เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 104 สนับสนุนซ่งจื่อเซวียนอย่างไม่มีเงื่อนไข
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 104 สนับสนุนซ่งจื่อเซวียนอย่างไม่มีเงื่อนไข
ตอนที่ 104 สนับสนุนซ่งจื่อเซวียนอย่างไม่มีเงื่อนไข
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้รีบร้อนเอ่ยปาก เขาไม่อยากเร่งหานหรง ถ้าแม่ไม่อยากพูด เขาก็จะไม่ถามอีก
ครู่หนึ่ง หานหรงก็ค่อยๆ นั่งลงที่ขอบเตียง เอ่ยว่า “เจ้ารอง ทำไมจู่ๆ แกนึกจะถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนมองหานหรงที่มีผมขาวแซมอยู่ในผมดำ ในใจก็ปวดแปลบ หานหรงดูแล้วแก่กว่าซ่งอวิ๋นฮั่นหลายปี อาจจะเพราะที่ผ่านมานี้ทำงานหนัก
แต่อาการป่วยของซ่งอวิ๋นฮั่นตอนนี้กลับปรากฏออกมาอย่างชัดเจน อันที่จริงสองสามปีมานี้ ชีวิตของทั้งสองไม่ดีเลย
คนสองคนที่รักกันแยกจากกัน ครอบครัวที่มีความสุขและอบอุ่นถูกทำให้ต้องแยกทางกัน จะมีใครที่ก้าวต่อไปได้ดีเล่า
“แม่ ลูกก็แค่จู่ๆ นึกขึ้นมาเฉยๆ แม่ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดหรอก” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
หานหรงยิ้มน้อยๆ พูดว่า “เป็นเรื่องในอดีตทั้งนั้น จะพูดไปก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันจำได้ว่าแกเคยถามตอนเด็กๆ แต่พี่สาวแกห้ามไว้ฉันเลยไม่พูด”
ซ่งจื่อเซวียนมองซ่งอีหนานที่นอนอยู่บนเตียงยิ้มๆ
นับตั้งแต่ที่ซ่งอีหนานกลับบ้าน เธอก็นอนบนเตียงกับแม่ ส่วนซ่งจื่อเซวียนนอนบนเตียงพับ ผ่านมาสิบกว่าปีขนาดนี้ เขาก็ชินแล้ว
“ที่จริงพ่อแก…ดีมากเลยนะ เวลาพูดจามักจะช้ามาก สุภาพมาก ตอนที่เราสองคนรู้จักกันเขาทำงานอยู่ที่ร้านอาหารตะวันตก ฉันก็คิดว่าคนสมัยนี้ส่วนใหญ่อารมณ์ฉุนเฉียวกันมาก แต่ทำไมเขาถึงอ่อนโยนได้ถึงขนาดนี้”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “แม่ก็เลยชอบเขาเหรอ”
หานหรงยิ้ม เกินคาดที่ขณะยิ้มนั้นแฝงกลิ่นอายสาวน้อยอยู่หลายส่วน ซ่งจื่อเซวียนเห็นรอยยิ้มของแม่ ไม่เพียงแค่พอใจ ความรู้สึกอยากจะร้องไห้ก็ปะทุขึ้นมาด้วยเช่นกัน
นานปีขนาดนี้ แม่ที่มีภาพลักษณ์สูงส่ง ปกป้องทั้งครอบครัว แต่สุดท้ายเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
เดิมเธอควรจะได้แอบอิงอยู่ในอกของซ่งอวิ๋นฮั่น มีผู้ชายของตนเองคอยบังลมกันฝนให้ แต่ตอนนี้เธอทำได้แค่เผยรอยยิ้มมีความสุขขนาดนี้ออกมาตอนที่นึกถึง
