เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 109 ไม่มีใครกล้าขาย
ตอนที่ 109 ไม่มีใครกล้าขาย
ซ่งจื่อเซวียนพยายามหลายรอบ ในที่สุดก็กลบกลิ่นยาจีนได้ พูดได้ว่าเขาแลกมาด้วยการหลั่งเลือด
แต่ตาเฒ่าฟางยังไม่ได้ลิ้มลองก็ปฏิเสธออกมาเพียงประโยคเดียว ทำให้เขาตัวแข็งทื่อไป
“เฮ้ยตาแกคนนี้นี่ ดีร้ายยังไงก็ลองชิมสักคำสิ แค่ได้กลิ่นก็ไม่ถูกต้องแล้วได้ยังไงกัน”
ฟางจิ่งจือส่ายหัวแล้วยิ้ม “ไม่ถูกก็คือไม่ถูก เอามันออกไป น่าคลื่นไส้”
ซ่งจื่อเซวียนคิดอยากจะสบถจริงๆ แน่นอนว่าแม้เขาจะมีความกล้าหาญนับร้อยก็ไม่กล้าสบถต่อหน้าชายชรา เขาทำได้เพียงปิดฝาแล้วนำน้ำแกงออกไปก่อน
“ปู่ บอกหน่อยสิว่าทำไมกลิ่นถึงไม่ถูกต้อง” ซ่งจื่อเซวียนนั่งยองๆ ข้างตาเฒ่าแล้วถาม
ฟางจิ่งจือกระตุกยิ้ม “แค่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ถูกต้อง จะให้พูดอะไรอีกเรอะ”
“ถ้างั้นปู่ก็ทำให้ผมเข้าใจกระจ่างสิ มีแค่ปู่เท่านั้นที่รู้ว่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายนี้มีรสชาติยังไง ผมให้คนอื่นมาวิจารณ์ก็ไร้ประโยชน์ แต่ปู่จะมาพูดว่าไม่ถูกต้องโดยที่ยังไม่รู้ชัดเจนแล้วเขี่ยมันทิ้งไปเลยไม่ได้นะ”
“เหอะๆ ไอ้เด็กโง่ แกต้มโสมทั้งสองชนิดแยกกันหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ตกตะลึง ตาเฒ่าคนนี้น่าทึ่งจริงๆ ยังไม่ได้ชิมก็รู้วิธีทำของตัวเองแล้วเหรอ
“ใช่ปู่ ปู่รู้ได้ยังไงน่ะ”
“ฉันรู้ได้ยังไงงั้นเหรอ กลิ่นของโสมมันอยู่ในน้ำแกงหมด พอได้กลิ่นก็รู้ว่าต้มพร้อมกับน้ำแกงไปเลย แกโง่ยังอวดฉลาด ไม่ยอมเอาโสมกับตังเซียมใส่เข้าไปในหม้อยา แต่ฉันจะบอกแกให้ว่าขั้นตอนนี้สำคัญที่สุด”
“สำคัญที่สุดเหรอ…ผมลองทำมาหลายรอบ เอาโสมใส่ในหม้อยาจะมีแต่กลิ่นยาจีน ไม่มีวิธีดับกลิ่นให้สะอาดหมดจดได้ ผมเลยใส่โสมลงไปในน้ำแกงแทน” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“เพราะงั้นน่ะนะ คุณสมบัติยาของโสมก็จะไม่ออกมาผ่านการต้ม รสชาติก็จะไม่เข้มข้น ในทางกลับกันผลข้างเคียงนั้นร้ายแรงมาก ถ้าคนที่ร่างกายอ่อนแอจริงๆ มาดื่มน้ำแกงนี้ อาการอ่อนแอจะไม่ได้รับการบำรุง ดีหน่อยก็เลือดกำเดาไหล แย่กว่านี้…ก็มีปัญหาไม่จบสิ้น”
ซ่งจื่อเซวียนหวาดกลัวหลังจากได้ยินคำพูดนี้ หากลูกค้าทานน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายนี้จริงๆ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นคงจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตแน่นอน
“แล้วมีอะไรอีก ปู่ นี่เป็นขั้นตอนเดียวที่ผิดเหรอ”
