เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 103 เลือก
ตอนที่ 103 เลือก
ได้ฟังที่ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดแบบนี้ ในใจซ่งจื่อเซวียนก็ตุ้มๆ ต่อมๆ “ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป? เพราะคุณไล่ตามอาชีพในฝันของคุณเหรอ ตอนนั้นคงต้องเป็นโอกาสที่ไขว่คว้าได้ยากมาอยู่ตรงหน้าสินะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามมาก เหมือนกับกำลังเย้ยหยันซ่งอวิ๋นฮั่น คุณแสวงหาเงินทองและตำแหน่งหน้าที่ แล้วมันยังไงล่ะ สุดท้ายคุณก็แก่ตายคนเดียว
แต่ซ่งอวิ๋นฮั่นกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่เลย ตอนนั้นเป็นตอนที่ฉันขมขื่นที่สุด ยากจนที่สุดในชีวิต”
“ถ้าอย่างนั้นมันเพราะอะไรล่ะ อะไรที่ทำให้คุณยอมทิ้งครอบครัวแล้วไปไล่ตามกัน”
“เพราะว่า…ฉันอยากปกป้องพวกแก”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาทันที “ฮ่าๆๆ ปกป้องพวกผม คุณซ่ง คุณนี่ปกป้องพวกผมดีจริงๆ เลยนะ ให้แม่ผมที่เป็นผู้หญิงเลี้ยงเราสองพี่น้องคนเดียวจนโต ให้เด็กสองคนไม่มีพ่อตั้งแต่ยังเล็ก ผมล่ะขอบคุณความเมตตาที่ช่วยปกป้องแบบนี้ของคุณจริงๆ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ถอนหายใจ “ตอนที่ฉันมีความสุขที่สุด ลุงของแกก็หาฉันเจอ”
ได้ยินคำพูดนี้ ซ่งจื่อเซวียนหรี่ตาลงเล็กน้อย เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาไม่ได้ขัดซ่งอวิ๋นฮั่นอีก
“ตาของแกไม่ยอมรับเรื่องของพวกเรามาโดยตลอด ตอนที่พวกเราคบกันก็ขัดขวางอยู่บ่อยๆ มีหลายครั้งที่ดักพวกเราตามถนน พาตัวแม่แกไป หลังจากนั้นพวกเราเลยแต่งงานแล้วย้ายบ้านกัน หรือก็คือเพื่อไม่ให้ตาของแกหาเจอ แต่คิดไม่ถึงว่าในเวลาไม่กี่ปีก็ถูกตามเจออยู่ดี
ลุงแกที่หาฉันเจอพูดว่า ตาของแกจัดการเรื่องแต่งงานไว้ให้แม่แกตั้งนานแล้ว เป็นเพราะฉันถึงได้พังไม่เป็นท่า จะสั่งให้ฉันตีตัวออกห่างจากแม่แก แถมยังห้ามเสนอหน้าอยู่ในเมืองตู้เหมินอีก ไม่อย่างนั้นจะทำให้ฉันไม่ได้เจอลูกอีกตลอดไป
ตอนนั้นฉันโกรธมาก แต่ฉันไม่มีกำลังจะต่อต้านพวกเขา ฉันเลยถามพวกเขาว่าจะทำยังไง ลุงของแกบอกว่าจะเอาแกกับอีหนานไปทิ้งไว้ในที่ชนบท ทำให้ฉันกับหานหรงไม่ได้เจอพวกแกตลอดไป แถมยังจะพาหานหรงกลับไปขังที่บ้าน”
ได้ยินถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็กำหมัดแน่น สองตาเบิกกว้างร่างสั่นไปหมด “พวกเขาไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาเลยหรือไง แล้วทำไมคุณไม่แจ้งตำรวจล่ะ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นยิ้ม “จื่อเซวียน ตอนนี้แกย่างเขาไปในวงการผู้มีอิทธิพลแล้ว บางที…ความซับซ้อนของวงการนี้แกน่าจะรู้นะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร ในใจกลับยอมรับอย่างไม่มีข้อกังขา