“เด็กอย่างแกนี่นะ พูดอย่างนี้กับแม่แกเหรอ ตอนนั้นพ่อแกก็หล่อ ที่จริงแกเหมือนเขามากนะ หน้าก็คมสวย บ้านแม่น่ะเป็นนักวิชาการ ปกติไม่ค่อยปล่อยให้ออกมาหรอก พ่อแกก็แอบไปหาฉัน”
หานหรงพยักหน้า “ตาของแกคัดค้านสุดโต่งเชียว แถมยังกำหนดเรื่องแต่งงานไว้แล้วด้วย แต่แม่มีคนรักอยู่ในใจอยู่แล้ว จะไปแต่งงานกับคนอื่นได้ยังไงกัน”
“ปีนี้ลูกสิบเก้า พี่สาวโตกว่าห้าปี หรือก็คือยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีก่อนน่ะสิ ตอนนั้นแม้แต่เสรีภาพในการแต่งงานก็ไม่มีงั้นเหรอ”
“ที่จริงก็มีเสรีภาพ แต่บ้านฉันมันแตกต่างไง หัวโบราณเกินไป ตาแกน่ะคิดว่าพ่อแกชนชั้นต่ำ แต่งเข้ามาพ่อแกจะต้องไม่มีความสุขแน่ๆ เพราะงั้นก็เลยแทรกแซงตลอดน่ะ” หานหรงพูด
“แต่งเข้า? พ่อเคยบอกเหรอว่าไม่เห็นด้วยน่ะ”
หานหรงยิ้ม “เราสองคนคบกันมานานขนาดนี้ ฉันจะไม่เข้าใจเขาได้ยังไง ตอนที่ตาแกเสนอให้แต่งเข้า แม้แต่จะพูดฉันยังไม่พูดกับพ่อแกเลย เขาจะได้ไม่เสียหน้า ผู้ชายนี่นะ เสียหน้าไม่ได้หรอก”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ลอบถอนหายใจ ตอนนั้นพ่อแม่ของตนรักกันขนาดนี้ คนที่มาแยกครอบครัวนี้ให้จากกัน…
สมควรตาย! คิดถึงคำว่าสมควรตายขึ้นมา ซ่งจื่อเซวียนก็ค่อยๆ หรี่ตาลง สายตาเยือกเย็นถึงขีดสุด
“หลังจากมีพี่ แล้วก็มีลูก บ้านเราชีวิตดีไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
หานหรงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เหมือนนึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “ตอนนั้นบ้านไม่ได้มีเงินอะไร เพราะเลี้ยงดูพวกแก แกก็เพิ่งเกิด แม่ก็ทำงานไม่ได้ พ่อแกเลยต้องทำงานใช้แรงหนักหาเงินอยู่คนเดียว บอกไม่ได้หรอกว่าดีหรือไม่ดี เพราะบ้านเราอบอุ่นมาก ถึงจะจนขนาดนั้น เวลาพ่อแกกลับบ้านก็ยังซื้อลูกอมมาให้พี่สาวแกบ่อยๆ”
ซ่งจื่อเซวียนนึกถึงภาพนั้นฉายวาบอยู่ตรงหน้าเขา ครอบครัวสี่คนแสนอบอุ่นเหลือเกิน
“แม่ ทำไมพ่อถึงจากไปล่ะ เป็นเพราะไม่ต้องการเราจริงๆ เหรอ หรือว่ามีเหตุผลอื่น”
หานหรงได้ยินก็มองซ่งอีหนานแวบหนึ่ง พูดว่า “แม่ไม่รู้ แต่พูดความจริง เจ้ารอง ฉันเชื่อว่าเขามีเรื่องลำบากใจแน่ เพราะพวกแกไม่มีทางเข้าใจว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบขนาดไหนกัน”
“แม่…” ซ่งจื่อเซวียนชำเลืองมองสำรวจอารมณ์ของแม่ “เดาออกไหมครับว่าเพราะอะไร”
หานหรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“เพราะพวกคุณตาหรือเปล่า” ซ่งจื่อเซวียนใช้โอกาสนี้พูดเสริม