ฟางจิ่งจือเหลือบมองเขา “มีอะไรอีกเรอะ ก็มีไอ้อ่อนคนหนึ่งแอบลักไก่ เปลี่ยนหูฉลามเป็นวุ้นเส้นเลยสูญเสียความสดของหูฉลามไป แล้วรสชาติมันจะไปถูกต้องเรอะ”
ได้ยินดังนั้นซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมา “ปู่ ก็มันจนมุมจริงๆ นี่ ทางเหนือกินหูฉลามกันเป็นพิเศษ ยิ่งไม่ง่ายเลยที่จะซื้อหูฉลามในตู้เหมิน ผมเลยใช้เป็นวุ้นเส้นแทน หลังจากนี้ผมจะไปตลาดอาหารทะเล พ่อค้าบางคนอาจจะมี”
“ไปซะเถอะ ไม่งั้นอาหารจะไม่ออกรส อีกอย่าง…จริงสิไอ้หนู เนื้อสันในต้องเป็นเนื้อวัวนะ จะใช้เนื้อหมูไม่ได้”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าหงึกๆ “เข้าใจแล้วปู่”
ที่จริงเขามองข้ามจุดนี้ไป หลายครั้งมานี้น่าจะใช้เป็นเนื้อหมูสันใน แต่วัตถุดิบจริงๆ ต้องเป็นเนื้อวัวสันใน
เนื้อสันในนั้นอ่อนนุ่ม เนื้อทั้งสองชนิดดูเหมือนจะมีเนื้อสัมผัสคล้ายกัน แต่รสชาติกลับแตกต่างกันมาก หมูจะมีรสออกมาได้ง่ายกว่า ซึ่งหมายความว่าจะลดคุณภาพของน้ำแกงจนหมด
พูดคุยกับตาเฒ่าฟางอีกสองสามคำ ซ่งจื่อเซวียนก็ชิมน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไปหนึ่งครั้ง รสชาติพอกินได้ แต่มันไม่ใช่ของที่ดีแน่นอน เขาจึงเททิ้งไป
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็โทรหาฟางรุ่ย นัดให้อีกฝ่ายไปพบกันที่ตลาดอาหารทะเลในเขตเฉิงหนาน ส่วนซางเทียนซั่วถูกปล่อยให้ดูแลร้าน
ฟางจิ่งจือให้คำแนะนำซ่งจื่อเซวียนสองอย่าง หนึ่งคือต้องต้มยาจีนพร้อมกันถึงจะรับประกันได้ว่ารสชาติของโสมเข้มข้นและสรรพคุณทางยาจะไม่แรงนัก อย่างที่สองคือวัตถุดิบ ต้องซื้อเนื้อวัวสันในและหูฉลามให้ได้
เนื้อวัวสันในนั้นหาได้ไม่ยากและน่าจะมีอยู่ในร้านอาหารร่ำรวย ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือหูฉลาม
เมื่อถึงตลาดอาหารทะเลในเขตเฉิงหนาน โดยปกติที่นี่สามารถซื้ออาหารทะเลได้ครบทุกอย่างและยังเป็นศูนย์รวมอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในตู้เหมิน
ตู้เหมินเป็นเมืองใกล้ทะเล อาหารทะเลก็ไม่เคยขาด กระทั่งโบราณยังกล่าวไว้ว่า ถ้าได้กินอาหารทะเลจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด นับว่าเป็นระดับความชื่นชอบที่ชาวตู้เหมินมีต่ออาหารทะเล
หลังจากเดินชมร้านค้าหลายแห่ง ซ่งจื่อเซวียนก็พบแหล่งขายปลิงทะเลราคาถูก คุณภาพปลิงทะเลไม่เลวเลย และอาจจะถูกกว่าที่ซื้อเข้ามาในร้านอาหารร่ำรวยไม่น้อย
แต่เมื่อพูดถึงหูฉลาม ร้านอาหารหลายแห่งเหล่านี้ไม่มีเลย
