เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 107 ไม่ต้องทำงานกันให้หมด
ตอนที่ 107 ไม่ต้องทำงานกันให้หมด
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศหนาวมาก แม้ว่าจะประคองพี่น้องสองคนทั้งซ้ายและขวา ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่ได้รู้สึกอับอาย
ชีวิตยามค่ำคืนในเมืองตู้เหมินนั้นธรรมดาทั่วไป ถ้าไม่ใช่สถานที่ย่านผับบาร์หรือแผงขายอาหารที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง โดยพื้นฐานกลางดึกตอนตีสองก็จะไม่มีคนแล้ว
บางครั้งรถยนต์ที่สัญจรและผู้คนที่เดินผ่านจะหันกลับไปมองซ่งจื่อเซวียนที่พยุงคนขี้เมาสองคนเดินไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับร่าเริงมาก หลังจากคืนนี้เขาจะเป็นอิสระแล้ว เขาสามารถเลือกอยู่ต้าสือไต้ได้อีกสองสามวันเพื่อรอให้ทางร้านอาหารร่ำรวยเรียกไปทำงานหรือจะพักร้อนสักหน่อยก็ย่อมได้
สรุปก็คือตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป เขาไม่ได้ติดค้างใครอีกแล้วและจะได้เริ่มต้นใหม่
เนื่องจากทั้งคู่เมาหัวราน้ำ ซ่งจื่อเซวียนจึงพาพวกเขาไปที่ห้องพักเล็กๆ ที่ฟางรุ่ยอาศัยอยู่ ถอดชุดของทั้งคู่ออก ห่มผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็จากไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนก็ตื่นสายอย่างเห็นได้ยาก เขามองดูโทรศัพท์ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว
เขาเลิกผ้าห่มออกอย่างลุกลี้ลุกลนแล้วลุกจากเตียง อดไม่ได้ที่จะหลับตายิ้มกว้าง จะรีบทำไม ตอนนี้ถือว่าไม่มีงานทำแล้วนี่นา
แต่ในขณะที่กำลังฉีกยิ้ม ก็โดนฝ่ามือหนึ่งตีเข้าที่หัว
“ยังจะมายิ้ม ไม่รีบลุกขึ้นมาอีก ดูสิตอนนี้ปาไปกี่โมงแล้ว” หานหรงว่ากล่าวด้วยความโมโห
ซ่งจื่อเซวียนลืมตาด้วยความงุนงง เห็นแม่ที่กำลังมองตัวเองด้วยความโมโห อีกด้านมีซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยกำลังนั่งกินโจ๊กอยู่ที่โต๊ะ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย อาจารย์ทำไมตื่นสายจัง”
ซ่งจื่อเซวียนถลึงตา ถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ เมื่อคืนพวกนายสองตัวเกือบถูกฉันลากไปไว้ที่โรงแรมแล้ว ระหว่างทางก็เหมือนจะหลับปุ๋ยไปเลย ตอนนี้ยังจะมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นอีกเหรอ
ซ่งจื่อเซวียนจ้องมองเขาเขม็ง “เมื่อคืนนายสองคนหลับสบายเลยไหมล่ะ”
“ก็โอเคนะอาจารย์ ฟางรุ่ยเขากรนด้วย”
“พอเถอะ ไม่รู้ว่าพวกนายสองคนใครกันแน่ที่กรนดังกว่ากัน”
หานหรงก็พูดบ้าง “เร็วเข้าสิ กินเสร็จก็รีบไปทำงาน สายป่านนี้แล้วนะ”
“หา? งานดีๆ แบบนี้แกบอกว่าลาออกแล้วอย่างนั้นเหรอ แกทำผิดพลาดจนถูกเถ้าแก่ไล่ออกเหรอ” หานหรงถามอย่างกังวลใจทันที
ซางเทียนซั่วกระตุกยิ้มพลางพูด “คุณย่า อย่ามาทำให้ขำน่า พวกเขาจะเก็บอาจารย์ผมไว้ก็ไม่ทันแล้ว อาจารย์ผมเขาลาออกด้วยตัวเอง”
