เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 112 อีกนิดเดียว
ตอนที่ 112 อีกนิดเดียว
พอวางสาย ซ่งจื่อเซวียนจึงสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งที “ส่งโลเคชั่น…คืออะไรกันนะ”
เขาพลันหัวเราะขึ้นมา เปิดเตา แล้วเริ่มลองทำใหม่
เมื่อเทียบกับข้าวผัดจักรพรรดิ น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายยากกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่มีวัตถุดิบเพิ่มขึ้น แต่ยาจีนและอาหาร สองอย่างนี้ต้องละเอียดรอบคอบ บวกกับสมดุลในตอนสุดท้าย วิธีการปรุงอาหารไม่ใช่ระดับเดียวกันจริงๆ
ทว่าข้าวผัดจักรพรรดิประสบความสำเร็จล้นหลามไปแล้ว ไม่รู้ว่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายจะสร้างความฮือฮาแปลกใหม่ให้กับตู้เหมินหรือเปล่า พอคิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็มั่นใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ อดไม่ได้ที่จะเริ่มลองใหม่อีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง ถังหย่าฉีวางสายแล้วจึงเรียกให้ไต้ทงขับรถ มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารร่ำรวย
กระทั่งแม้แต่ตัวเธอก็ไม่ได้สังเกตว่า สองสามวันมานี้อารณ์ของเธอค่อนข้างหดหู่ แต่จู่ๆ ตอนนี้กลับอารมณ์ดีขึ้นมา
ช่วงที่ผ่านมาถังหย่าฉีเองก็ไม่รู้เป็นอะไร ทำอะไรก็ไม่สนุก บางครั้งตอนเข้าเรียนก็ยังเหม่อลอย
มีแต่รู้สึกว่าน่าเบื่อมาก ขนาดเพื่อนนัดเจอ เธอยังขี้เกียจไป เอาแต่อยู่ในบ้าน
วันนี้ถือว่าแปลก เธอหยิบโทรศัพท์กดโทรหาซ่งจื่อเซวียน นัดไปดื่มเหล้า อารมณ์กลับดีขึ้นมาทันที
หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ อารมณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลังจากแยกกันที่อ่าวชิงหลง
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนก็เป็นแบบนี้บ่อยเหมือนกัน บางครั้งตอนที่ทำอาหาร มักจะนึกถึงใบหน้าเรียวเล็กของถังหย่าฉี
แต่เขาคุ้นชินกับความเงียบ และเคยชินกับความอดทน กระทั่งอดทนที่จะวิ่งไล่ตามสิ่งที่สวยงาม ซึ่งสาเหตุก็มาจากภูมิหลังครอบครัวตั้งแต่เด็กของเขา
ไม่รู้ว่าโดนหัวเราะเยาะมากี่ครั้ง หัวเราะเยาะที่ตัวเองเป็นเด็กไม่มีพ่อ หัวเราะเยาะที่ตัวเองเป็นคนจน ต้องเจออุปสรรคที่กระทบต่อศักดิ์ศรีของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาไม่กล้าเป็นฝ่ายวิ่งตามอะไรก่อน
ตอนนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วนพอดี รถติดตลอดทางทำให้ถังหย่าฉีใจร้อน มองรถที่ต่อแถวยาวเหยียดข้างนอกเหมือนมังกรตัวยาว เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา
“ไต้ทง ทำไมรถติดขนาดนี้ พวกเราช้าเกินไปแล้ว อย่าไปสายนะ”
ไต้ทงมองถังหย่าฉีที่ทำท่าร้อนใจผ่านกระจกมองหลัง จึงขำไม่หยุดพลางพูดว่า “ใกล้จะถึงแล้วครับ รถติดแต่ทำอะไรไม่ได้ คุณดูว่าตอนนี้กี่โมงแล้วครับ เป็นเวลารถติดพอดีเลย”
“พูดอะไรเนี่ย คุณขับรถให้พ่อของฉันก็เป็นแบบนี้ใช่ไหม ถ้าทำงานใหญ่เสีย พ่อของฉันจะหักเงินเดือนของคุณเลย!” ถังหย่าฉีพูดด้วยเสียงเย็นชา
“เหอะๆ วางใจได้ครับ คุณไม่ไปสายแน่นอน บอกว่าจะไปรับเขาเลิกงาน คาดว่าพอถึงแล้วก็ยังต้องรออีกสักพัก”
เมื่อได้ยินดังนั้น ถังหย่าฉีจึงหน้าแดง พลางพูดในใจตาไต้ทงคนนี้ พูดแซวฉันเหรอ หาว่าฉันอยากไปเจอซ่งจื่อเซวียนไวๆ ใช่ไหม
“คุณหุบปากไปเลย ตั้งใจขับรถดีๆ” ถังหย่าฉีพูด พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง “เฮ้อ ไต้ทง มองทางซ้ายสิ แซงเขา…”
…
กว่าจะถึงร้านอาหารร่ำรวยก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว เส้นทางนี้ต้องขับรถนานหนึ่งชั่วโมงกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลย อย่างไรก็เป็นชั่วโมงเร่งด่วน อีกทั้งยังขับมาจากใจกลางเมือง ย่อมต้องเจอเส้นที่รถติดมากที่สุด
ถังหย่าฉีเงยหน้ามองชื่อร้านอาหาร แล้วก็พ่นหัวเราะออกมา “กล้าตั้งชื่อนี้จริงๆ เหรอ ชื่อเฉิ่มเชยมาก ซ่งจื่อเซวียนอยากให้ธรรมดามากๆ แต่ก็ดูหรูใช่ไหมเนี่ย อวดภูมิจริงๆ!”
