เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 100 ร่วมงานกันด้วยดี
ตอนที่ 100 ร่วมงานกันด้วยดี
สู้ไปกับผมเถอะประโยคเดียวนี้ ทำเสี่ยเฉิงปาตกตะลึงไปยกใหญ่ ไม่ใช่แค่เสี่ยปาเท่านั้น ปฏิกิริยาของจางเปียวและเหลยจื่อที่อยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน
ในตู้เหมิน คนที่กล้าพูดประโยคนี้กับเสี่ยเฉิงปา เกรงว่าซ่งจื่อเซวียนจะเป็นคนแรก!
ถึงแม้เมื่อเทียบกับบุคคลอย่างเสี่ยหวง เสี่ยเฉิงปาก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน แต่ตอนนี้ในเขตเฉิงตง เกรงว่าคงหาใครที่กล้าพูดแบบนี้ไม่ได้สักคน
เสี่ยเฉิงปาสงสัยตัวเองว่าฟังผิดหรือเปล่า จึงเอ่ยว่า “น้องชาย แกพูดว่าอะไรนะ”
ซ่งจื่อเซวียนเชิดหน้าเล็กน้อย “ผมพูดว่าเสี่ยปา ต่อจากนี้ไปคุณสู้ไปกับผมเถอะ!”
เสี่ยปาตาแทบถลน ที่จริงเขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดนซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ เขาแทบจะระเบิดออกมาจริงๆ
แต่สติที่มีท้ายสุดทำให้เขาไม่ได้สบถด่าออกมา เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่สามารถรับได้ชั่วขณะ
ไอ้หนูนี่ต่อให้เก่งอย่างไรก็ยังเป็นเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กลับจะให้ตนไปจมปลักอยู่กับเขางั้นเหรอ
ประโยคเดียวที่ว่าสู้ไปกับผม อันที่จริงระดับได้ถูกจัดออกมาแล้ว นับจากนี้ไปเขาซ่งจื่อเซวียนก็คือพี่ใหญ่ เฉิงปาเป็นน้องเล็ก เดินตามพี่ใหญ่ จะกินดีอยู่ดี…
แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร ในสายตาของพวกเขา ซ่งจื่อเซวียนใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว ต่อให้เสี่ยเฉิงปาจะสู้ไปกับเขาก็ใช่ว่าจะไม่เหมาะสมอะไร
จางเปียวที่อยู่ข้างๆ มองบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนนี้ รีบพูดว่า “นายท่านรอง ที่นายพูดมา อะไรคือสู้ไปกับนาย เสี่ยปาของพวกเรามีตำแหน่งอะไรในเขตเฉิงตงนายไม่รู้เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา “ตอนนี้ยุคสมัยไหนแล้ว อะไรเรียกว่าตำแหน่ง ตำแหน่งแบ่งเป็นสองประเภท หนึ่งมีอำนาจ สองมีเงินเยอะพอ ผมอยากถามเสี่ยปาว่า คุณอยู่ฝั่งไหน”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจแล้ว เย็นนี้เสี่ยเคอซานมาพูดเรื่องไม่ดีกับตัวเองอย่างชัดเจน ตอนนี้ถ้าหากเขาไม่อยากไปขอความช่วยเหลือจากหลินเทียนหนาน ก็ต้องใช้ประโยชน์เสี่ยปาให้ดี เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลย
สำหรับคนอย่างเฉิงปา การพูดอ้อมค้อมเป็นเรื่องไร้สาระ พูดถึงผลประโยชน์ พูดอย่างมีเหตุผลถึงจะดีกว่า
โดนซ่งจื่อเซวียนถามเช่นนี้ เสี่ยเฉิงปาโกรธอยู่บ้างจริงๆ เอ่ยว่า “แกหมายความว่ายังไง อธิบายหน่อย ในมือของแกมีของที่เสี่ยหวงต้องการจริงไหม!”
เห็นเสี่ยปาถามแบบนี้ จางเปียวกับเหลยจื่อที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกกังวลแทนซ่งจื่อเซวียน อย่างไรที่นี่ก็คือเขตเฉิงตง และเป็นถิ่นของเสี่ยปา มาหาเรื่องเขาที่นี่เท่ากับรนหาที่ตายไม่ใช่เหรอ
เสี่ยเฉิงปาถึงแม้จะพูดว่าน้องชาย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนใต้ดิน เวลาหักหน้ากันจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“มีแล้วยังไง ไม่มีแล้วยังไง เสี่ยปา คุณพูดมาดีกว่า!”