“ลาออกเองด้วย” หานหรงรีบนั่งข้างเตียง “เจ้ารอง นี่แกทะเยอทะยานเกินตัวนะ แกรู้ไหมว่าสิ่งที่แกทำมันมีความเสี่ยง เราอย่าไม่เห็นค่าของเงินสิ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม หยิบเสื้อคลุมแล้วหยิบบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “แม่ มีเงินอยู่ในนี้หนึ่งแสนห้าหมื่นกว่าหยวน ลูกไม่ว่างไปถอนเลย ช่วยลูกถอนเงินออกมาแล้วเก็บไว้ในบัตรแม่หน่อยนะ เหลือให้ลูกสองหมื่นหยวนไว้ใช้ตอนฉุกเฉินก็พอ”
“หนึ่ง…หนึ่งแสนห้าหมื่น? เจ้ารอง แกทำงานอะไรกันแน่”
“แหะๆ แม่ เดี๋ยวลูกจะออกไปแล้ว กลับมาแล้วค่อยอธิบายให้แม่ฟังนะ แม่แค่ช่วยลูกถอนเงินก็พอแล้ว วางใจเถอะ ลูกชายแม่ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่ควรทำอยู่แล้ว”
หานหรงพยักหน้าช้าๆ เธอยังวางใจในนิสัยส่วนตัวของซ่งจื่อเซวียน ท้ายที่สุดแล้วตั้งแต่เด็กซ่งจื่อเซวียนไม่ได้กล้าหาญมากนักและก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมา
“ก็ได้ แม่จะทำให้ แกจำไว้นะ คืนนี้ตอนแกกลับมาต้องเล่าให้ฉันฟังว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“รู้แล้วครับ!”
หลังจากกินมื้อเช้าอย่างเรียบง่าย ซ่งจื่อเซวียนก็ตรงไปที่ต้าสือไต้ ถึงจะลาออกแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกว่าต้องไปบอกลาเจิ้งฮุยกับโจวเผิงสักหน่อย
ขณะเดียวกันเขายังติดต่อกับเสี่ยเฉิงปาและถามเรื่องร้านอาหารร่ำรวย เสี่ยปาพูดว่ากำลังคิดจะบอกเขาอยู่พอดีว่ารับสมัครคนเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะเปิดร้านเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนดีใจมาก อันที่จริงเขาก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ เมื่อร้านอาหารร่ำรวยเปิดเร็วเขาก็จะสามารถเริ่มงานได้เร็วเช่นกัน
จากนั้นเขาก็บอกเสี่ยปาเกี่ยวกับวัตถุดิบหลายอย่างที่ต้องนำเข้ามา รวมถึงวัตถุดิบยาจีนด้วย และเสี่ยปาก็ให้เหลยจื่อเป็นคนไปจัดการ
เมื่อไปถึงต้าสือไต้ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว ทันทีที่พวกเขาเข้าไปก็เห็นโจวเผิงมองพวกเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้งมาแต่ไกล
โจวเผิงขมวดคิ้วแล้วสาวเท้าเดินเข้ามา “นี่ซ่งจื่อเซวียน ดูสิตอนนี้มันกี่โมงแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “กี่โมงแล้วมันยังไงครับ”
“เวลาทำงานคือเก้าโมงครึ่ง นายสายไปสองชั่วโมง ร้านเราเสิร์ฟข้าวผัดจักรพรรดิเป็นหลักในช่วงเช้า นี่นายไม่รู้เหรอ”
อันที่จริงโจวเผิงร้อนอกร้อนใจเป็นอย่างมาก เมื่อเช้านี้มีคนต่อคิวถึงริมถนนแล้ว พอประตูเปิดก็กรูกันเข้ามาสั่งข้าวผัดจักรพรรดิ เมื่อได้ยินว่าพ่อครัวไม่อยู่ก็มาระบายความโกรธกับโจวเผิงและพนักงานเสิร์ฟไปโดยปริยาย
ต้องอธิบายทุกอย่างตลอดทั้งเช้า ถึงทำให้ลูกค้ายอมไปนั่งรอที่โต๊ะอย่างสงบเสงี่ยม
“ผมรู้ แล้วมันทำไมล่ะ”
“แล้วมันทำไมงั้นเหรอ หึ ตอนนี้ลูกค้าทุกคนกำลังรออยู่ ให้พวกเขารอมานานขนาดนั้นแล้วใครจะรับผิดชอบ?!” โจวเผิงแผดเสียงออกมา นั่นแสดงให้เห็นถึงแรงกดดันของผู้จัดการ
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้ม ไม่ได้สนใจเขาและเดินตรงไปยังห้องครัวด้านหลัง
ซางเทียนซั่วจ้องเขม็งมองโจวเผิง “ตะโกนหาแม่แกหรือไง ไอ้ฉิบหายนี่!”