ไต้ทงที่อยู่ข้างๆ ส่ายหน้า “หย่าฉี ชื่อนี้…ไม่น่าจะพิถีพิถันขนาดนั้นนะ มันธรรมดามาก เอาความหรูมาจากไหนน่ะครับ”
“วันนี้ทำไมคุณพูดจาไร้สาระเยอะขนาดนี้ ห้ามเข้าไปเลย รอฉันอยู่ข้างนอกเนี่ยแหละ!”
ทิ้งประโยคนี้เรียบร้อย ถังหย่าฉีก็เดินเข้าไปในร้านอาหารทันที
ไต้ทงได้แต่หัวเราะ เดินกลับไปที่รถ นั่งตรงเบาะก่อนจะเอนตัวนอนลงไป
พอเข้าไปในร้าน ถังหย่าฉีก็เห็นซางเทียนซั่วนอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ น้ำลายไหลยืด เธอจึงเดินเข้าไปผลักเบาๆ
“เฮ้ๆ ซางเทียนซั่ว อาจารย์ของนายล่ะ”
ถึงแม้ฟางรุ่ยจะอยู่ด้วย แต่ถังหย่าฉีไม่เคยเจอเขา ครั้งที่แล้วที่อ่าวชิงหลงซ่งจื่อเซวียนก็ไปด้วยตัวเอง ไม่ทันได้แนะนำ
ซางเทียนซั่วลืมตาทั้งสองข้างเล็กน้อย มองถังหย่าฉีด้วยสายตาพร่าเลือน ทันใดนั้นก็เบิกตาโตทันที
เขาเช็ดน้ำลายมุมปาก ลุกขึ้นเอ่ยว่า “สวัสดีครับอาจารย์แม่!”
“พูดอะไรของนายเนี่ย ถามหน่อย ซ่งจื่อเซวียนล่ะ”
ซางเทียนซั่วทำสีหน้างุนงง เพราะตัวเขาหลับไปตลอดบ่าย ซ่งจื่อเซวียนกลับมาตอนไหนเขาก็ยังไม่รู้
ฟางรุ่ยที่อยู่อีกด้านหนึ่งเอ่ยว่า “อ้อ นายท่านรองทำอาหารอยู่ที่ครัวด้านหลังครับ”
“อ้อ เข้าใจแล้ว ขอบใจนะ” ถังหย่าฉีพูดพลางเดินไปที่ครัวด้านหลัง
ทว่าซางเทียนซั่วเหมือนนึกอะไรออก รีบวิ่งเข้าไปขวางเธอไว้ “ไม่ได้นะ อาจารย์แม่รอเดี๋ยว”
“ทำไมล่ะ จะไม่ให้ฉันเข้าไปเหรอ”
“เอ่อ…อาจารย์แม่ อาจารย์ของผมกำลังฝึกทำเมนูตัวใหม่ คนอื่นจะเห็นไม่ได้น่ะ” ซางเทียนซั่วกล่าว
“เมนูใหม่งั้นเหรอ ว้าว ซ่งจื่อเซวียนกำลังคิดเมนูใหม่เหรอเนี่ย จริงๆ เลย ทำไมฉันถึงดูไม่ได้ล่ะ”
ซางเทียนซั่วลดงแขนลง เอามือไพล่หลัง “อาจารย์แม่ไม่เข้าใจ ในวงการนี้มีสามลัทธิเก้าอาชีพ และพ่อครัวก็เป็นหนึ่งอาชีพที่อยู่ในนั้น ในเมื่อเป็นหนึ่งอาชีพก็ต้องยึดตามหลักเกณฑ์บ้าง พ่อครัวกำลังคิดเมนูใหม่ คนอื่นจะเข้าใกล้ไม่ได้ อย่างความสัมพันธ์ของคุณกับอาจารย์ผมน่ะ ถึงแม้…”
“เฮ้ย ไม่ต้องพูดแล้ว เธอเข้าไปแล้ว” ฟางรุ่ยกลอกตาใส่ซางเทียนซั่วหนึ่งที
ซางเทียนซั่วหันไปมอง ดังคาด ถังหย่าฉีเดินเข้าไปครัวด้านหลังแล้ว
“แม่งเอ๊ย ทำไมแกไม่ห้าม มันผิดกฎนะ”
“ผิดกฎอะไร แกเรียกเธอว่าอาจารย์แม่แล้ว ความสัมพันธ์ของคนในบ้านยังต้องมีกฎด้วยเหรอ”
“อย่างนั้นก็ไม่ได้ ยังไงก็ยังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันสักหน่อย!” ซางเทียนซั่วพูดอย่างหนักแน่น
