เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 105 ซุปยาหม้อหนึ่ง
ตอนที่ 105 ซุปยาหม้อหนึ่ง
เหมือนกับวันก่อน ประมาณสิบเอ็ดโมง ซ่งจื่อเซวียนก็เลิกงานได้แล้ว
เรื่องนี้สำหรับพ่อครัวคนอื่นๆ แล้วเป็นความฝันมาโดยตลอด ทำงานชั่วโมงครึ่งทุกวัน ได้เงินเดือนแสนกว่า แต่สำหรับซ่งจื่อเซวียนแล้วกลับเป็นเรื่องปกติอยู่บ้าง
ทำข้าวผัดที่สุดท้ายเสร็จ ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดเหงื่อ นี่เป็นพฤติกรรมที่ซ่งจื่อเซวียนทำอยู่หลังจากเสร็จงานแล้ว
ส่วนประกอบของข้าวผัดดูเหมือนง่าย แต่เผาผลาญพลังมาก อย่างไรการทำข้าวผัดจักรพรรดิไม่ใช่แค่การผัดข้าวเท่านั้น แต่เป็นการใช้กำลังภายใน
“อาจารย์ วันนี้พวกเราไปไหนกันล่ะ” ซางเทียนซั่วถามอย่างสนใจ
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด เดินเข้าไปกระซิบกระซาบกับซางเทียนซั่ว
“อะไรนะ ต้องทำพวกนี้ไปทำไมกัน พวกเราไม่ต้องใช้สักหน่อย”
“ไม่ต้องถามมากหรอก ฉันบอกให้นายเตรียมนายก็เตรียม ไปเอามาสิ”
ซางเทียนซั่วพยักหน้า เดินไปที่ตู้เย็น ไม่นานนัก ก็หยิบวัตถุดิบออกมาหลายอย่าง
ขณะจะรวบรวมไปให้ซ่งจื่อเซวียน เจิ้งฮุยก็เห็นเข้าจึงเอ่ยว่า “ทำอะไรน่ะ เอาของเยอะแยะขนาดนี้ไปทำอะไร”
ในมือซางเทียนซั่วถือเนื้อสันในจำนวนหนึ่ง ปลิงทะเลที่ยังไม่ได้เปิดกล่องสองสามกล่อง ไข่ไก่ และที่สำคัญที่สุดยังมีแฮมทั้งชิ้นเต็มๆ ขณะที่เห็นเจิ้งฮุยถาม ก็เดินไปหาซ่งจื่อเซวียนโดยไม่แม้แต่จะสนใจ
เจิ้งฮุยโมโหในใจ ต่อให้พวกนายจะเจ๋งแต่อย่าไม่เห็นหัวใครขนาดนี้ก็ได้มั้ง ดีร้ายยังไงฉันก็เป็นหัวหน้าเชฟนะ!
ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้ซ่งจื่อเซวียนก็พูดว่า “เชฟซ่ง นี่นาย…”
“แหะๆ ช่วงนี้ทำแต่ข้าวผัดอย่างเดียว จะลองฝึกทำกับข้าวสักสองอย่างดูน่ะ”
เจิ้งฮุยได้ยินก็มองวัตถุดิบเหล่านั้น พูดว่า “ก็ไม่น่าจะใช้เยอะขนาดนี้หรือเปล่า”
ถึงอย่างไรหัวหน้าเชฟก็ยังดูแลการจัดซื้อ พวกเนื้อสันใน ไข่ไก่ยังพอว่า แต่ปลิงทะเลสองสามกล่องกับแฮมทั้งก้อนนั่นราคาไม่ได้น้อยเลยจริงๆ ใช้ขนาดนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ขอโทษด้วยนะครับหัวหน้าเชฟ เขาไม่รู้เรื่องเลยหยิบมาเยอะไป”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินเข้าไปจดจ้องซางเทียนซั่ว พูดกดเสียงต่ำ “ทำไมนายถึงหยิบมาเยอะขนาดนี้ บ้าไปแล้วรึไง!”
“ผมไม่รู้ว่าอาจารย์จะใช้เท่าไร เลยเอามาหมด ไม่เป็นไรหรอก อาจารย์หั่นเสร็จแล้วเดี๋ยวผมเอาไปเก็บ จริงสิ อาจารย์ ไม่มีหูฉลามนะ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ตอนนี้รัฐบาลงดให้จับปลาฉลาม และไม่แนะนำให้บริโภคปลาฉลาม โดยเฉพาะทางตอนเหนือของจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่ได้มีความต้องการหูฉลามมากเท่าทางตอนใต้
“เอาวุ้นเส้นมาให้หน่อยสักถุง คราวหน้าค่อยคิดหาวิธี”
“ได้!”