“เถ้าแก่ ที่นี่มีอาหารทะเลครบหรือเปล่าครับ” ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปถามร้านอาหารทะเลสดแห่งหนึ่ง
ร้านอาหารทะเลแห่งนี้คนค่อนข้างเยอะ ชัดเจนว่าพ่อค้าแม่ขายทุกคนกำลังคัดเลือกปลาและกุ้งที่นี่ เถ้าแก่ก็ยุ่งอยู่กับการช้อนปลาจากอวน
เมื่อได้ยินคำถามของซ่งจื่อเซวียน เถ้าแก่ก็หันกลับมาแล้วพูด “น้องชาย มีไม่ครบหรอกนายอยากได้อะไร ถ้าปริมาณเยอะเราจัดส่งให้ได้”
“แหะๆ มีหูฉลามไหมครับ”
จู่ๆ เถ้าแก่ก็ชะงัก “อ้อ มีสิ นายต้องการเท่าไรล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “คุณบอกมาก่อนครับว่าขายยังไง”
เถ้าแก่เดินตรงเข้าไปในห้องเล็กๆ ข้างหลัง หยิบถุงหนึ่งออกมา “ถุงหนึ่งมีครึ่งกิโล ราคาหกสิบหยวน”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ตะลึงงัน ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาต้องการหูฉลามคุณภาพอย่างดี แม้ว่าราคาจะถูกแค่ไหนก็ไม่น่าจะมีราคาหกสิบหยวนได้…
อีกอย่างหูฉลามแห้งห่อนี้ เมื่อแช่น้ำแล้วเกรงว่าจะมีน้ำหนักกิโลครึ่งกว่า…
เขามองดูหูฉลามอย่างละเอียด ส่ายหัวแล้วถาม “มีของแท้ไหมครับ”
เถ้าแก่ชะงัก “นายหมายความว่าไง”
“ไม่ต้องให้ผมพูดแล้วมั้งว่าหมายความว่าไง มีของแท้หรือเปล่าครับ”
“พูดอะไรน่ะ หูฉลามของฉันไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่เอาก็ช่าง อย่าพูดจาซี้ซั้ว”
ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเถ้าแก่คนนี้ ชื่อเล่นของเขาคือเหล่าหู่ นับว่าเป็นนักเลงบ้าอำนาจในตลาดอาหารทะเล
หากพ่อค้ารายอื่นไปแย่งลูกค้าเขา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะเหวี่ยงหมัดใส่ทันที แต่ร้านของเขามีขนาดใหญ่และมีของหลากหลาย กิจการค้าขายจึงเฟื่องฟูอยู่เสมอ
บางคนบอกว่าเพราะเขารู้จักหน่วยงานที่ดูแลตลาด ดังนั้นจึงถูกดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษและมีร้านค้าขนาดใหญ่เช่นนี้ได้
“ผมไม่ได้พูดซี้ซั้วสักหน่อย หูฉลามของคุณเป็นแบบเทียม จะส่งผลเสียกับคนที่กินเข้าไป” ชัดเจนว่าซ่งจื่อเซวียนไม่พอใจอยู่บ้างที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ จึงตะเบ็งเสียงออกไป
“เฮ้ยเวรเอ๊ย หาเรื่องทำไมวะ วันนี้อยากมีเรื่องใช่ไหม ได้ ไอ้หนูอย่าหนีนะเว้ย!”
ขณะที่พูด เหล่าหู่ก็โยนอวนจับปลาในมือ สาวเท้าเดินเข้ามาหาซ่งจื่อเซวียน รังสีที่แผ่ออกมานั้นไม่ต้องพูดว่าอันธพาลมากแค่ไหน
แต่ทันทีที่เดินไปถึงตรงหน้าซ่งจื่อเซวียน ฟางรุ่ยก็มาหยุดเขาทันทีโดยกดมือข้างหนึ่งที่แผงอกของเขา คิดจะก้าวเท้าต่อก็ยากเย็นเหลือเกิน
“แม่ง รนหาที่ตายใช่ไหม?!”