“แก…”
ฟางรุ่ยเหลือบมองเขาอย่างเยือกเย็น อยากจะเอ่ยปากด้วยแต่ครุ่นคิดดูแล้วก็ช่างมันไป จึงอ้าปากอย่างเกียจคร้านแล้วเดินจากไป
“คนทรยศ แม่งเอ๊ย แล้วกิจการนี้จะทำยังไงล่ะ ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องแจ้งเถ้าแก่!” นี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่โจวเผิงพอทำได้…
เมื่อเดินเข้าไปในครัว เจิ้งฮุยก็รีบรุดเข้ามา “เชฟซ่ง นายมาแล้วเหรอ เอ่อคือ…รายการอาหารวางไว้บนเตานายแล้ว ข้าวผัดจักรพรรดิยี่สิบที่ก็ขายดีระเบิดระเบ้ออีกแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้ายิ้ม “ผมไม่รีบ หัวหน้าเชฟ ผมมีเรื่องต้องบอกคุณ”
“เอ๋ เรื่องอะไรทำไมไม่ผัดข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยบอก ลูกค้าเร่งกันมาใหญ่เลย ทำไมไม่ทำก่อนล่ะ” ท้ายที่สุด เจิ้งฮุยเป็นหัวหน้าเชฟและดูแลจัดการครัว เมื่อครัวด้านหลังไม่สามารถทำอาหารไปเสิร์ฟได้จึงร้อนใจอยู่มาก…
แต่เมื่อเทียบด้านทัศนคติ เขาดีกว่าโจวเผิงอยู่มากโข บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ในครัวด้วยกันมานานแล้ว เจิ้งฮุยจึงรู้สึกว่าซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้น่ารำคาญนัก ในทางตรงกันข้าม…มีบางครั้งก็เป็นห่วงเพื่อนร่วมงานอยู่บ้าง
โดยเฉพาะเหล่าอู๋ คนอื่นๆ ทุกคนดูถูกคนที่ทำงานเบ็ดเตล็ด ในฐานะที่เจิ้งฮุยเป็นหัวหน้าเชฟย่อมรู้เรื่องนี้ แต่ซ่งจื่อเซวียนมักจะยืนหยัดเพื่อเขา เรื่องนี้เจิ้งฮุยก็รู้เช่นกัน
“เหอะๆ เกรงว่า…จะทำไม่ได้แล้วครับ”
“อะไรนะ ทำไม่ได้แล้วเหรอ” ดวงตาเจิ้งฮุยแทบจะหลุดออกจากเบ้า ต้องรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพ่อครัว
หากเป็นอาหารธรรมดาที่ทำไม่ได้เนื่องจากขาดวัตถุดิบแค่ขอโทษลูกค้าก็จบ แต่ข้าวผัดจักรพรรดิเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของต้าสือไต้เชียวนะ
ลูกค้ามากมายมาที่นี่เพื่อข้าวผัดจานเดียว บวกกับวัตถุดิบมีเพียงข้าวสวยกับไข่ไก่ จึงเป็นเรื่องไร้สาระที่จะบอกทุกคนว่ามีวัตถุดิบไม่เพียงพอที่จะทำ
“ใช่ครับ หัวหน้าเชฟ ผมลาออกแล้ว ที่ผมมาวันนี้แค่มาบอกลาคุณครับ ช่วงนี้นับว่าคุณสุภาพกับผม ผมควรจะมาบอกกล่าวคุณสักหน่อย”
“ละ…ลาออกเหรอ” เจิ้งฮุยไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงพริบตาก็เข้าใจความหมายทันที
เนื่องจากความโด่งดังของซ่งจื่อเซวียนในตอนนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เถ้าแก่ร้านอาหารจำนวนไม่น้อยจะต้องการตัวเขา อีกทั้งเงินเดือนปัจจุบันของเขาอยู่ที่แปดหมื่นหยวน คาดว่าถ้าย้ายงานคงจะสูงขึ้นไปอีก