ซั่วเทียนซั่วเอาของทิ้งไว้บนเขียง ไม่แม้แต่จะมองเจิ้งฮุย เดินไปที่ตู้เย็น
เจิ้งฮุยหงุดหงิด คนที่ไม่สนใจเขาเกรงว่าจะมีแค่ซางเทียนซั่วคนเดียวในต้าสือไต้ อ้อ ไม่สิ ยังมีฟางรุ่ยคนที่มาใหม่นั่นด้วย
ปกติคนคนนั้นก็เย็นชา ไม่พูดไม่จา ไม่โหวกเหวกโวยวายเหมือนเป็นคนใบ้ แต่มีจุดหนึ่งที่เจิ้งฮุยมั่นใจก็คือมองจากสายตาของเขาออก เขาไม่แม้แต่จะสนใจคนอื่นๆ เลยนอกจากซ่งจื่อเซวียน ซึ่งรวมถึงหัวหน้าเชฟเจิ้งฮุยคนนี้ด้วย
แต่มีจุดหนึ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้น นั่นก็คือนับตั้งแต่ต้าสือไต้เปิดกิจการ ซ่งจื่อเซวียนยังไม่เคยทำอาหารอื่นนอกจากข้าวผัดจักรพรรดิมาก่อน เขาอยากจะดูเสียจริงว่าคนคนนี้ยังทำอาหารอะไรได้อีก
เจิ้งฮุยมองดูวัตถุดิบพวกนั้น กลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เนื้อสันใน แฮม ปลิงทะเล…แล้วก็ไข่เรอะ
อย่างน้อยนับตั้งแต่เขาเรียนทำอาหารมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเห็นการผสมผสานวัตถุดิบใดๆ แบบนี้มาก่อน…
“เหอะๆ เชฟซ่ง นี่นาย…จะทำอาหารอะไรเหรอ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายจึงยิ้มบางๆ “คุณลองเดาดูไหมครับ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนเดินออกไปจากครัวด้านหลัง ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยก็เดินตามออกไปเช่นกัน ทิ้งให้เจิ้งฮุยเมียงมองวัตถุดิบพวกนั้นอยู่
“ผัดเนื้อสันใน ย่างปลิงทะเล ไม่สิ ไข่กับแฮมก็ไม่ได้เข้าพวกกันเลย…”
ซ่งจื่อเซวียนเดินออกไปจากต้าสือไต้แล้วมองซ้ายมองขวา เปิดแอปพลิเคชันแผนที่ในโทรศัพท์ทันที เห็นดังนั้นซางเทียนซั่วก็ยิ้ม “ใช้ได้นี่อาจารย์ ใช้แผนที่เป็นแล้วเหรอ”
“เหอะๆ พี่ฉันสอนน่ะสิ หาร้านยาสักร้าน ไปกันเถอะ!”
“หา? อาจารย์ป่วยเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้สนใจ สาวเท้าเดินไป ร้านยาที่ใกล้ที่สุดแค่เจ็ดร้อยกว่าเมตร จึงเลือกเดินไปเลย
เดินเข้าไปในร้านยา ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มซื้อยาจีนตามที่น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายต้องใช้ เขาพบว่าราคาของยาจีนสูงกว่าที่ตนเองจินตนาการไว้มาก กระทั่งแพงกว่าเนื้อและอาหารทะเลอยู่บ้างด้วยซ้ำ
อึ่งคี้ห้าร้อยกรัมประมาณสี่สิบหยวน ตังเซียมเกือบสี่สิบหยวนเช่นกัน ซานชีก็หลักร้อย โสมถึงสองร้อยหยวนขึ้นไป ราคาของเขากวางอ่อนก็ยิ่งไม่มีข้อโต้แย้ง สองร้อยกรัมก็ประมาณสามร้อยหยวนแล้ว
ราคาพวกนี้คือซ่งจื่อเซวียนเลือกซื้อสินค้าที่คุณภาพต่ำลงมาหน่อย อย่างไรวัตถุดิบเสริมก็ไม่จำเป็นต้องเป็นของชั้นยอด
ซ่งจื่อเซวียนซื้อของแต่ละอย่างมาแค่ประมาณสองสามส่วนสำหรับทำห้าที่ มีแค่โสมที่ซื้อมาเยอะหน่อย อย่างไรเบสน้ำซุปของน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายต้องมีโสมทั้งท่อน จำนวนที่ใช้ก็ค่อนข้างเยอะ
“ราคาที่รวมต้นทุนของวัตถุดิบ น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายเลยแพงกว่าข้าวผัดจักรพรรดิจริงๆ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพึมพำ
“น้ำแกงอะไร อาจารย์พูดอะไรน่ะ”
“ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ คืนนี้หลังจากเลิกงานที่ต้าสือไต้ พวกเราอยู่ต่อสักหน่อยเถอะ ฉันอยากลองทำอาหารดูน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ซางเทียนซั่วก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “นี่คือเมนูที่สองที่อาจารย์พูดถึงใช่ไหม มียาจีนด้วย เจ๋งฉิบหาย!”