ขณะที่พูด เหล่าหู่กำลังจะง้างหมัดก็โดนฟางรุ่ยเลื่อนมือขึ้นไปจับล็อกคอเขาเสียก่อน
พละกำลังที่แข็งแกร่งเกือบจะทำให้เขารู้สึกขาดอากาศหายใจในทันที เปลือกตาก็หดลงเล็กน้อย ดูเหมือนเขาไม่เคยพบเจอพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน
เหล่าหู่ตบแขนของฟางรุ่ยอย่างไว ฟางรุ่ยจึงค่อยปล่อยมือ เหล่าหู่ถึงสูดลมหายใจเข้าได้
“ถ้ายังกล้าทำอะไรอีก ฉันจะบีบคอแกให้ตาย!” ฟางรุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงโหดร้ายสุดขีด ชัดเจนว่าไม่ได้ล้อเล่น
เหล่าหู่ไอออกมาสองสามครั้งก็ยกมือยอมแพ้แล้วพูด “เอาล่ะ วันนี้ฉันยอมแล้ว ไอ้หนู ฉันไม่มีหูฉลามที่นายต้องการ ไปถามข้างในดู”
เมื่อเห็นว่าเหล่าหู่ยอมจำนน ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับเขาอีก ท้ายที่สุดจุดประสงค์ในการมาที่นี่ไม่ใช่การก่อเรื่องแต่อย่างใด
“เดิมทีผมก็ไม่ได้คิดอะไรแต่อยากแนะนำสักหน่อย การค้าขายต้องเป็นมิตรถึงจะหาเงินได้ดีกว่า ทำอะไรก็อย่าใส่อารมณ์เลยนะครับ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินเข้าไปในตลาด ในขณะที่เหล่าหู่จ้องเขม็งและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
เมื่อเดินลึกเข้าไป สายตาซ่งจื่อเซวียนก็มองไปที่ร้านขายอาหารทะเลแห่งหนึ่งชื่อว่าองค์ชายเป้าชื่อ ร้านมีขนาดใหญ่มาก มองจากภายนอกเหมือนภัตตาคารแห่งหนึ่ง
ในห้องโถงมีคนมากมาย ไม่เพียงแต่มีพ่อค้าและเถ้าแก่มากเท่านั้น พนักงานของร้านก็มีไม่น้อย
ในร้านมีบ่อปลาสูงเจ็ดสิบถึงแปดสิบเซนติเมตร แบ่งบ่อเป็นช่องไม่ต่ำกว่าสามสิบช่อง ด้านข้างมีตู้ปลากระจกวางเรียงเป็นแถว ซึ่งเต็มไปด้วยอาหารทะเล จะเห็นว่าร้านนี้มีครบถ้วนทุกชนิด
ตรงข้ามประตูเป็นเคาน์เตอร์ บนเคาน์เตอร์จัดวางของตกแต่งเรียกทรัพย์ แต่ล้วนทำจากพลาสติกเคลือบสีทอง
ซ่งจื่อเซวียนเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วถาม “เถ้าแก่ มีหูฉลามบ้างไหมครับ อยากได้หูฉลามจริงๆ ที่เลี้ยงมาน่ะ”
เถ้าแก่เป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าๆ มีเส้นผมสีดำขลับ แต่ตรงกลางร่วงแล้วพอสมควร ใบหน้าอวบอ้วนและหย่อนคล้อยอยู่บ้าง
อาจเป็นเพราะกิจการขายดิบขายดี เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งจื่อเซวียนเขาจึงไม่เงยหน้าขึ้นมอง เพียงแค่ฮัมเพลงและยุ่งอยู่กับงานของตนเองต่อไป
“เอาของมาให้ดูหน่อย ผมอยากจะซื้อจำนวนหนึ่ง”
เถ้าแก่ชี้ไปด้านหนึ่งแล้วพูด “ไปถามพนักงานตรงนั้น”
ซ่งจื่อเซวียนอดยิ้มไม่ได้ เถ้าแก่คนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ไม่ว่ากิจการจะดีแค่ไหน แต่จะเมินลูกค้าไม่ได้สิ และคุณยังไม่รู้ว่าคนเขาต้องการซื้อจำนวนมากน้อยเท่าไร ถ้าต้องการซื้อเยอะ ก็ถือว่าเสียหายแล้วหรือเปล่า