“พอเถอะ ถ้างั้นแกก็เข้าไปเรียกอาจารย์แม่ของแกออกมา”
“ฉัน..ฉันไม่ไป อาจารย์จะต้องด่าฉันแน่นอน” ซางเทียนซั่วเบะปาก
ที่ครัวด้านหลัง ซ่งจื่อเซวียนกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องมองในหม้อดินกับกระทะร้อนอยู่
หลังจากการทดลองผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็คุ้นเคยกับกระบวนการทำเมนูนี้จนไม่อาจคุ้นเคยกว่านี้ได้อีกแล้ว
เมื่อเปลี่ยนมาใช้สันในเนื้อ ใช้หูฉลามแทน รสชาติของน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายก็มีความสดอร่อยมากกว่าเดิมอย่างชัดเจน
ทว่ากลิ่นของยาจีนยังเป็นปัญหาอยู่ ซ่งจื่อเซวียนใช้สองสามวิธีแล้วยังไม่สามารถหาวิธีที่ดีที่สุดได้ หากไม่ใช่กลิ่นยาจีนแรงเกินไป ก็ลดสรรพคุณยาลงไม่ได้
เหมือนกับที่ชายชรากล่าวไว้ ถ้าหากคนที่มีร่างกายอ่อนแอได้กิน เกรงว่าจะไม่ได้บำรุงร่างกาย แต่กินแล้วจะเกิดปัญหาเสียมากกว่า
ดังนั้นความพิถีพิถันของเมนูนี้จึงอยู่ตรงนี้ หากทำถูกจะบำรุงร่างกาย แต่หากทำผิด ผลลัพธ์จะเป็นตรงกันข้าม ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย
ถังหย่าฉีค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องครัว เห็นซ่งจื่อเซวียนทำท่าจริงจังอยู่หน้าเตา เธอจึงยิ่งย่องเบาๆ เดินไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวัง
เหมือนที่ซางเทียนซั่วบอกไว้ ตามกฎแล้ว เวลาที่พ่อครัวกำลังคิดค้นเมนูใหม่ คนในวงการไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ถ้าหากเป็นคนนอกวงการ ที่จริงเข้าใกล้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แต่ไม่ว่าถังหย่าฉีจะเป็นคนในหรือคนนอก ในสายตาของเธอเวลานี้ไม่มีเมนูอาหารอะไร มีแต่ซ่งจื่อเซวียนเท่านั้น
สายตาเช่นนี้มาจากความชื่นชม เธอเพิ่งเคยเห็นซ่งจื่อเซวียนทำอาหารเป็นครั้งแรก เธอคิดไม่ถึงว่า ซ่งจื่อเซวียนเวลาทำงานจะจริงจังขนาดนี้ ถึงขนาดที่ว่า…ดูน่าดึงดูดมาก
หลังจากปรับปริมาณกำลังภายในหลายครั้ง ซ่งจื่อเซวียนก็พบว่ากลิ่นของยาจีนจางลง อีกทั้งยังจางลงมาก
กลิ่นยาจีนที่เหลือไม่ทำให้คนรู้สึกต่อต้าน กลับกันเมื่อผสมเข้าไปในน้ำแกงแล้ว จะกลายเป็นรสชาติที่หอมอร่อยไปอีกแบบ
เขาค่อยๆ พยักหน้า “น่าจะใช่แล้ว”
ขั้นตอนสุดท้าย ขณะที่เขานำยาจีนไปทำให้เย็นลง ก็เริ่มต้มน้ำแกง