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจเลย เสี่ยปาก็แอบรู้สึกโกรธ เขาพยักหน้าเบาๆ “ได้ อย่างนั้นพวกเราพูดกันตรงๆ เลยดีกว่า กับเสี่ยหวงฉันผิดใจไม่ได้จริงๆ น้องชาย ถ้าแกกับเสี่ยหวงเป็นศัตรูกัน เสี่ยปาเกรงว่าจะปกป้องแกไม่ได้!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ได้ครับ คำพูดของเสี่ยปาผมจะจดจำไว้ บางครั้ง…ต้าสือไต้ก็อาจจะน่าเชื่อถือว่า!”
เสี่ยปาได้ยินดังนั้นก็ถามว่า “ซ่งจื่อเซวียน แกหมายความว่ายังไง”
“ไม่มีอะไรครับ เถ้าแก่ของต้าสือไต้อยู่จ้งอันกรุ๊ป ต้นไม้ใหญ่แสนร่มรื่น ส่วนเสี่ยปาน่ะ…ผมประเมินคุณสูงไป!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไป เสี่ยเฉิงปาจึงรีบพูดว่า “น้องชาย แกก็รู้ ไม่ใช่เสี่ยปาไม่อยากช่วย แต่เรื่องนี้พัวพันมากเกินไป เสี่ยหวงเป็นคนที่หาเรื่องไม่ได้จริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนหันมายิ้ม “ถ้าเสี่ยปามีเงินมีอำนาจ จะยังต้องกลัวเสี่ยหวงทำไมครับ ผมสามารถทำให้ทรัพย์สินของเสี่ยปามีเยอะกว่าเสี่ยหวงได้ แต่ถ้าเสี่ยปาไม่เชื่อผม ผมก็คงช่วยอะไรไม่ได้!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางจะผลักประตูออกไป ซางเทียนซั่ว ฟางรุ่ยก็เดินตามหลังติดๆ แต่เสี่ยปากลับลุกขึ้นเอ่ยว่า“เดี๋ยวก่อน น้องชาย แกว่าอะไรนะ”
ซ่งจื่อเซวียนหยุดเดิน มุมปากยกเป็นมุมโค้งขึ้นด้วยความมั่นใจ
“ทรัพย์สิน…เยอะกว่าเสี่ยหวงงั้นเหรอ น้องชาย แกพูดโม้เกินไปหรือเปล่า แกรู้เหรอว่าทรัพย์สินของเสี่ยหวงมีเท่าไร ขนาดท่านเป้ยเล่อแห่งปักกิ่งงก็ยังต้องไว้หน้าเขาเลย!” เสี่ยปากล่าว
“ฮ่าๆๆๆ ผมซ่งจื่อเซวียนอาจจะมองอะไรไม่ลึกซึ้งเท่าไร รู้แต่ว่ามีเงินก็คือเสี่ย ถ้าคุณมีอยู่หลายสิบล้าน อย่างนั้นท่านเป้ยเล่อก็จะให้ความสำคัญกับคุณเหมือนกัน!”
ประโยคนี้โดนใจของเสี่ยเฉิงปาอย่างไม่ต้องสงสัย เขาใช้ชีวิตอยู่ที่ตู้เหมินมาทั้งชีวิต ถูกเรียกว่าเสี่ย แลกมาจากการตีรันฟันแทงตอนเป็นหนุ่ม
แต่ตอนนี้อายุมากแล้ว ยังไม่เคยประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเสียที ถ้าหากสามารถเจริญรุ่งเรืองขึ้นเพราะซ่งจื่อเซวียน ก็ถือว่าไม่ผิดต่อชีวิตที่ผ่านมาแล้ว
และความคิดของซ่งจื่อเซวียนก็เหมือนกัน ที่เขามองเห็นคือท่าทางยากจนของเสี่ยปา อีกทั้งโดยปกติถูกเรียกว่าเสี่ยปาก็ถือว่ามีหน้ามีตามานานแล้ว ดังนั้นคนที่ขาดแคลนเงินมากที่สุดคือเฉิงปาคนนี้
และที่เฉิงปาต้องการเงินไม่ใช่เพราะอยากใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่เพื่อให้เหมาะสมกับคำว่าเสี่ย พูดตรงๆ ก็คืออยากอวดเท่านั้นเอง
“น้องชาย ที่แกพูด..จริงเหรอ ข้าวผัดจักรพรรดิสามารถกลายเป็นทรัพย์สินแบบนั้นได้ด้วยเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มเล็กน้อย “ถ้าคุณปล่อยคำว่าเสี่ยไปไม่ได้ ผมซ่งจื่อเซวียนก็ทำให้ไม่ได้ แต่ถ้าหากคุณไม่สน ผมสามารถทำให้คุณกลายเป็นคนแถวหน้าในวงการอาหารของตู้เหมินได้!”
