีบก็ต้องฟัง ไม่อย่างนั้นจู่ๆ ชายชราไม่พูดขึ้นมา คืนนี้ตัวเองคงนอนไม่หลับ
ฟางจิ่งจือกลับไม่รีบร้อน ค่อยๆ ดื่มเหล้า “ความสดของหูฉลามกับน้ำแกงนั้นดีมาก แต่กลิ่นสดกลมกล่อมนี้ขาดเพียงอย่างเดียวคือมีกลิ่นยาจีนมากกว่านิดหน่อย”
“กลิ่นยาจีนงั้นเหรอ ไม่นะปู่ ผมไม่ได้กลิ่นเลย”
“ใช่ค่ะปู่ ฉันชิมแล้ว ไม่มีกลิ่นยานะคะ” ถังหย่าฉีก็เงยหน้าพูด
ฟางจิ่งจือเอ่ยยิ้มๆ “พวกแกจะชิมไม่ได้ และไม่ใช่ว่าฉันจู้จี้จุกจิกพยายามหาเรื่องติหรอกนะ กลิ่นยาจีนนี้มันไม่ถูกต้อง ยาจีนทั้งหมดเป็นตัวช่วยเสริมวัตถุดิบหลักเท่านั้น และปัญหาก็อยู่ตรงนี้”
ซ่งจื่อเซวียนหรี่ตาเล็กน้อยพลางครุ่นคิด “ปู่ ความหมายของปู่คือต้องให้น้ำแกงเข้ากันมากขึ้น ให้กลิ่นยาจีนกับกลิ่นวัตถุดิบรวมเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดกลิ่นใหม่งั้นเหรอ”
“เยี่ยมมาก” ฟางจิ่งจือพยักหน้ายิ้ม
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ ปัญหาอยู่ที่โสม ฉันเดาว่าหลังจากแกต้มยาจีนแล้วจะทำให้ยาเย็นทั้งหมดก่อน ตรงจุดนี้ถือว่าดีมาก แต่ยังไม่พอ กลิ่นของโสมชัดเกินไป เวลากินแล้วไม่รู้สึก แต่ถ้าลองชิมให้ละเอียดจะสัมผัสได้ กระทั่งรู้ถึงความคิดรอบคอบของพ่อครัว”
“ปู่ผมไม่เข้าใจ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“ไม่เข้าใจก็ถูกแล้ว นี่คือวิธีการทำอาหารขั้นลึกล้ำในวงการอาหาร การทำให้เย็นโดยทั่วไปยังไม่พอ ไอ้หนู ต้องน็อกน้ำเย็น!” ฟางจิ่งจือชี้ไปที่ซ่งจื่อเซวียนพลางพูด
“ถูกแล้ว ใช้น้ำเย็นกรองกลิ่นยาหนึ่งรอบ กลิ่นจะลดลงไปอีกนิดหน่อย ขณะเดียวกันก็ใช้น้ำเย็นล็อกสรรพคุณของยาจีนไว้ เวลาที่เคี่ยวในน้ำแกง ฤทธิ์ยาจะกระจายออกมาอีกครั้ง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “เข้าใจแล้วครับ เพิ่มความร้อนเพื่อเร่งฤทธิ์ยา กลิ่นยาก็เหมือนกัน เคี่ยวออกมาได้กลิ่นยา แล้วใช้น้ำเย็นกรองหนึ่งรอบเพื่อขจัดกลิ่นยาสุดท้ายออกไป และยังล็อกฤทธิ์ยาได้ในเวลาเดียวกัน วิธีของตาแก่ยอดเยี่ยมมากเลย”
“ไร้สาระ ไม่อย่างนั้นจะเป็นอาจารย์ของแกได้ยังไง”
“ฮ่าๆๆ ขอรับ ลูกศิษย์ขอขอบคุณท่านนะครับ” ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนทำท่าคุกเข่าครึ่งตัวแบบสมัยราชวงศ์ชิง
ถังหย่าฉีเอามือป้องปากหัวเราะไม่หยุด แต่ไม่ได้พูดอะไร
อันที่จริงถังหย่าฉีมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าชายชรามีความสำคัญกับซ่งจื่อเซวียนมากแค่ไหน ดังนั้นจึงพูดจาอย่างระมัดระวัง
นี่คือกฎเกณฑ์ และยังเป็นคุณสมบัติของกุลสตรีอย่างหนึ่ง ณ จุดนี้ ฟางจิ่งจือพอใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไม่หลีกเลี่ยงคำพูดช่วงหลังของเธอ