ก็เหมือนกับที่เขาในตอนนี้เจอกับเรื่องบางเรื่อง ไม่ว่าจะเคอซานหรือเฉิงปา แม้กระทั่งเสี่ยหวงที่ไม่เคยพบไม่เคยเจอ แจ้งความแล้วจะมีประโยชน์อะไร
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเขามีความสัมพันธ์กับภาครัฐแล้วได้รับความคุ้มครองหรือไม่เลย อธิบายง่ายๆ คือเรื่องพวกนี้ไม่มีทางดำเนินคดีได้ ถ้าแจ้งความคงได้ถูกอีกฝ่ายล้างแค้นก่อน
“หลังจากนั้นล่ะ คุณก็เลยตีตัวออกห่างเหรอ”
“ตอนนั้นฉันยังเด็ก เพราะมันเกี่ยวข้องกับพวกแก ฉันก็ขี้ขลาดไม่กล้าขัดขืดพวกเขา คืนวันนั้นฉันเลยไม่ได้กลับบ้าน แต่มองแม่แกที่รอฉันอยู่ด้านในตลอดจากหน้าต่าง หัวใจฉันแตกสลายไปหมด…”
ฟังถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ถอนหายใจ จู่ๆ ในใจกลับรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้ชายตรงหน้าคนนี้อยู่บ้าง
ผู้ชาย ท้ายที่สุดก็จะมีสักวันที่ไม่มีทางเลือก คำพูดนี้ถูกต้องจริงๆ
พอมีคนเอาลูกมาข่มขู่ จะยังมีทางทำอะไรได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นอำนาจของอีกฝ่ายยังเหนือกว่ามาก
“คืนนั้นฉันซื้อตั๋ว นอนหลับที่สถานีรถไฟสักพักก็ไปที่ปักกิ่ง ปักกิ่งตอนนั้นโอกาสทางธุรกิจยังมีมาก ไม่เหมือนความอิ่มตัวตอนนี้ ในระยะเวลาสองปีฉันอดหลับอดนอนแทบจะทุกวัน กว่าจะได้รับเงินมาเล็กน้อย
ที่จริงตอนแรกสุดฉันคิดว่าฉันจะแก้แค้น แก้แค้นบ้านแม่แก แต่หลังจากนั้น…ก็ปล่อยไป”
“ทำไมล่ะ ยังแก้แค้นไม่ได้อีกเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“แก้แค้นแล้วมีประโยชน์อะไร จากมาสองปี แม่กับพี่สาวแกต้องเกลียดฉันแน่ๆ ต่อให้ฉันแก้แค้นไปก็ไม่มีทางชดเชยได้ ความคิดแบบนี้ทำให้ฉันขี้ขลาด ฉันไม่กล้าเผชิญหน้า ถึงขนาดหลังจากที่กลับมาพัฒนาตู้เหมิน ฉันก็ไม่เคยออกหน้า เพราะฉันไม่กล้า…”
ซ่งจื่อเซวียนนิ่งเงียบอยู่นาน ตอนแรกเขาไม่เข้าใจ เขาคิดว่าความแค้นแบบนี้ก็เหมือนกับการจับเมียฆ่าลูกชาย แต่พอฟังเหตุผลของพ่อ กลับคิดว่าบางทีเขาอาจจะไม่มีทางเข้าใจได้ เพราะเขาไม่มีลูก จึงไม่รู้สึกถึงความกลัวที่จะสูญเสีย
“ผมคิดว่าคุณน่าจะพูดเรื่องพวกนี้กับแม่ผมนะ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นส่ายหน้า “ไม่จำเป็นหรอก หานหรงกับอีหนานเป็นผู้หญิง ฉันไม่อยากให้ชีวิตของพวกเธอต้องแบกรับกับเรื่องพวกนี้อีก แต่แก…จื่อเซวียน แกไม่เหมือนพวกเธอ แกเป็นผู้ชาย เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของฉัน”
ประโยคนี้ก็ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกหวั่นไหวอย่างสิ้นเชิง ชีวิตของเขาไม่เคยมีแนวคิดแบบนี้มาก่อน แต่กลับปฏิเสธสายเลือดไม่ได้
“อาการป่วยของคุณเป็นยังไงบ้าง”