“นาย…ในที่สุดก็ตัดสินใจจะไปแล้วเหรอ” เจิ้งฮุยสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย คนลาออกแล้ว ทำอาหารไปเสิร์ฟไม่ได้ก็หมดหนทางแล้ว
“แหะๆ วันหลังถ้ามีเวลาเราค่อยติดต่อกัน บางทีเราอาจจะได้ร่วมมือกันอีกครับ”
“แน่นอนๆ” เจิ้งฮุยพูดพร้อมยื่นมือออกไปจับมือซ่งจื่อเซวียน นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองจับมือกันและเจิ้งฮุยก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่พวกหลี่เทาอีกครั้งและคล้ายจะเอ่ยคำลา พูดกับเหล่าอู๋เพียงแค่ไม่กี่คำแล้วเดินออกจากครัว
มองดูแผ่นหลังของซ่งจื่อเซวียน เจิ้งฮุยกระทั่งดีใจเล็กน้อย อยู่ในวงการอาหารมาหลายปีขนาดนี้ เขาเกือบจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ไป
รังแกคนแก่ได้แต่ต้องไม่ใช่เด็ก!
บางครั้งการยั่วยุคนรุ่นหลังก็น่ากลัวกว่าการยั่วยุคนรุ่นก่อน!
เพราะคนรุ่นก่อนถึงจุดอิ่มตัวในการพัฒนาแล้ว แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ยังมีความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุด หากไปยั่วยุเขาคุณอาจจะตายอย่างอนาถ
เมื่อไปถึงห้องโถง ซ่งจื่อเซวียนก็เดินตรงไปที่แผนกต้อนรับ
“เชฟซ่ง ยังเดินเล่นสบายใจเฉิบอยู่ตรงนี้อีกเหรอ ข้าวผัดยี่สิบที่รออยู่นะ” เมื่อเห็นท่าทางสบายๆ ของซ่งจื่อเซวียน หลัวลี่ลี่ก็รีบพูด
“เหอะๆ ลี่ลี่ ฉันจะพูดกับเธอไม่กี่ประโยค แล้วก็ถือว่าพูดในนามของเทียนซั่วด้วยเลย”
ทันทีที่เขาพูด ซางเทียนซั่วก็ตกตะลึง “หืม อาจารย์ ผมไม่มีอะไรจะพูดนะ”
หลัวลี่ลี่กลอกตามองเขาแวบหนึ่ง “ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดกับคนพาลคนนี้ เชฟซ่งมีอะไรจะพูดก็บอกมาได้เลย”
“ลี่ลี่ ฉันลาออกแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไปฉันไม่ได้ทำงานที่ต้าสือไต้แล้ว ฉันไม่ได้สนิทกับคนอื่นมากนัก ฉันเลยอยากมาบอกลาเธอ” ซ่งจื่อเซวียนพูดสบายๆ ราวกับว่าการไปจากต้าสือไต้ไม่มีผลกระทบใดๆ กับเขาเลย
แน่นอนว่าต้นไม้ใหญ่แค่ให้ร่มเงา ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่อยากจะทำงานในร้านอาหารใหญ่ๆ แบบต้าสือไต้ ไม่ต้องพูดถึงว่าได้เงินเดือนสูงหรือไม่ อย่างน้อยร้านอาหารที่ใหญ่ขนาดนี้ย่อมมั่นคงกว่าร้านอาหารเล็กๆ
“ลาออกงั้นเหรอ ซ่งเชฟ นายคิดดีแล้วจริงๆ ใช่ไหม ข้าวผัดจักรพรรดิเป็นที่นิยมมากตอนนี้ จริงๆ แล้ว…ถ้านายออกจากต้าสือไต้ อาจจะไม่มีผลลัพธ์แบบนี้แล้วก็ได้” หลัวลี่ลี่พูด
“เหอะๆ ขอบคุณที่ช่วยคิดเผื่อฉัน แต่ฉันลาออกแล้ว”