หลังจากนั้นพวกซ่งจื่อเซวียนจึงกลับบ้านกันก่อน เขาไม่คิดจะทำน้ำแกงห้าสายต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น
จนกระทั่งประมาณสี่ทุ่ม ซ่งจื่อเซวียนประเมินว่าต้าสือไต้ใกล้จะปิดร้านแล้ว ถึงได้เรียกรถย้อนกลับไปกับซางเทียนซั่วและฟางรุ่ย
ครัวด้านหลังต้าสือไต้เลิกงานตอนสามทุ่มครึ่ง หรือก็คือหลังจากสามทุ่มจะมีแค่พนักงานโถงด้านหน้ารับหน้าที่ทำความสะอาดและบริการลูกค้าที่ยังไม่กลับไป พ่อครัวทุกคนน่าจะออกจากร้านกันหมดแล้ว
เช่นนี้ซ่งจื่อเซวียนก็ทดลองทำอาหารได้แล้ว อย่างไรคนที่เขาควรหลบเลี่ยงก็คือเพื่อนร่วมสายอาชีพ ไม่ใช่ทุกคน
เมื่อถึงต้าสือไต้ ซ่งจื่อเซวียนก็พูดว่า “เทียนซั่ว นายอยู่ที่โถงด้านหน้าแล้วกันนะ ถ้ามีเชฟคนไหนกลับมา รีบมาบอกฉัน”
“หา? อาจารย์ ผมยังอยากดูอาจารย์ทำอาหารอยู่นะ ให้รุ่ยจื่อไปเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “นายไม่อยากคุยกับหลัวลี่ลี่เหรอ”
ซางเทียนซั่วสูดลมหายใจครุ่นคิด “อาจารย์ ผมคิดว่าภารกิจนี้เป็นเกียรติและยากลำบากมาก เกินกำลังของรุ่ยจื่อที่จะทำสำเร็จได้!”
พรืด…
จากนั้นก็เริ่มทำอาหารตามสูตร อย่างแรกนำเนื้อสันใน แฮม ปลิงทะเลและวุ้นเส้นไปลวกให้พอสุกตามลำดับ แน่นอนว่า หูฉลามที่เป็นวัตถุดิบในสูตรอาหารนั้นทำได้แค่ใช้วุ้นเส้นทดแทนไปก่อน
ขณะที่ใส่วัตถุดิบหลักลงไปในหม้อ ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบหม้อดินมาต้มยาจีน แต่การต้มยาจีนนี้ไม่ได้ใช้วิธีธรรมดา
ยาจีนและวัตถุดิบเดิมไม่ได้เป็นประเภทเดียวกัน แต่ยาจีนต้องต้มตามวัตถุดิบ ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญมากในการทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย ขณะที่ทำให้สรรพคุณทางยาอ่อนลงก็กำจัดรสชาติยาไปด้วย
แบบนี้ถึงจะรับประกันได้ว่าน้ำแกงจะไม่มีรสชาติของยาแม้แต่ส่วนเดียว แต่สรรพคุณที่ช่วยบำรุงกลับยังอยู่
โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวหรือผู้เฒ่าผู้แก่ ล้วนเกิดภาวะบกพร่องในร่างกายเนื่องจากความเหนื่อยล้าหรือโรคภัยไข้เจ็บ การบำรุงไม่ใช่แค่มุ่งเน้นไปที่คนแก่ คนทุพพลภาพ คนป่วย คนร่างกายอ่อนแออีกต่อไป แต่เป็นทุกคน
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนคิดว่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายจะโด่งดังยิ่งกว่าข้าวผัดจักรพรรดิ
เมื่อก่อนอยากจะกินอาหารเมนูนี้ หากไม่ใช่จักรพรรดิก็ต้องเป็นราชวงศ์หรือขุนนาง แต่ตอนนี้ ประชาชนสามารถกินได้กันทุกคน!