“แพทย์แผนตะวันตกเรียกว่าไตวาย แพทย์แผนจีน…น่าจะเป็นการป่วยระยะสุดท้ายแล้วมั้ง” ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดเรื่องอาการป่วยของตนเองอย่างไม่ยี่หระ เหมือนกับมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งนานแล้ว
“เอามือมาให้ผม”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางใช้สามนิ้วแตะไปที่ข้อมือของซ่งอวิ๋นฮั่น เขาไม่ใช่หมอ แต่ก็เรียนศาสตร์ต่างๆ กับชายชรามาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เว้นแม้แต่แพทย์แผนจีน
บางทีอาจจะไม่ถึงขนาดรักษาโรคได้อะไร แต่วินิจฉัยง่ายๆ หรือแม้แต่จ่ายยาเขาก็ทำได้อย่างง่ายดาย
แต่พอสัมผัสเส้นชีพจรของซ่งอวิ๋นฮั่น ใจเขาก็พลันปวดแปลบ ชีพจรเบาบางและเชื่องช้ามาก ถ้าไม่ได้เห็นซ่งอวิ๋นฮั่นกับตา เขาคงไม่เชื่อว่าคนที่มีชีพจรแบบนี้จะยังมานั่งพูดคุยกับตนได้
ตามสามัญสำนึก ซ่งอวิ๋นฮั่นตอนนี้น่าจะอยู่บนเตียงนอนถึงจะถูก
“ดีที่สุดคุณควรพักผ่อนให้มากๆ ทำกิจกรรมให้น้อย แล้วก็ลด…” ซ่งจื่อเซวียนเม้มปาก พูดว่า “ลดเรื่องตื่นเต้นหน่อย อย่างบทสนทนาของพวกเราวันนี้ ผมหวังว่าจะไม่มีอีกแล้ว”
ในใจซ่งอวิ๋นฮั่นกลับไม่ได้ปรากฏระลอกคลื่นใด เขายิ้ม “เพราะงั้น เรื่องบริษัทฉันก็ไม่ได้เข้าไปดูแลอีกแล้ว จื่อเซวียน พวกเราจะยังมาเจอกันอีกได้ไหม ต่อให้แค่เจอหน้าก็พอ ไม่ตื่นเต้นหรอก”
ซ่งจื่อเซวียนก้มหน้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้า “คุณพักผ่อนเถอะ อีกสองสามวันเดี๋ยวผมมาหาใหม่”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง ซ่งอวิ๋นฮั่นก็เดินปรี่มาส่งเขาออกไป
“คุณไม่ต้องมาส่งแล้ว ไปนอนพักผ่อนเถอะ อีกสองวันเดี๋ยวผมมาอีกรอบ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้ายิ้มบาง “ได้ ฉันจะรอแก เดี๋ยวฉันไปส่งแกหน้าประตู”
“แล้วก็…” จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็หยุด “ผมหวังว่าคุณจะมาเจอแม่ผมสักหน่อยนะ หลายปีมานี้ไม่ง่ายเลย เรื่องบางเรื่องเธอมีสิทธิ์ที่จะรู้”
ซ่งอวิ๋นฮั่นชะงักครู่หนึ่ง “ฉันจะลองคิดดู เดี๋ยวฉันให้เจิ้งอวี่ไปส่งแกนะ”
“แล้วเจอกัน”
เดินออกมาจากโรงแรม ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นเจิ้งอวี่เอารถมาจอดเบี้ยงหน้า หลังจากขึ้นรถ รถก็สตาร์ทแล้วขับออกไป
ซ่งจื่อเซวียนหันหน้ากลับไปมอง โรงแรมขนาดใหญ่ไม่รู้ว่ามีหน้าต่างของกี่ห้องต่อกี่ห้อง เขากลับเหมือนกำลังตั้งใจหาห้องห้องนั้นที่พ่ออยู่…
บนถนน ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไร นั่งขดตัวพิงเบาะรถด้านหลัง จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวอยู่บ้าง
“อาเจิ้ง เบาแอร์ให้หน่อยครับ”
“ครับ”
สายลมแผ่วเบาพัดมาที่ตนเอง ซ่งจื่อเซซียนถึงได้รู้ว่าที่หนาวนั้นไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจของเขาในตอนนี้…