“ฉันไม่รู้ ตอนนั้นฉันก็คิดแบบนี้ แต่หลังจากนั้นที่พวกเขามาหาฉัน ฉันก็ไม่ได้ถาม”
“เพราะแม่รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงได้เกลียดพวกเขา หรือก็คือไม่ยอมพูดคุยกับพวกเขาอีกถูกไหมครับ”
“เจ้ารอง ฉันเป็นแม่แกนะ แกจะถามฉันด้วยท่าทางแบบนี้ไม่ได้แกรู้ไหม” หน้าหานหรงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“แม่ ลูกไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ก็ถามเฉยๆ แม่อย่าเก็บไปใส่ใจเลย ไม่ต้องกังวล ลูกผิดเอง” ซ่งจื่อเซวียนรีบปลอบแม่
หานหรงถอนหายใจ เผยรอยยิ้มออกมา เธอลูบหัวซ่งจื่อเซวียน พูดอย่างอ่อนโยน “เจ้ารอง แกโตแล้ว แม่พูดเรื่องในใจกับแกก็สบายใจดี ว่าแล้วก็…อย่าเกลียดตาของแกเลยนะ เป็นผู้ชายมันไม่ง่าย”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็เหมือนกับมีแผ่นดินไหวในใจ เขาคิดมาตลอดว่าแม่ของตนเองยิ่งใหญ่มาก แต่บทสนทนาวันนี้ทำให้เขาเคารพอย่างถึงที่สุด แม่เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ยิ่งใหญ่มากกว่าที่ตนจินตนาการไว้เสียอีก
ตอนนี้เอง ขณะที่ทั้งสองมองไปทางซ่งอีหนาน ก็เห็นเพียงซ่งอีหนานขยับตัวเล็กน้อย เหมือนจะเก็บเสียงร้องไห้ไม่อยู่อีกแล้วจึงปล่อยพรั่งพรูออกมา
“ลูกสาว แกเป็นอะไรไป” หานหรงถามทันที
เห็นแค่ซ่งอีหนานกระโจนเข้าอ้อมอกของแม่กะทันหัน ร้องเสียงดัง “แม่…หนูไม่อยากเกลียดเขา แต่ความสุขของหนูอยู่ในช่วงเวลานั้นทั้งหมด ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว…”
น้ำตาหานหรงก็ร่วงผล็อยตาม ลูกสาวคือแก้วตาดวงใจ เห็นลูกสาวร้องไห้เสียใจขนาดนี้ แม่ที่ไหนจะทนได้กัน
เธอกอดซ่งอีหนานเหมือนกอดเด็กทารก พูดปนสะอึกสะอื้น “ลูกสาวคนดี เราหยุดร้องได้แล้วนะ มันผ่านไปหมดแล้ว ที่จริงแกก็รู้ว่าพ่อแกเป็นพ่อที่ดีใช่ไหม”
ซ่งอีหนานพยักหน้าอย่างแรง แต่เสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดกับพูดไม่ได้ศัพท์
แม่ลูกก็กอดกันอยู่อย่างนี้สักพัก ซ่งอีหนานถึงได้ผ่อนคลายลง
คุยกันอีกไม่รู้นานเท่าไร ซ่งอีหนานพิงอกแม่พลางเสพสุข สีหน้าเผยรอยยิ้มบางออกมา
ซ่งจื่อเซวียนพูด “แม่ บ้านนี้มีลูกอยู่ สักวันหนึ่ง ลูกจะไม่มีทางปล่อยให้แม่กับพี่โดนลมโดนฝนอีก”
หานหรงยิ้มทั้งน้ำตา “เด็กโง่ แม่รู้อยู่แล้ว มีพวกแกสองคน แม่ก็พอใจแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างแรง “แม่ ไหนๆ พี่ก็ตื่นแล้ว พวกเรานอนดึกกันหน่อยเถอะ ดื่มสักหน่อย!”