ปกติต้มยาใช้เวลาอย่างน้อยสิบกว่านาทีจนถึงสองสามชั่วโมง อีกทั้งต้องเปลี่ยนจากไฟแรงเป็นไฟอ่อน แต่น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไม่เหมือนกัน ต้องใช้ไฟแรงตลอดกรรมวิธี และต้มแค่สิบนาทีเท่านั้น
ไม่นานนัก ซ่งจื่อเซวียนก็เทซุปยาจีนออกมา จากนั้นดมกลิ่น ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ทำไมกลิ่นยาจีนถึงยังเข้มข้นขนาดนี้ล่ะ
ยาจีนพวกนี้ถ้าผสมเข้าไปในวัตถุดิบก็อาจจะทำให้กลิ่นยาเบาบางลงได้ คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยกหม้อขึ้น เริ่มผัดไข่
วิธีการทำไข่ก็คือนำไข่ไก่ตอกลงไปในกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ และอาศัยการเอียงกระทะทำให้ไข่ไก่แผ่ออกบางที่สุด แม้แก่นแท้จะดูเหมือนไข่เจียว แต่บางยิ่งกว่า
เมื่อไข่ไก่ใกล้สุกก็นำออกจากกระทะ ปล่อยให้ความอุ่นทำให้มันสุกทั้งหมด ทำแบบนี้เพื่อรับประกันว่าจะไม่เละแน่นอน
แผ่นไข่ทรงกลมถูกหั่นเป็นเส้นๆ อร่อยและไม่เสียความเหนียวนุ่มหนึบหนับ ไข่ฝอยก็ตระเตรียมเสร็จสรรพแล้ว
ถัดมาก็คือขั้นตอนสุดท้ายแล้ว วัตถุดิบ ยาจีน และเครื่องปรุงรสผสมรวมกันในซุป นำส่วนผสมสำคัญใส่ลงไปในน้ำซุป ทำให้น้ำซุปข้นและหอมกรุ่น หรือก็คือขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะกลายเป็นน้ำแกงถ้วยหนึ่ง
แต่ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนนำวัตถุดิบใส่ลงไปในหม้อก็ชะงักไปทันที!
ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกกว้าง แต่น่าเสียดาย…ชัดเจนว่าไม่ทันแล้ว
“หา? ไม่หิวครับ นายท่านรอง เมื่อกี้ตอนที่อยู่ที่บ้านย่าทวดให้หมั่นโถวผมมาหกลูก อิ่มแล้วล่ะครับ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็กลอกตาใส่เขา “ย่าทวด…ซางเทียนซั่วสอนนายใช่ไหมเนี่ย”
ฟางรุ่ยก้มหน้า พูดอย่างกระอักกระอ่วน “ครับ เขาบอกว่าถ้าผมไม่เรียกว่าย่าทวดจะไม่มีมารยาท แล้วจากนั้นจะคิดหาทางขับไสไล่ส่งผมไป”
“เยี่ยม จากนี้ไม่ต้องสนใจเขาอีก นายต้องเรียกแม่ฉันว่าน้า หรือป้าก็ได้ ย่าทวดอะไรไร้สาระ!”
“เข้าใจแล้วครับนายท่านรอง”
ซ่งจื่อเซวียนหันไปมองซุปในหม้อ เบ้ปากอย่างจนหนทาง “ผิดแน่ๆ ช่างเถอะ จัดการให้เรียบร้อยแล้วกัน”
ทำอาหารตามที่สูตรอาหารเขียนไว้ แต่กลับได้กลิ่นไม่น่ากินออกมา มิน่าปู่ถึงบอกว่าอาหารเมนูนี้ผิดแม้แต่ขั้นตอนเดียว รสชาติก็ทำให้รู้สึกขยะแขยงได้…
“นายท่านรอง ทำไมกลิ่นยาถึงแรงขนาดนี้”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ทำผิดน่ะสิ ต้มยาไปหม้อหนึ่งเลย ช่วยฉันเทหน่อยสิ”
เพิ่งพูดจบ โทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียนก็ดังขึ้น เป็นสายของหลินเทียนหนาน บอกว่ากลับมาจากปักกิ่งแล้ว ให้เขาไปที่เจอที่ตึกสำนักงานห้างจ้งอันได้เลย
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เก็บกวาดลวกๆ แล้วเรียกรถไปห้างจ้งอัน
ณ ชั้นเก้า ห้างสรรพสินค้าจ้งอัน
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซ่งจื่อเซวียนมาที่นี่ หลังจากที่ขัดแย้งกับหลี่เจียหาวคราวก่อน ก็มาที่นี่กับจ้าวจิ้งอวิ๋น แถมตอนนั้นยังบังเอิญเจอถังหย่าฉีด้วย
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ห้างปิดนานแล้ว ซุนโส่วเหวินรออยู่ที่หน้าประตู นำพวกเขาขึ้นไป
เข้าไปในห้องทำงานท่านประธาน ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกถึงการเอาใจใส่ หลินเทียนหนานไม่ได้อยู่ในห้องทำงาน แต่นั่งรออยู่บนโซฟา
บนโต๊ะชาด้านหน้ามีอาหารเล็กๆ น้อยๆ และไวน์แดงสองขวดวางอยู่ ซ่งจื่อเซวียนไม่เข้าใจเรื่องยี่ห้อของไวน์แดง แต่ประเมินได้ว่าน่าจะแพงมาก
“น้องซ่งมาแล้วเหรอ มาๆๆ มานั่งนี่ พวกเราคุยไปกินไปเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มเจื่อน นี่หลินเทียนหนานจะมาไม้ไหนอีก
……………………………………………………