นี่มันน่าดึงดูดใจเกินไปจริงๆ เฉิงปาไม่เคยนึกถึงตำแหน่งนั้นเลย ควรทราบไว้ว่าตอนนี้ผู้นำวงการอาหารในตู้เหมินก็คือเสี่ยหวง
สักวันหนึ่งถ้าหากเฉิงปาได้นั่งตำแหน่งนั้นบ้าง คาดว่าถึงเป็นความฝันตื่นมาก็ยังอารมณ์ดีอยู่
“น้องชาย เมื่อกี้พี่ชายไม่ดีเอง นั่งลงแล้วคุยกันเถอะ!”
ซ่งจื่อเซวียนเริ่มโล่งใจ หมุนตัวแล้วนั่งลง “เสี่ยปา ความหมายของผมง่ายมาก ผมจะไม่ทำข้าวผัดจักรพรรดิเพิ่มให้ใครทั้งสิ้น แต่จะมีคนหนึ่งเป็นข้อยกเว้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสี่ยเฉิงปาก็ถามด้วยใบหน้าสงสัย “คือ…ฉันงั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่อย่างหมดความอดทน เอ่ยว่า “เสี่ยปา คือตัวผมเองต่างหาก ซ่งจื่อเซวียน!”
ได้ยินประโยคนี้ ซางเทียนซั่วก็เกือบหลุดขำออกมา เสี่ยเฉิงปาคนนี้สมองมีปัญหาเหรอ คนเขาจะยอมทำเพื่อนายเหรอ ดูจากอะไรกัน เพราะนายหัวล้านงั้นเหรอ
เสี่ยเฉิงปาก็อายขึ้นมาทันที เขากำหมัดวางตรงริมฝีปากแล้วกระแอมเบาๆ สองที “แค่กๆ…อืม แกพูดต่อเลย”
“ข้าวผัดจักรพรรดิมีขายได้ตลอดจัดการง่ายมาก ขอแค่มีข้าวกับไข่ไก่เพียงพอ พวกเราก็รู้กันหมดว่าร้านอาหารทุกร้านสามารถทำได้”
“ถูกแล้ว!” เสี่ยเฉิงปากล่าว
“แต่อาหารใดๆ ก็ตามหากมีไม่จำกัด มูลค่าก็ย่อมลดลงเป็นธรรมดา ราคาก็จะถูกลงตามไปด้วย”
เสี่ยเฉิงปาพยักหน้า “เหตุผลนี้นี่เอง เพราะงั้นแกอยากจำกัดปริมาณงั้นเหรอ แล้วพวกเราจะรวยเมื่อไรล่ะ”
“ฮ่าๆๆ เสี่ยปาลองคิดดู กำไรสุทธิรายเดือนของข้าวผัดจักรพรรดิเกือบๆ ห้าแสนสี่หมื่นหยวนเลยนะ”
“ต่อให้แกยินดีแบ่งกับฉันครึ่งหนึ่ง ฉันก็ได้แค่สองแสนเจ็ดหมื่นหยวนเท่านั้น รายได้สามล้านต่อปีดูเหมือนไม่น้อย แต่ถ้าต้องผิดใจกับเสี่ยหวง…น้องชาย มันไม่คุ้ม” เสี่ยเฉิงปากล่าว
“เสี่ยปาคิดมากไปแล้วครับ ไม่คุ้มสำหรับผมเลย ผมจะไม่ให้คุณห้าสิบเปอร์เซ็นต์ครับ”
“แก…” เสี่ยเฉิงปามีน้ำโหเล็กน้อย ข้าอุตส่าห์นั่งคุยกับแกดีๆ แต่แกแม่งเอาข้ามาล้อเล่นเนี่ยนะ “แกหมายความว่ายังไง”
เห็นท่าทางของเสี่ยเฉิงปา ซ่งจื่อเซวียนกลับรู้สึกว่าน่ารักทีเดียว เขาจึงเอ่ยยิ้มๆ “ผมต้องการร้านอาหารหนึ่งร้านกับเงินทุนก้อนหนึ่ง”
“ร้านมีอยู่แล้ว เงินทุนต้องการเท่าไรล่ะ”
“ไม่เกินสองแสน ถ้าหากเสี่ยปายอมออก ผมยินดีจะแบ่งกำไรให้คุณสามสิบเปอร์เซ็นต์ แต่เสี่ยปาคุณต้องรับผิดชอบความปลอดภัยทั้งหมดของร้าน ก็คือต้องอาศัยลูกน้องพวกนี้ของคุณ”
“ไม่ใช่ปัญหา สามสิบเปอร์เซ็นต์คือเท่าไรล่ะ” สิ่งที่เสี่ยเฉิงปาสนใจมากที่สุดคือกำไร ถ้าไม่มีเงินเขาก็ไม่อาจยอมร่วมมือได้