คุยกันสักพัก ทั้งสองคนถึงตัดสินใจกลับบ้าน ฟางจิ่งจือบอกว่า “ไอ้หลานเวร เหล้าใกล้หมดแล้ว อย่าลืมล่ะว่าคราวหน้าต้องเอามาด้วย”
“วางใจได้เลย แต่ปู่ต้องดื่มน้อยๆ หน่อยนะ”
“ปู่คะ เดี๋ยววันหลังฉันจะมาเยี่ยมอีกนะคะ วันนี้มาแบบฉุกละหุก เขาก็ไม่ได้บอกฉันก่อนด้วย ครั้งหน้าฉันจะซื้อเหล้ามาให้ปู่นะคะ” ถังหย่าฉียิ้มพูดเล็กน้อย
“โอ้หลานสะใภ้ของฉัน เป็นเด็กดีจริงๆ โอเค ไปเถอะ ไอ้หนู ครั้งหน้าพาเธอมาด้วยนะ ฉันชอบเธอ” ฟางจิ่งจือยิ้ม
ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยความเก้อเขิน “พูดอะไรมั่วๆ น่ะ พวกเราไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย ปู่อย่าพูดว่าหลานสะใภ้บ่อยสิ เธอจะลำบากใจเอานะ”
“เหอะๆ ไม่ช้าก็เร็วแค่นั้นแหละ” ฟางจิ่งจือพูดจบก็ดื่มต่อ ไม่สนใจเขาแล้ว
ทั้งสองคนออกมาจากบ้านของฟางจิ่งจือ ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยว่า “หย่าฉี ขอโทษด้วยนะ วันนี้ปล่อยไก่ให้เธอเห็นแล้ว ปู่ของฉันชอบพูดแบบนี้น่ะ”
“ฮ่าๆๆๆ ก็ใช่แหละ ฉันว่านะ ซางเทียนซั่วเหมือนปู่ของนายมากเลย แต่…ตาเฒ่าฟางน่ารักมากจริงๆ” ถังหย่าฉีกล่าว
“น่ารักงั้นเหรอ ฟังแล้วน่ากลัวชะมัด!”
พูดจบ ทั้งสองคนก็หัวเราะขึ้นมา
จากนั้น ทั้งสองคนกลับไปที่ร้านอาหารร่ำรวย ซ่งจื่อเซวียนสั่งฟางรุ่ยไปซื้อเหล้าและกับแกล้ม เตรียมนั่งดื่มในร้าน ส่วนเขาก็เดินเข้าไปที่ครัวด้านหลัง
ครั้งนี้ ถังหย่าฉีไม่ได้ตามเข้าไปอีก ไม่ใช่เพราะอยากหลบ แต่หวังว่าซ่งจื่อเซวียนจะพัฒนาน้ำแกงห้าสายอย่างตั้งใจ ไม่ต้องแบ่งความสนใจมาที่เธอ
ในไม่ช้า เหล้ากับกับแกล้มก็มา ถังหย่าฉีแนะนำให้พวกซางเทียนซั่วดื่มก่อน ค่อยๆ ดื่มรอซ่งจื่อเซวียน
ไม่ใช่เพราะเธออยากกินเหล้า แต่ถ้าหากรออยู่เฉยๆ จะดูเหมือนกำลังเร่งซ่งจื่อเซวียนอย่างไรอย่างนั้น เธอจึงกินไปพลางรอไปพลาง ซ่งจื่อเซวียนจะได้สบายใจ
แต่ถังหย่าฉีไม่รู้ตัวเลยว่า เธอเริ่มสนใจว่าซ่งจื่อเซวียนจะทำอาหารออกมาได้ดีไหมโดยไม่รู้ตัว และ…ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ใดๆ มาเกี่ยว เป็นเพียงการสนับสนุนอย่างเดียวเท่านั้น
“อาจารย์แม่ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์แม่ดื่มเก่งขนาดนี้ วันนี้พวกเรามาเมากันเถอะ อาจารย์ของผมก็อยู่ อาจารย์แม่ดื่มเยอะเดี๋ยวเขาก็จะไปส่งเอง!” ซางเทียนซั่วพูด
ถังหย่าฉีหัวเราะพลางถลึงตาใส่เขาหนึ่งที “นายอย่าเรียกว่าอาจารย์แม่ได้ไหม”
“หา ทำไมล่ะ” ซางเทียนซั่วพูดด้วยความกระอักกระอ่วน “เลิกกันแล้วเหรอ เร็วจัง…เป็นเพราะเมื่อกี้ไปแอบดูอาจารย์ผมทำอาหารเหรอ”