“งั้นเหรอ แล้วทำไมไม่ขอขึ้นเงินเดือนกับเถ้าแก่ล่ะ ที่จริงนี่ก็เป็นการสูญเสียของต้าสือไต้เหมือนกัน เฮ้อ…ว่าแต่เชฟซ่ง นายจะไปทำงานที่ไหนล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนมองซ้ายขวาแล้วพูดข้างหูหลัวลี่ลี่ “เขตเฉิงตง เธอลองพิจารณาดูนะ เทียนซั่วก็อยู่ด้วย”
หลัวลี่ลี่ได้ยินก็เหลือบมองซางเทียนซั่วแวบหนึ่ง “หึ ถ้าให้ไปปะทะกับเขาฉันไม่ไปหรอก แต่ถ้าไปหาเชฟซ่งก็ไม่เลวนะ ฮ่าๆ”
ขณะที่กำลังคุยกัน โจวเผิงก็รีบเดินลุกลี้ลุกลนมาที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ “ซ่งจื่อเซวียน เกิดอะไรขึ้นกับนาย เบิ่งตาของนายดูซะว่ามีคนรอข้าวผัดอยู่กี่คน นายยังมายืนคุยบ้าคุยบออะไรอยู่ตรงนี้?! ไม่อยากทำแล้วหรือไง!”
ซ่งจื่อเซวียนยักไหล่และหัวเราะเบาๆ จากนั้นผละออกจากเคาน์เตอร์ต้อนรับแล้วเดินไปด้านหน้าโจวเผิง
ทั้งสองยืนมองหน้ากัน ขณะสี่ตาประสานกัน โจวเผิงยังสะดุ้งเล็กน้อย “นาย…จะทำบ้าอะไร”
“ไม่มีอะไร โจวเผิง เบิ่งตาของนายไว้ซะ แล้วดูว่าฉันจะเดินออกไปยังไง ส่วนข้าวผัด…นายก็ไปผัดเอง!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินโทงๆ ออกจากต้าสือไต้ไป
“แก…กลับมาเดี๋ยวนี้ ข้าวผัดล่ะจะทำยังไง!”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจอะไรแล้ว ที่จริงเขาคิดจะผัดข้าวผัดยี่สิบที่นี้ก่อนออกไป แต่พอเข้ามาเห็นโจวเผิงทำท่าทางเป็นเด็กน้อยงอแง เขาจึงเปลี่ยนใจ ลาออกแล้ว ฉันจะต้องสนทำไมว่านายจะทำอะไรยังไง!
“ท่าทางอะไรของแกเนี่ย เหมือนไม่อยากเสวนาแล้ว ฉันจะบอกเถ้าแก่แน่นอน คราวนี้ถ้าฉันไม่ได้ไล่แกออก ฉันก็ไม่ใช่คนแซ่โจวแล้ว!”
โจวเผิงตะโกนด้วยความโกรธ เกือบทุกคนในห้องโถงได้ยินเขาหมด
หลัวลี่ลี่กำลังคำนวณบัญชีก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้จัดการโจวคะ ฉันคิดว่าครั้งนี้คุณพูดมีเหตุมีผล แต่ว่าเขาไม่มีวันถูกไล่ออกและอาจจะออกไปด้วยตัวเองด้วยซ้ำ”
“เธอหมายความว่าไง” โจวเผิงขมวดคิ้ว
“คนเขาลาออกแล้ว คุณจะทำอะไรได้อีกคะ” หลัวลี่ลี่กลอกตามองเขา
“ลาออกเหรอ งั้นก็ทำข้าวผัดยี่สิบที่ก่อนแล้วค่อยไปสิ ทำไมไม่มีความรับผิดชอบเลยสักนิดเนี่ย” พูดจบ โจวเผิงก็เดินตรงเข้าไปในครัวทันที
“เจิ้งฮุย จะบอกนายให้นะ ทำข้าวผัดจักรพรรดิให้ฉันยี่สิบที่เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นพวกนายทุกคนก็ไม่ต้องทำงานกันให้หมด!”
โจวเผิงก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาจึงเอาความโกรธไปลงที่ครัวด้านหลังแทน
…………………………………………..