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสันในหั่นฝอย ปลิงทะเลหั่นฝอย หรือว่าแฮมหั่นฝอย ไข่หั่นฝอยหรือหูฉลาม ล้วนเป็นวัตถุดิบที่สดใหม่ หากใช้ไฟแรงเกินไป รสชาติสดใหม่จะหายไป และมีผลต่อความอร่อย
ดังนั้นซ่งจื่อเซวียนในตอนนี้จึงต้มน้ำแกงก่อน แต่ไม่รีบใส่วัตถุดิบหั่นฝอยทั้งห้าอย่างลงไป
น้ำแกงที่อยู่ก้นหม้อคือน้ำแกงที่ต้มหูฉลามก่อนหน้านี้ แบบนี้จะรักษาความสดอร่อยและความเหนียวข้นไว้ได้ และจะยิ่งกลายเป็นน้ำแกงรสชาติเข้มข้นง่ายขึ้น
เหมือนกับที่ตาเฒ่าฟางว่าไว้ หากเปลี่ยนหูฉลามเป็นวุ้นเส้นก็จะไม่มีรสชาติสดกลมกล่อม จุดนี้อธิบายถึงความสำคัญของหูฉลามได้
ขณะที่กำลังต้มน้ำแกง ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนที่หันหน้ากลับมาเห็นถังหย่าฉี เขาก็อดตกตะลึงไม่ได้ ขณะเดียวกันใจก็เริ่มเต้นตึกตัก เขาไม่รู้เลยว่านางฟ้าตัวน้อยคนนี้มาตั้งแต่เมื่อไร
วันนี้ถังหย่าฉีใส่ชุดออกกำลังกายสีม่วง ถักผมเปียทั้งสองข้าง ดูแล้วยิ่งสดใสและไร้เดียงสาเป็นพิเศษ
“หย่าฉี เธอมาตั้งแต่เมื่อไร”
ถังหย่าฉียิ้ม วางนิ้วชี้ไปที่ริมฝีปาก “ชู่ว…เพิ่งมา ไม่กล้ากวนนาย นายทำงานของนายไปเถอะ ฉันรอนายอยู่ตรงนี้ได้ไหม”
“เหอะๆ ถ้างั้นเธอรอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวก็น่าจะเสร็จแล้ว”
แม้แต่ซ่งจื่อเซวียนเองก็ไม่รู้ตัว ปกติเรื่องที่เขาเกลียดที่สุดคือถูกคนแอบขโมยวิชา อย่างเช่นเจิ้งฮุยที่จะมองเขาทำข้าวผัดทุกครั้ง เขารู้สึกรำคาญมาก
แต่ตอนนี้ ถังหย่าฉีอยู่ข้างๆ เขา นอกจากจะไม่รู้สึกรำคาญแล้ว กลับยิ่งดีใจมาก หน้าตาก็ยิ่งสดใส
อย่างไรเวลาอยู่ต่อหน้าคนสวย มีไอ้หนุ่มหน้าไหนบ้างไม่อยากจะโชว์ฝีมือ สำหรับพ่อครัวคนหนึ่งแล้ว การโชว์ฝีมือที่ดีที่สุดก็คือการทำอาหารที่ถนัดที่สุด
ขณะที่รอให้ยาจีนเย็นลง ซ่งจื่อเซวียนพ่นลมหายใจหนึ่งที “เอาวะ!”
เขาเทยายาจีนลงไปในน้ำแกง เคี่ยวไปสักพักหนึ่ง รอให้ยาจีนเหลือกลิ่นในน้ำแกงเล็กน้อย
อันที่จริงทุกครั้งที่ถึงขั้นตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนจะตื่นเต้นตลอด เพราะหากทำไม่ดีจะกลายเป็นซุปยาจีนหม้อหนึ่ง แต่ครั้งนี้…ไม่ตื่นเต้นแล้วจริงๆ
กลิ่นของยาจีนผสมเข้ากับน้ำแกง หลังจากกลิ่นสดกลมกล่อมปรากฏออกมา ก็ไม่มีกลิ่นยาจีนลอยออกมาอีกแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนเบิกตาโตหัวเราะด้วยความดีใจ “สำเร็จแล้ว!”
