เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 1167 หวานชื่น ตอนที่ 1168 แผนการของเย่ว์ลั่ว
ตอนที่ 1167 หวานชื่น
“ที่ไหนกัน ฝ่าบาทก็ไม่ใช่มีญาติพี่น้องงามดุจบุปผาอยู่ข้างพระวรกายหรอกหรือ” ซูหลีไม่รู้ว่าเพราะเหตุ ยามอยู่ต่อหน้าฉินเย่หานนับวันยิ่งไร้ความหวาดกลัวแล้ว
ซึ่งเหมือนกับในเวลานี้ นางทราบดีว่าฉินเย่หานไม่พอใจ กระทั่งพร้อมทั้งคาดโทษขณะที่พูดกับนาง ทว่าทันทีที่นางเอ่ยปากพูดคำพูดนี้ออกมา นั่นกลับเหนือความคาดหมายโดยแท้
“ใคร” หลังจากที่ฉินเย่หานได้ยินดังนั้น กลับเอ่ยคำคำเดียวออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
ซูหลีเลิกคิ้วแล้วเอ่ย “แม่นางอู๋โยวหรานอา ไม่ใช่ล้วนกล่าวว่าแม่นางท่านนี้เป็นสาวสะคราญล่มเมืองหรอกหรือ ทั้งยังเป็นพระขนิษฐาของฝ่าบาท หนึ่งคำก็เรียกเสด็จพี่ ว้าวๆ!”
นี่หากหวงเผยซานอยู่ตรงนี้ ได้ยินซูหลีพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา เกรงว่าเขาคงจะคุกเข่าให้ซูหลีแล้ว
ทว่าซูหลีไม่เพียงแค่พูดออกมา อีกทั้งน้ำเสียงขณะที่พูดไม่น่าฟังเป็นอย่างมาก ทว่าฉินเย่หานกลับไม่สนใจ
”เจ้านี่สามารถพลิกสถานการณ์เป็นผู้ได้เสียเปรียบได้โดยแท้” ฉินเย่หานแค่นเสียงเย็นออกมา ทว่าสีหน้าอ่อนโยนลงไม่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดที่ซูหลีเจตนาพูดออกมา หรือเป็นเพราะท่าทีของนางกัน
“เราไม่รู้จักนาง!”
“เหอะๆ!” ซูหลีได้ยินดังนั้น จึงแทบหัวเราะออกมา ฮ่องเต้ผู้ใจคอคับแคบท่านนี้ ช่างทำให้ผู้อื่นไม่พูดว่าจะพูดอะไรออกมาดี
ในฐานะเช่นนี้ของฉินเย่หาน ไม่ใช่คนที่จะเสแสร้งต่อนางสตรี
เขาพูดว่าไม่รู้จัก เช่นนั้นก็คือไม่รู้จักจริงๆ
ซูหลีกำลังครุ่นคิด เมื่อครู่นางสามารถเรียกชื่อของไป๋ฉินออกมาได้ ทว่าแม้กระทั่งอู๋โยวหรานก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ‘ญาติผู้น้อง’ ที่มีรูปโฉมไม่เป็นที่สองรองใครท่านนี้ ที่แท้ในสายตาของเขายังสู้สาวใช้คนหนึ่งมิได้?