“ดื่มอะไร กี่โมงกี่ยามแล้ว เด็กอย่างแกนี่ช่วงนี้ดื้อขนาดนี้เชียวเหรอ” หานหรงเลิกคิ้วพูด
“ยังจะสั่งอาหารอีกเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนผงะ เห็นได้ชัดว่ายังไม่รู้จักการใช้ของสิ่งนี้
“ถ้าไม่อย่างนั้นจะทำยังไงล่ะ ออกไปซื้อของเหรอ แกนี่บ้านนอกเป็นบ้า เอาล่ะ แกไม่ต้องแล้ว ฉันเลี้ยงเอง!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรอีก
คืนนั้น ครอบครัวสามคนนับว่ามีความสุขกันมาก ซ่งจื่อเซวียนยังบอกกับซ่งอีหนานด้วยว่าตนเองซื้อโทรศัพท์มาใหม่ ส่วนซ่งอีหนานก็สอนเขาจ่ายเงิน เรียกรถและสั่งอาหาร
แต่ซ่งจื่อเซวียนมีร่องลึกอยู่ในใจตลอด นั่นก็คือขณะที่พวกเขาอบอุ่นกันเช่นนี้ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็ยังอยู่ในโรงแรมนั่นคนเดียว โดดเดียวและโรคร้ายรุมเร้า
……
วันถัดมา ซ่งอีหนานยังหลับอยู่ ส่วนซ่งจื่อเซวียนตื่นแล้ว ถึงแม้จะต้องออกจากต้าสือไต้ แต่จู่ๆ จะออกก็ย่อมไม่เหมาะสม เขาคิดว่าสองสามวันนี้จะหาโอกาสพูดกับหลินเทียนหนานให้ชัดเจน
แต่หานหรงยังเคยชินกับนิสัยตื่นเช้า ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนออกจากบ้าน เธอก็เอาอาหารเช้าร้อนๆ สองชุดมาด้วย ส่วนที่ว่าสองชุด…แน่นอนว่าเอาชุดหนึ่งให้ฟางรุ่ย
นับตั้งแต่ติดตามซ่งจื่อเซวียน ฟางรุ่ยมักจะได้กินอาหารร้อนๆที่บ้าน แถมยังได้ร่ำสุราพูดคุยกับพวกพ้องด้วย อาศัยแค่จุดนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่าตอนที่อยู่ใต้อาณัติของเคอหงเทามาก
ขณะที่กำลังกินหมั่นโถวสอดไส้เนื้อ ทั้งสองก็นั่งรถโดยสารมาถึงต้าสือไต้แล้ว เวลามาถึงที่นี่ก็จะมีคนต่อแถวเต็มไปหมดทุกวันจนพวกเขาชินแล้ว ก็คาดเดาได้ว่าวันนี้จะเลิกงานช่วงก่อนเที่ยงอีกแน่
เตรียมการง่ายๆ เรียบร้อย ซ่งจื่อเซวียนก็โทรหาหลินเทียนหนาน เหตุผลที่ไม่โทรหาซุนโส่วเหวิน เพราะเขาคิดว่าเรื่องนี้ยังต้องพูดคุยกันต่อหน้าหลินเทียนหนาน
“น้องซ่ง เหอะๆ ช่วงนี้ยุ่งมากล่ะสิ”
“พอได้ครับ เทียบกับท่านประธานหลินไม่ได้หรอก เอ่อ…ผมอยากนัดเจอคุณสักหน่อย คุณพอจะมีเวลาไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“เจอกัน…ได้สิ ไม่มีปัญหา แต่เดี๋ยวฉันจะต้องไปปักกิ่งแล้วน่ะสิ นายว่าคืนนี้ได้ไหม”
“ได้ครับ”
“เยี่ยม ถ้าฉันกลับมาแล้วจะติดต่อไปทันที!”
ได้ยินดังนั้น หลินเทียนหนานก็ชำเลืองมองซุนโส่วเหวิน “ยังไง เป็นใคร”
“ครับ!”
ในห้องหนังสือ หลังจากหลินเทียนหนานวางสายก็เผยใบหน้าตื่นเต้นออกมา “เหอะๆ ในที่สุดก็มาแล้ว ในที่สุดก็มาแล้ว!”