“ผมยังคำนวณไม่ได้ ข้าวผัดจักรพรรดิมั่นคงในตลาดแล้ว แต่เมนูที่สองของผม…”
พูดถึงตรงนี้ เสี่ยเฉิงปาตาเป็นประกายทันที “เมนูที่สองงั้นเหรอ น้องชายแกออกเมนูจานใหม่แล้วเหรอ ระดับเดียวกับข้าวผัดจักรพรรดิไหม”
“เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ระดับเดียวกัน!”
ซ่งจื่อเซวียนเพิ่งจะพูดจบ ทุกคนในห้องก็หมดกำลังใจกัน เมื่อครู่ตอนที่พูดเรื่องเมนูที่สอง แม้แต่ซางเทียนซั่วก็ยังตกตะลึง และจำต้องพูดว่า ข้าวผัดจักรพรรดิประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะออกเมนูที่สอง จะต้องเป็นที่ฮือฮาในวงการอาหารแห่งตู้เหมินแน่นอน
แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับพูดประโยคนี้ออกมา…
“เพราะว่าข้าวผัดจักรพรรดิเทียบเมนูนี้ไม่ได้เลย!”
“ว่าไงนะ” ประโยคนี้หลายคนต่างพูดออกมาเกือบพร้อมกัน
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ถ้าหากทุกอย่างราบรื่น ร้านอาหารร่ำรวยสามารถดึงดูดความสนใจด้วยข้าวผัดจักรพรรดิได้สำเร็จ ถึงขนาดที่ออร์เดอร์ล้นทุกวันและขายหมดล่วงหน้า ผมคิดว่า…เมนูที่สองก็สามารถโปรโมตได้แล้วเหมือนกัน”
อันที่จริงประโยคนี้ซ่งจื่อเซวียนก็เดิมพันเช่นกัน อย่างไรตอนนี้เขายังไม่ได้ลองทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายเลย ถึงแม้จะเข้าใจแล้ว แต่ถ้าทำออกมาไม่ได้ ก็ไม่สามารถผลักดันได้
“โปรโมตงั้นเหรอ…น้องชาย แกคิดว่าเมนูนี้ต้องมีราคาเท่าไร” เสี่ยเฉิงปาถามคำถามเรื่องเงินเหมือนเดิม
“ข้าวผัดจักรพรรดิราคาแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวน ถ้างั้นเมนูนี้ราคาหนึ่งพันกว่าหยวนก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
“หนึ่งพันกว่าหยวนงั้นเหรอ” เสี่ยเฉิงปาตกตะลึง ทำร้านอาหารมานานหลายปี นอกจากอาหารที่ชูวัตถุดิบแล้ว แทบจะไม่มีเมนูอาหารที่ราคาแพงขนาดนี้เลย
สิ่งที่เรียกว่าอาหารที่ชูวัตถุดิบ ก็คือตัวอาหารที่วัตถุดิบล้ำค่าอยู่แล้ว ราคาเมนูอาหารจึงแพงตาม อย่างเช่นพวกเมนูซาซิมิล็อบสเตอร์ พระกระโดดกำแพง อุ้งตีนหมี สมองลิง
“ถูกแล้วครับ ต้าสือไต้เป็นคนสอนเรื่องพวกนี้ให้ผม พวกเขาทำให้ผมรู้จักตลาดตู้เหมิน เมนูที่ตั้งราคาเก้าร้อยหยวนกลับมีคนมาต่อแถวล่วงหน้าเพื่อมากิน ตลาดอาหารในตอนนี้เป็นยุคทองจริงๆ”
เสี่ยเฉิงปาได้ยินดังนั้นก็แอบชื่นชม อันที่จริงตลาดจีนในตอนนี้ไม่ถือว่าดีนัก กระทั่งเศรษฐกิจซบเซาด้วยซ้ำ สามารถทำให้ตลาดแบบนี้ถูกเรียกว่าเป็นยุคทองได้นั้นจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่ง และซ่งจื่อเซวียนนั้น…เห็นได้ชัดว่าใช่!