ถังหย่าฉีไม่ตอบอะไร และดื่มเหล้าต่อ
แต่ซางเทียนซั่วเหมือนจะคิดว่าถังหย่าฉียอมรับแล้วกลายๆ “ผมบอกแล้วว่าดูไม่ได้ๆ อาจารย์แม่ก็ไม่ฟัง รุ่ยจื่อแกเห็นไหมเลิกกันแล้ว…แม่ง ความรักเนี่ยนะ ช่างอ่อนแอจริงๆ มา ผมขอดื่มให้อาจารย์แม่หนึ่งคำ ไม่เป็นไร เลิกกับอาจารย์ของผมก็ต้องหาคนดีกว่าได้อยู่แล้ว”
ถังหย่าฉีก็งง ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยเจอผู้ชายปากพล่อยขนาดนี้มาก่อน…
ภายในห้องครัวเวลานี้ ซ่งจื่อเซวียนเบิกตาโตทั้งสองข้างจ้องมองกระทะ ในไม่ช้า รอยยิ้มที่เกิดขึ้นในใจก็เผยออกมา
“ถูกต้องแล้ว ไม่ผิดเลยสักนิด ไม่พลาดเลย น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย สุดยอดจริงๆ…”
ซ่งจื่อเซวียนพึมพำกับตัวเอง มองน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายในหม้อ น้ำแกงสีทองระยิบระยับเข้มข้นมาก วัตถุดิบหั่นฝอยทั้งห้าชนิดลอยอยู่ กระจายออกจากจุดศูนย์กลางเหมือนกับแผ่รังสี…
เขาตักใส่ชาม ยังคงสภาพเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เนื้อสดอร่อย น้ำแกงฉ่ำเต็มคำ กลิ่นน้ำแกงเข้มข้น รสชาติเข้ม ซ่งจื่อเซวียนยิ้มด้วยความดีใจ “เพิ่มเมนูจานหลักให้พวกเขาได้แล้ว!”
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนยกน้ำแกงห้าสายออกมา เขาพบว่าสายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ตน ถังหย่าฉีก็เช่นกัน เธอเบิกตาโตยิ่งกว่า สีหน้าตื่นตกใจ
“อาจารย์ กลิ่นนี้…ลอยมา พวกเรากินข้าวต่อไม่ลงเลย”
“หืม ทำไมล่ะ กลิ่นไม่ถูกงั้นเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ไม่ ไม่ใช่ กลิ่นนี้มีแต่บนสวรรค์เท่านั้น บนโลกมนุษย์ยากที่จะเจอ พอได้กลิ่นนั่น กับข้าวที่รุ่ยจื่อซื้อมาก็กลืนลงคอไม่ได้แล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินเช่นนั้นก็วางใจ ตอนทำข้าวผัดจักรพรรดิแรกๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ข้าวยังไม่สุกดี กลิ่นอาหารก็ทำให้ลูกค้าต้องตื่นตะลึงแล้ว
ตอนที่เขาวางน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายตรงกลางโต๊ะ สายตาของทุกคนก็จับจ้อง ต้องพูดเลยว่า รูป กลิ่น รสสามอย่างนี้ บรรลุขั้นสุดไปสองจุดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าตาที่สวยงาม หรือว่ากลิ่นหอมที่ชวนหลงใหล ก็ชนะจนพวกเขาเริ่มน้ำลายไหลแล้ว
เห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่งตรงหน้าประตูกำลังจดจ้องอยู่ สายตานั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง
………………………………………