“อาเจิ้ง คุณรู้จักเขามากี่ปีแล้วเหรอครับ”
“เหอะๆ น่าจะหลายปีแล้วล่ะ ตั้งแต่ที่ปักกิ่ง พวกเราทำงานในตลาดปลาด้วยกัน เริ่มแรกก็เป็นพนักงานตัวเล็กๆ กันนี่แหละ จากนั้นคุณซ่งก็คิดจะตั้งแผงของตัวเองขึ้นมา ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเชื่อใจเขาขนาดนั้น เอาเงินไปลงทุนกับเขาหมดเลย”
“หลังจากนั้นก็ทำสำเร็จเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถามอย่างสนใจ
“สำเร็จเหรอ เหอะๆ สองปีครึ่ง คุณซ่งก็เหมาไปครึ่งตลาด!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม “สุดยอดไปเลย แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ”
“หลังจากนั้นตลาดปักกิ่งก็ไม่ได้น่าทำขนาดนั้นแล้ว คนทั้งประเทศมากหน้าหลายตาเบียดเสียดกันเข้ามา คนพวกนั้นล้วนแต่ฉลาดกันหมด คุณซ่งเลยตัดสินใจกลับมาพัฒนาที่ตู้เหมิน ผมยังว่าอยู่เลย พวกเราสองฝ่ายทำธุรกิจร่วมกัน แต่คุณซ่งก็ใจแลกใจ ขายหุ้นที่มีทั้งหมดแล้วกลับมาเริ่มใหม่ที่ตู้เหมินแทน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “แบบนี้หมายความว่าคุณก็เป็นผู้ถือหุ้นของเขาน่ะสิ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ขนาดนั้นหรอก ที่ผมลงทุนไปทั้งหมดไม่กี่พันเอง ผู้ถือหุ้นอะไรกัน แต่ที่อยู่กับคุณซ่งมาตลอดคือเรื่องจริงนะ ได้ติดตามเขาผมก็สบายใจ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็คิดในใจ การจากไปของพ่อในตอนแรกอาจจะมีเหตุผลจริงๆ และยังทำให้ชีวิตของคนไม่น้อยมั่นคงขึ้นด้วย ส่วนครอบครัวตัวเองนั้น…คงจะหมดหนทางจริงๆ
แต่ประโยคนี้ของเจิ้งอวี่ก็ทำให้ซ่งจื่อเซวียนได้รู้บางอย่าง
ประสบการณ์แรกเริ่มของซ่งอวิ๋นฮั่นกับตนเองตอนนี้กลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
ตอนนี้เงินเดือนหนึ่งแสนหกหมื่นหยวนของทางต้าสือไต้ และร้านอาหารร่ำรวยก็ใกล้จะเปิดกิจการ ตนเองต้องสนับสนุนทั้งสองทางจริงๆ เหรอ
บางทีก็ควรเลือกแล้วจริงๆ ใจแลกใจ ถ้าตัดต้าสือไต้ไม่ได้ แล้วจะทุ่มแรงไปที่ร้านอาหารร่ำรวยได้อย่างไร
ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนตกลงกับเสี่ยเฉิงปาเรียบร้อยแล้วเรื่องส่วนแบ่งสามต่อเจ็ด เขาไม่สนใจที่แบ่งไปสามส่วน ถึงอย่างไรเสี่ยเฉิงปาก็ควักเงินทุน อีกทั้งยังส่งคนไปคุมตลาด แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนมาก่อความวุ่นวายแล้ว
ต้าสือไต้มีภูมิหลังให้พึ่งพิงจึงไม่มีใครกล้ามาก่อกวน ถ้าตนเองไม่มีการคุ้มครองแบบนั้นและไม่มีการช่วยเหลือของเสี่ยเฉิงปา ร้านนี้คงเปิดไม่ได้จริงๆ
คิดถึงตรงนี้ เขาก็สูดลมหายใจลึก วิธีการของเขาในตอนแรกถูกต้องแล้ว ใจแลกใจ ดูท่าควรจะเลือกออกจากต้าสือไต้เสียแล้ว!