เสี่ยเฉิงปาแอบคำนวณในใจ หนึ่งเมนูขายยี่สิบที่ กำไรสามสิบเปอร์เซ็นต์ก็คือหนึ่งแสนกว่าหยวน เมนูสองอย่างมีความเป็นได้สูงที่อาจจะถึงสามแสนกว่าหยวน แบบนี้หนึ่งปีก็จะมีกำไรสามถึงสี่ล้านหยวน สามปีก็มีมูลค่าหลายสิบล้านหยวนแล้ว
แน่นอนว่า เงื่อนไขนี้คือซ่งจื่อเซวียนจะไม่ออกเมนูจานใหม่อีก เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสี่ยเฉิงปาก็เริ่มว้าวุ่นใจ
“น้องชาย แกบอกว่าต้องการเงินทุน จะเอาไปใช้ทำอะไรล่ะ”
“เปิดร้านน่ะ ผมคิดว่าถ้าหากราบรื่น ไม่เกินสามเดือนพวกเราก็เปิดร้านสาขาย่อยได้ ร้านสาขาย่อยต้องอยู่ในเขตเฉิงตง แต่ต้องมีระยะห่างพอสมควรจากร้านอาหารร่ำรวย”
“ไม่มีปัญหา ขอแค่ทำเงิน ฉันก็หาร้านที่ใหญ่กว่านี้ได้!”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ เฉิงปาในวันนี้…แสดงออกชัดเจนแล้วว่าตัวเองเป็นลูกน้องแล้ว คนเราทำอะไรก็ได้เพื่อเงินจริงๆ เสี่ยคนหนึ่งยอมจมปลักอยู่กับตัวเอง เป็นเพราะความสำคัญของเงิน!
ซ่งจื่อเซวียนเป็นฝ่ายยื่นมือข้างหนึ่งออกไปก่อน “เสี่ยปา ถ้างั้น…หวังว่าจะร่วมงานกันเป็นอย่างดีนะครับ”
เสี่ยปาสับสนเล็กน้อย ลุกขึ้นแล้วยิ้มพูดว่า “ร่วมงานกันเป็นอย่างดี ส่วนเรื่องเสี่ยหวง ฉันจะพยายามไม่ไปหาเรื่องเขา แต่ถ้าเขามาก่อกวนแกที่ร้าน ฉันเฉิงปาคนนี้ขอสู้ตาย ยังไงก็มีแกอยู่ ฉันไม่มีวันยากจน!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างเข้าใจ ไม่พูดอะไรอีก
ออกจากร้านอาหารเหล่าปาแล้ว พวกซ่งจื่อเซวียนกำลังจะเรียกรถแท็กซี่กลับ แต่ยังไม่ทันได้เรียกรถ ก็เห็นรถเก๋งสีดำคันหนึ่งฝั่งตรงข้ามบีบแตรสองที ทันใดนั้นก็สตาร์ทรถเลี้ยวมา รีบมาจอดอยู่ตรงหน้าซ่งจื่อเซวียน
…………………………………………