ซูหลีเม้มปาก เพื่อให้ตนเองหัวเราะออกมา นางไม่มีความรู้สึกเป็นศัตรูกับอู๋โยวหราน อย่างไรก็เป็นคนที่เพิ่งเจอหน้ากันวันแรก นางจะสามารถมีความคิดมากมายอะไรได้
แต่ถึงอย่างไรนางกลับถูกการกระทำของฉินมู่ปิงกับไทเฮานั้นทำให้นางไม่ค่อยสบายใจ
ไม่คิดว่าฉินเย่หานจะไม่ใส่ใจในอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ในขณะนี้ซูหลีก็ไม่รู้ว่าควรจะเป็นแม่นางอู๋ผู้นั้นดี หรือควรจะรู้สึกอย่างไรดี
ถึงอย่างไร ในเวลานี้หัวใจดวงนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว
ซูหลีไม่ใช่คนที่เก็บซ่อนความรู้สึกตั้งแต่ไหนแต่ไร นางรู้สึกเช่นนี้ ก็กระทำเช่นนี้
“ฝ่าบาท” นางพลันเดินเข้าไปกอดเอวของฉินเย่หานไว้แล้วเอ่ยว่า “อย่าทรงกริ้วไปเลย นี่ไม่ใช่ใครกินอาหารเป็นเพื่อนข้าแล้ว ข้าถึงได้เชิญเซี่ยอวี่เสียนมา…”
ฉินเย่หานใช้สายตาเยียบเย็นกวาดมองนางปราดหนึ่ง ทว่าความเย็นชาดุจน้ำแข็งนั้นพลันสลายไปพร้อมกับคำพูดประโยคนี้ของนาง เขายื่นมือโอบกอดนางไว้แล้วเอ่ยว่า
“เราไม่ได้โกรธ”
ถึงจะแปลก! ซูหลีได้แต่ตำหนิเขาอยู่ในใจอย่างเงียบๆประโยคหนึ่ง
“เพียงแต่ทิวทัศน์เช่นนี้” ฉินเย่หานเหลือบตามองแสงไฟบนต้นไม้ต้นนี้ครู่หนึ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความคลุมเครือแล้วเอ่ยว่า
“หากจะชม ก็ต้องชมกับเรา”
ซูหลีชะงักค้างไปวูบหนึ่ง สบถคำว่าบ้าอำนาจอยู่ในใจ! ทว่าภายนอกกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจว่า “นี่ฝ่าบาทก็ทรงเห็นแล้วมิใช่หรือ”
ฉินเย่หานกวาดตามองนางอย่างเฉยเมยปราดหนึ่ง ทว่าหลังจากที่นางจู่โจมจุมพิตตน ก็อ่อนโยนลงในทันที
เขาที่อยู่ตรงหน้านาง ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่มีพระพักตร์เย็นชาไร้ความรู้สึกผู้นั้นแล้ว ในทางกลับกันเปลี่ยนเป็นเช่นนี้
หากหวงเผยซานเห็น เกรงว่าคงจะตะโกนพูดเสียงดังอยู่หลายประโยคว่า ฮ่องเต้ที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆของตนไปอยู่ที่ไหนแล้ว!?
ในค่ำคืนนี้ฉินเย่หานไม่ได้ออกจากลานของซูหลี เหล่าสาวใช้ที่รออยู่ด้านนอกนั้นต้มน้ำหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ทว่ากลับมีคนที่นอนไม่หลับทั้งคืน!
ตอนที่ 1168 แผนการของเย่ว์ลั่ว
นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นวันในเหมันตฤดู ทว่าภายในลานตำหนักของซูหลี กลับคล้ายกับสายลมที่อบอุ่นในวสันตฤดูพัดผ่าน
ทำให้คนรู้สึกสบายเป็นพิเศษ
วันต่อมาหลังจากที่ซูหลีตื่นขึ้น ฉินเย่หานก็ไม่อยู่ข้างกายแล้ว
นางนั้นเคยชินกับเรื่องนี้แล้ว
ไม่ว่าอย่างไรฉินเย่หานก็เป็นองค์จักรพรรดิพระองค์หนึ่ง มีเรื่องที่ต้องการจัดการมากมายเหลือเกิน จะมีเวลานอนอยู่บนเตียงเป็นเพื่อนนางทุกวันเสียที่ไหน
เพียงแต่อย่างไรนางก็เป็นขุนนางของราชสำนัก นอนหลับอย่างเกียจคร้านเช่นนี้ถือเป็นเรื่องดีแล้วหรือ
ไม่ว่าจะดีหรือไม่ อย่างไรก็นอนแล้ว
ซูหลีบิดขี้เกียจไปมา นางตัดสินใจที่จะอู้งานสักสองสามวัน จากนั้นค่อยเป็นใต้เท้าซูผู้ฉลาดปราดเปรื่องผู้นั้น!