กว่าจะกลับถึงบ้านก็พ้นเที่ยงคืนไปแล้ว แต่มองเห็นแสงไฟมาจากด้านใน ซ่งจื่อเซวียนก็รู้ว่าแม่ยังไม่ได้นอน เห็นได้ชัดว่ากำลังรอตนเองอยู่
อันที่จริงแล้วซ่งจื่อเซวียนหวังว่าแม่จะนอนแล้ว อย่างไรเรื่องคืนนี้ทำให้เขาที่เห็นแม่ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง พูดถึงเรื่องเหล่านั้นดี…หรือไม่พูดดีล่ะ
ตอนนี้หานหรงกำลังงีบอยู่ที่โต๊ะ เอามือขวายันหน้าไว้แล้วฟุบหลับ ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าประตูไป เธอถึงตื่นเต็มตา ลุกขึ้นถามว่า “ดึกขนาดนี้อีกแล้ว ไปทำอะไรมาล่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ ทำไมแม่ยังไม่นอนอีกล่ะ”
“แกไม่กลับมาฉันจะหลับลงได้ยังไง แกนี่ใช้ได้จริงๆ แถมกลิ่นเหล้าก็ฟุ้งขนาดนี้อีก ไปดื่มเหล้ามาเหรอ” หานหรงชถามอย่างเป็นห่วง
“ดื่มมานิดหน่อย กับพวกซางเทียนซั่วฟางรุ่ย จากนี้แม่อย่ามารอลูกเลย ตอนนี้ลูกมีเรื่องต้องทำเยอะ อาจจะกลับดึกสักหน่อย”
ได้ยินดังนั้น หานหรงก็เหลือบตามองเขา “โตแล้วไม่ต้องให้แม่มารอแล้วงั้นสิ ไม่รอแกกลับมาฉันก็นอนไม่หลับ แกหิวหรือเปล่า ถ้าหิวฉันจะอุ่นให้ ถ้าไม่หิวฉันจะเอาชาให้แกสักถ้วยแก้เมา ดูซิ กลิ่นเหล้าตัวแกแรงมากเลย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม กุมมือหานหรง “แม่ ลูกโตแล้วนะ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการแม่แล้ว แต่อยากให้แม่ได้พักผ่อน พอแม่ร่างกายแข็งแรงลูกถึงจะสบายใจไง”
หานหรงจ้องเขา แต่ก็ยังยิ้มออกมา “ไอ้นี่ ไปเรียนคำหวานๆ ขนาดนี้มาจากไหน ว่างนักก็เอาไปใช้กับแฟนนู่น ไม่ต้องมาใช้กับแม่”
“จะตอนไหนแม่ก็คือแม่ของลูกนะ ถ้าชีวิตนี้ลูกรักผู้หญิงได้คนเดียว นั่นก็ต้องเป็นแม่”
หานหรงมีความสุขจนดอกไม้บานในใจ เธอยกชามาวางไว้บนโต๊ะ “พอแล้ว ไม่ต้องมาพูดไร้สาระกับแม่เลย รีบดื่มเข้าไปสักหน่อย พรุ่งยังต้องตื่นเช้านะ”
“แม่ ลูกยังไม่ง่วง ไม่งั้นแม่เล่าเรื่องสมัยสาวๆ ของแม่ให้ลูกฟังหน่อยสิ เอ่อ…พ่อของลูกเป็นคนยังไงเหรอ”
คำพูดของซ่งจื่อเซวียนทำหานหรงชะงักค้างไป เธอยืนอยู่ข้างๆ สายตาจ้องมองไปด้านหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า…
…………………………………