ขั้นตอนสุดท้าย ใส่วัตถุดิบหั่นฝอยทั้งห้าชนิดลงไปในน้ำแกง คนเล็กน้อยแล้วจึงตักออกจากหม้อ
ครั้งนี้ ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ใช้กล่องใส่อาหาร แต่ใช้กระติกน้ำร้อนที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ทำตามที่ชายชราบอกไว้ อาหารที่ดีขนาดนี้ใส่ในกล่องอาหาร ต่อให้รสชาติดีแค่ไหนรสาติก็หายหมด
“ว้าว…หอมจัง”
ซ่งจื่อเซวียนหันมายิ้ม “ใช่ไหม ฉันก็รู้สึกว่าหอม”
“ไม่นะ…จื่อเซวียน กลิ่นนี้หอมมากจริงๆ ที่ได้กลิ่นเมื่อกี้คือน้ำแกงเข้มข้นธรรมดา แต่ตอนนี้…กลิ่นหอมยังวนเวียนอยู่เลย หอมมากจริงๆ นายทำได้ยังไงน่ะ ฉันขอชิมหน่อยได้ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด แล้วยิ้ม “มาๆ ให้เธอเป็นผู้ชิมคนแรก”
เขาพูดพลางหยิบช้อนเล็กคันหนึ่งขึ้นมา ตักแล้วยื่นไปที่ริมฝีปากของถังหย่าฉี ส่วนถังหย่าฉีก็ทำสีหน้าดีใจมาก ชิมไปหนึ่งคำ
ตอนที่น้ำแกงเข้าปาก ถังหย่าฉีก็ตกตะลึงไปจริงๆ “พระเจ้า…จื่อเซวียนนายเป็นอัจฉริยะจริงๆ อาหารทุกอย่างที่นายทำเป็นผลงานคลาสสิกหมดเลย รสชาติอร่อยจนน่าเหลือเชื่อ…”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ ขณะที่หยิบกระติกน้ำร้อนก็จูงมือของถังหย่าฉี แล้ววิ่งออกไปข้างนอก
“อาจารย์…”
“พวกนายเฝ้าร้าน ฉันออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่ง!”
ซางเทียนซั่วทำสีหน้ามึนงง “แม่งเอ๊ย…คงไม่ได้จะไปทะเลาะกับอาจารย์แม่ใช่ไหม ฉันบอกแล้วว่าอย่าแอบดู…”
ฟางรุ่ยกลอกตาใส่เขาหนึ่งที ไม่สนใจ
“ซ่งจื่อเซวียน นายจะพาฉันไปไหนน่ะ” ถังหย่าฉีเหมือนกับแมวน้อย ปล่อยให้ซ่งจื่อเซวียนจูงเดินไปอย่างเชื่อฟัง จนกระทั่งตอนนี้ถึงได้สติแล้วรีบถาม
“ไปให้ตาเฒ่าลองชิม” ซ่งจื่อเซวียนวิ่งพลางพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“นี่ ฉันมีรถนะ…”
จากนั้น ทั้งสองคนจึงจึงนั่งรถไปที่บ้านของฟางจิ่งจือ ซ่งจื่อเซวียนพาถังหย่าฉีเข้าไปทันทีโดยไม่ได้คิดอะไร
“ปู่ ฮ่าๆๆๆๆ สำเร็จแล้ว ตะหลิวลายฟินิกซ์ของปู่ต้องเป็นของผมแล้ว!” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเสียงดังวิ่งเข้าไปข้างใน
ฟางจิ่งจือตอนนี้กำลังจิบเหล้าอยู่ และกินถั่วลิสงเป็นกับแกล้ม เห็นซ่งจื่อเซวียนมาก็เอ่ยว่า “อะไรกันเนี่ย ไม่มีมารยาทเสียเลย!”
“ปู่ลองชิมดู น้ำแกงห้าสายสำเร็จแล้ว!” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยความดีใจ ขณะเดียวกันก็เปิดกระติกน้ำร้อนออก
“กลิ่นนี้…ยังขาดอีกนิด!” ฟางจิ่งจือดมแล้วพูดออกมา!
………………………………………….