ขณะที่เขากำลังจะถามพนักงาน ก็ได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยออกมา
“เถ้าแก่เฉิน วันนี้ค้าขายได้ไม่เลวเลยนี่ คนเยอะขนาดนี้”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เถ้าแก่เฉินก็เงยหน้าขึ้นทันที “โอ๊ะ นี่ท่านชายเฮ่อไม่ใช่เหรอ ฮ่าๆ ลมอะไรหอบคุณมาที่นี่กัน”
“ฮ่าๆ ผมมายังต้องใช้ลมหอบเหรอ คุณไม่ต้อนรับผมเหรอเนี่ย”
ซ่งจื่อเซวียนมองตามเสียงคนพูดก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ เป็นคนคุ้นหน้า คนที่เจอพร้อมกับถังหย่าฉีที่อ่าวชิงหลง รุ่นพี่ของถังหย่าฉีที่มหาวิทยาลัยหนานกวน ‘เฮ่อเหยียนข่าย’ นั่นเอง
“ใช่ซะที่ไหนล่ะครับ ท่านชายเฮ่อ วันนี้คุณมาทำไมครับ เพื่อตรวจสอบร้านเล็กๆ ของเราเหรอ” เถ้าแก่เฉินเดินออกจากเคาน์เตอร์แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ตรวจสอบอะไรกัน ผู้ถือหุ้นในตลาดนี้คือท่านผู้เฒ่าของครอบครัวผม ไม่ใช่ผมสักหน่อย ผมไม่มีอำนาจนั้นหรอก” เฮ่อเหยียนข่ายเอามือไขว้หลังแล้วยิ้ม แสร้งทำเป็นผู้ใหญ่เล็กน้อย
“ฮ่าๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วไม่ใช่เหรอ! ท่านชายเฮ่อ เราไปนั่งข้างหลังกันเถอะ ผมจะชงชาให้คุณได้ชุ่มชื่นคอ”
“ช่างเถอะ ไม่จำเป็น ผมมีเรื่องมาพบคุณจริงๆ ผมมีเพื่อนที่ต้องการซื้อหอยเป๋าฮื้อคุณภาพดีจำนวนหนึ่ง คุณให้ราคาตามจริงกับผม จากนั้น…เราจะคุยรายละเอียดกันในภายหลัง”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วครับ เรื่องแค่นี้คุณจะมาทำไมครับ โทรศัพท์มาบอกผมก็ได้”
เฮ่อเหยียนข่ายคลี่ยิ้มแล้วมองหันซ้ายหันขวา สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ซ่งจื่อเซวียน
“โอ๊ะ นี่แม่งใครกันเนี่ย ดูคุ้นๆ นะ เหมือนว่าวันนี้ฉันจะมาไม่เสียเที่ยวแล้ว!”
เฮ่อเหยียนข่ายพูดพลางเดินเข้ามาหา “บังเอิญแฮะ เอ๊ะไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่า…ศัตรูมาเจอกันบนถนนแคบๆ ใช่ไหม ฉันไปสอบถามมาแล้ว แกเป็นเชฟ วันนี้มาทำอะไรที่นี่ล่ะ ซื้ออาหารทะเลเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองเฮ่อเหยียนข่าย “ฉันคุ้นกับนายหรือไง กำลังพูดกับฉันอยู่งั้นเหรอ”
เฮ่อเหยียนข่ายขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ จากนั้นมองไปทางเถ้าแก่เฉินแล้วถาม “พวกมันมาซื้อของหรือเปล่า”
“ครับท่านชายเฮ่อ ไอ้เด็กคนนี้เพิ่งบอกว่าอยากซื้อหูฉลาม”
สมแล้วที่เป็นนักธุรกิจ เมื่อครู่ไม่ทันได้เงยหน้าก็รู้ว่าเป็นซ่งจื่อเซวียนที่ถามหาหูฉลาม
“ดี ไม่ต้องขายให้พวกมัน” ขณะที่พูดเฮ่อเหยียนข่ายก็เดินไปตรงหน้าซ่งจื่อเซวียน “ฉันไม่ได้ล้อเล่น ขอเพียงแค่ฉันเอ่ยปาก ไม่ว่าแกจะซื้ออะไรก็ตาม ที่นี่จะไม่มีใครกล้าขายให้แก!”
………………………………………………..