“มาแล้วอะไรเหรอครับ ท่านประธาน” ซุนโส่วเหวินถาม
“ใช่ ในที่สุดซ่งจื่อเซวียนมาหาฉันแล้ว เด็กคนนี้ข่มอารมณ์ได้ดีจริงๆ โส่วเหวิน ดูท่าที่จู่ๆ ฉันตัดสินใจเพิ่มเงินเดือนให้จะถูกต้องแล้ว เหอะๆ สุดท้ายก็ต้องให้อาหารถึงจะแลกเปลี่ยนกันได้” หลินเทียนหนานพูดด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้…ท่านประธานรู้จุดประสงค์ที่คุณซ่งจะมาหาเหรอครับ”
“จุดประสงค์เหรอ ตามที่ฉันวิเคราะห์ความเป็นไปได้สองสามอย่าง อย่างแรกก็คือขอเพิ่มเงินเดือนอีก ยังไงคนหนุ่มสาวก็กระหายกันมากเป็นเรื่องปกติ แต่ฉันคิดว่าความเป็นไปได้ไม่มากเท่าไร ส่วนอย่างที่สองคือต้องการหุ้น”
“หุ้น?”
“ถูกต้อง ความกระหายของซ่งจื่อเซวียนมากกว่าคนหนุ่มสาวทั่วไปมาก เขาคงต้องการหุ้นของต้าสือไต้สิบถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่ฉันเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ฉันจะตอบตกลงเขา” หลินเทียนหนานพูด
“ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เหรอครับ ท่านประธาน นี่ไม่ใช่นิสัยของคุณเวลาทำธุรกิจเลยนะครับ”
“ฮ่าๆ โส่วเหวิน เรื่องนี้นายคิดผิดแล้ว ที่ผ่านมาฉันไม่ได้มองถึงกำไรตรงหน้าเลย นายคิดดูนะ ถึงจะให้หุ้นซ่งจื่อเซวียนไป ก็ถือว่าฉันได้กำไรแล้ว หลังจากนั้นก็เปิดร้านสาขาย่อยอีกสักสองสามร้าน ข้าวผัดจักรพรรดิก็ไม่ใช่แค่ตำนานของตู้เหมินแล้ว จัดจำหน่ายยี่สิบที่ไปทั่วประเทศ ตอนนั้นในสายตาของซ่งจื่อเซวียนก็คงจะเต็มไปด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่ต้องให้พวกเราพูดหรอก เดี๋ยวเขาก็สอนสูตรให้เชฟในร้านสาขาเอง”
ซุนโส่วเหวินพยักหน้า “เรื่องนี้ก็ไม่เลวเลย แต่ท่านประธานครับ คุณจะสร้างเศรษฐีสิบล้านได้คนหนึ่งเลยนะครับ”
“เรื่องนี้ปกติมาก คนมีความสามารถเท่านั้นถึงจะทำได้ ซ่งจื่อเซวียนมีความสามารถ และเหมาะสมกับสินทรัพย์นี้ จากมุมมองนี้ ฉันยินยอมที่จะผลักดันเขาสักตั้ง”
“จะไม่มีความเป็นไปได้อื่นเหรอครับท่านประธาน ผมได้ยินแว่วๆ ว่าบนดินมีคนตามหาซ่งจื่อเซวียนอีกแล้วครับ”
ได้ยินดังนั้น หลินเทียนหนานก็ชำเลืองมองซุนโส่วเหวิน “ยังไง เป็นใคร”
“หวงฟาครับ!”
“หวงฟา? ร้านโอชาอาหารน่ะเหรอ”
“ครับ ท่านประธาน พวกเรากับเขาเคยไปมาหาสู่กันมาก่อน”
หลินเทียนหนานพยักหน้า “คนคนนี้ไม่ง่ายเลย ในวงการอาหารมีตำแหน่งอยู่บ้าง แต่…โส่วเหวิน นายจำคราวก่อนได้ไหม”
“คุณหมายถึงที่ซ่งจื่อเซวียนขอความช่วยเหลือครั้งนั้นเหรอครับ”
“ใช่ หลินเทียนหนานอย่างฉันไม่มีทางผิดพลาดซ้ำสอง ครั้งนี้ฉันจะสนับสนุนซ่งจื่อเซวียนอย่างไม่มีเงื่อนไข ถึงจะเป็นหวงฟา ถ้ายินยอมพร้อมใจจะท้าทายกับจ้งอันล่ะก็ ฉันไม่สนใจหรอก!” หลินเทียนหนานพูดพลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาแน่วแน่เด็ดเดี่ยวถึงที่สุด
………………………………………