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” เย่ว์ลั่วเลิกม่านในห้องขึ้น นำสาวใช้ที่คล่องแคล่วสองสามคนเข้ามาด้วย
“อืม” ซูหลีหลับสบายมาก กำลังวังชาจึงเต็มเปลี่ยน เมื่อเห็นเย่ว์ลั่วจึงฉีกยิ้มให้นางครู่หนึ่ง
“เช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ ไป๋ฉินไปยกอาหารมาให้คุณหนูแล้วเจ้าคะ” ทันทีที่เย่ว์ลั่วยิ้มตอบ ภายใต้แสงอาทิตย์ ทำให้ใบหน้าเล็กที่งดงามของนางเป็นประกายแวววาว
ซูหลีมองนางแล้ว ดวงตาพลันมีประกายวิบวับขึ้นทันใด
นางพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า อายุของเย่ว์ลั่วมากกว่านางหนึ่งปี บัดนี้ก็อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว
สตรีโดยปกติในช่วงอายุนี้ เกรงว่าออกเรือนและมีบุตรหลายคนแล้ว ทว่าเย่ว์ลั่วยังไม่ตกลงปลงใจกับใครมาโดยตลอด แม้กระทั่งยังถูกจี้เหิงหรานผู้นั้นขัดขวางมาโดยตลอด
ซูหลีถอนหายใจออกมาเบาๆเฮือกหนึ่ง จะว่าไปนางก็อายุไม่น้อยแล้ว ทว่าสภาพการณ์ของนางกับสตรีอื่นนั้นแตกต่างกัน จะพูดอย่างไรก็มีฉินเย่หานอยู่เบื้องบน หากนางออกเรือนให้กับผู้อื่น ฉินเย่หานคงจะฉีกนางเป็นชิ้นๆทั้งที่ยังเป็นๆ
ทว่าหากให้นางเข้ามาอยู่ในวังหลัง นางก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของนาง หากเย่ว์ลั่วยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาสักเท่าไร…
“เย่ว์เอ๋อร์ เจ้ามีคนที่ชื่นชอบหรือไม่” เย่ว์ลั่วที่กำลังยุ่งกับงานในมือ นางรู้ดีว่าซูหลีกำลังมองนางอยู่ นางยังคิดว่าซูหลีกำลังเบื่อหน่าย คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา เย่ว์ลั่วถึงกับแข็งทื่อไปทั้งร่าง
“นี่คุณหนูหมายความว่าเช่นไร จู่ๆถึงได้เอ่ยถามประโยคเช่นนี้ออกมา” อากัปกิริยาของเย่ว์ลั่วยังถือว่าปกติ ไม่ได้มีท่าทีหลบหลีกเขินอายยามที่พูดถึงเรื่องแต่งงานเหมือนกันสตรีทั่วไป
ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของซูหลี ยิ่งทำให้นางรู้สึกเสียดายมาก
“เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว อย่างไรก็ไม่สามารถติดตามข้าได้ตลอดไปกระมัง นี่ไม่ใช่เป็นการทำร้ายเจ้าหรือ”
“คุณหนูเอาคำพูดนี้มาจากที่ไหนกัน วันเวลาที่อยู่ข้างกายคุณหนู เย่ว์ลั่วมีความสุขเป็นอย่างมาก หากสามารถอยู่เช่นนี้ได้ตลอดไป ไม่ต้องออกเรือนก็คงจะดีมาก!” ดวงตาเย่ว์ลั่วเป็นประกายครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสบกับดวงตาของซูหลี เอ่ยด้วยความจริงใจเกินจะเปรียบ
ซูหลีเห็นเป็นเช่นนี้ จึงไม่รู้ว่าตนควรจะตอบอะไรนางดีอย่างกะทันหัน
คนอย่างเย่ว์ลั่วนี้ไม่ควรประสบกับการปฏิบัติเช่นนี้ หากจะโทษก็ต้องโทษบุรุษที่สมควรตายอย่างจี้เหิงหรานคนนั้น
ใบหน้าของนางเยียบเย็นไปวูบหนึ่ง พลันฉุกคิดได้ว่า เย่ว์ลั่วอยู่ข้างกายจี้เหิงหรานมาตั้งแต่เด็ก ไม่แน่นางอาจจะรู้เรื่องของจี้เหิงหรานสักนิดก็ได้
“เย่วเอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่า สกุลจี้กับสกุลหลี่ที่ถูกสังหารทั้งสกุลเหมือนจะมีความสัมพันธ์ไม่ดีนัก?” ซูหลีชะงักไปวูบหนึ่ง จากนั้นถามเรื่องที่อยู่ในใจของตนออกมา
เย่ว์ลั่วตะลึงค้างไปทันที ไม่รู้ว่าไยนางถึงสามารถเปลี่ยนจากเรื่องแต่งงานของตนมาเป็นเรื่องเช่นนี้ได้
ทว่านางกลับไม่มีอะไรให้ปิดบัง หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง จึงขมวดคิ้วส่ายหน้าให้กับซูหลีแล้วเอ่ยว่า
“ในความทรงจำของบ่าวแล้ว เหมือนจะไม่มีเรื่องเช่นนี้”
ไม่มีหรือ
ซูหลีชะงักค้างไปในทันที ทว่าหากอิงจากคำพูดของเซี่ยอวี่เสียนกับฉินมู่ปิงแล้ว ล้วนมีบางอย่างที่ทะแม่งๆ
“…ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ!”