เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 1131 ใต้เท้าซูนี่ช่างใจกว้าง! ตอนที่ 1132 จะถือว่าเป็นสิ่งใด
- Home
- All Mangas
- เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ
- ตอนที่ 1131 ใต้เท้าซูนี่ช่างใจกว้าง! ตอนที่ 1132 จะถือว่าเป็นสิ่งใด
ตอนที่ 1131 ใต้เท้าซูนี่ช่างใจกว้าง!
วันนี้เป็นวันที่กำหนดว่าจะออกเดินทาง
ฝ่าบาทเสด็จออกจากวังหลวง คนที่ติดตามไปด้วยบางคนก็เดินทางไปนำไปก่อน ทว่าอย่างซูหลีกลับต้องไปพร้อมกับฝ่าบาท
ในตอนเช้านางนำชุยตาน อีกทั้งยังพาไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วทั้งสองไปที่ด้านนอกของพระราชวัง
ทว่าทันทีที่นางถึง ก็ถูกคนขวางทางเอาไว้ก่อน
“แม่นางเซียว! นี่เจ้าทำอะไร” ซูหลีกำลังคุยกับข้ารับใช้ข้างกายเรื่องการไปตำหนักนอกเมืองหลวง กลับมีคนคนหนึ่งคล้ายกับลมพายุลูกหนึ่งมิปาน บุ่มบ่ามเข้ามาหานางอย่างเสียสติ
ยังดีที่นี่ยังเป็นวังหลัง มีทหารตรวจการอยู่ทุกที่ ก่อนวินาทีที่คนผู้นั้นจะบุ่มบ่ามเข้ามา พวกเขาก็แยกซูหลีออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซูหลีชะงักค้างไป พลันเหลือบตามองไปเห็นเซียวไฉเหรินที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ท่าทางประหนึ่งคนบ้าก็มิปาน
ไม่สิ บัดนี้นางไม่ได้เป็นแม้แต่ไฉเหรินแล้ว
พระบรมราชโองการของเช้าวันนี้ได้ประกาศว่า นางถูกขับไล่ออกจากวังแล้ว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปก็เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา
ดังนั้นทหารที่อยู่ข้างกายเหล่านี้จึงเรียกนางว่า ‘แม่นางเซียว’!
คำว่าแม่นางเซียวนี้ ยังให้ความรู้สึกเยาะเย้ยอย่างบอกไม่ถูก
มีความประหลาดใจพาดผ่านในดวงตาของซูหลี นางกวาดตามองเซียว เซียวหนิงเสวี่ยที่ดูเสียสติ ซูหลียังจำได้ว่า นี่เหมือนจะเป็นชื่อเดิมของนาง
“ซูหลี!” เจ้ามันคนชั่ว!” ทันทีที่เซียวหนิงเสวี่ยเหลือบตาขึ้นสบเข้ากับดวงตาของซูหลี จึงอดไม่ได้ที่จะก่นด่าออกมา
“คนชั่ว! เจ้าจักต้องไม่ตายดี เป็นเพราะเจ้า! เป็นเจ้าที่ทำร้ายข้า ทำให้ข้าต้องตกอับถึงเพียงนี้ เจ้ามันนางแพศยาที่หลอกใช้ผู้อื่น! เจ้า…” ซูหลีคิดไม่ถึงว่า บุตรีของครอบครัวที่มั่งคั่งที่ถูกเลี้ยงดูในห้องหับของสตรี จะสามารถก่นด่าคำพูดที่ไม่น่าฟังเช่นนี้ออกมาได้
“ใต้เท้าซู” ทหารที่คุ้มครองนางอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้น จึงใช้สายตากลืนไม่เข้าคายไม่ออกมองนางปราดหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “ข้าน้อยจักพานางออกไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!
“ซูหลี! เจ้าคิดว่าเจ้าชนะข้างแล้วหรือ เหอะ! เจ้าก็ไม่รู้สึกตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาของตน นางมีสิทธิ์อะไร!?” เซียวหนิงเสวี่ยได้ยินว่าทหารคนนั้นจะไล่นางออกไป ทันใดนั้นนางยิ่งบ้าคลั่งเสียสติมากกว่าเดิม
ดูท่าแล้ว ยังดีที่ถูกทหารขัดขวางนางไว้ หากทหารคนนี้ไม่ขวางนางไว้ละก็ เกรงว่านางต้องถลาเข้าไปข่วนใบหน้าของซูหลี!
สีหน้าของซูหลีเคร่งขรึม หลังจากมองนางอยู่นาน ซูหลีพลันส่งเสียงเอ่ยขึ้น “ให้นางเข้ามา!”
“ใต้เท้าซู!?” ทหารคนนั้นได้ยินดังนั้น จึงมองไปทางซูหลีอย่างไม่อยากจะเชื่อ ดูจากอากัปกิริยาของเซียวหนิงเสวี่ยแล้ว เขาไม่ต้องสนใจเลยว่า ทันทีที่เขาปล่อยมือ ซูหลีจักต้องถูกเซียวหนิงเสวี่ยทำร้ายอย่างแน่นอน!
บัดนี้ใครกันจะไม่รู้ว่า ใต้เท้าซูเป็นคนเก่งกาจขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นสกุลป๋ายหรือสกุลเซียว ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
ระยะเวลาการเป็นขุนนางของซูหลีนั้นยังไม่นาน ทว่าดูเหมือนว่าจะเป็นคนดังข้างพระวรกายของฝ่าบาท
เขาไม่กล้าปล่อยให้เซียวหนิงเสวี่ยคนนี้ทำร้ายซูหลีได้
“วางใจเถิด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจักแบกรับไว้อย่างสุดความสามารถ ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย” ซูหลีโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ สื่อให้ทหารคนนั้นปล่อยเซียวหนิงเสวี่ย
ทหารคนนั้นได้ยินดังนั้นก็ยังรู้สึกไม่วางใจสักเท่าไหน เขาจึงมองไปยังชุยตานที่อยู่ข้างกายซูหลี
เห็นได้ชัดว่าชุยตานเป็นคนที่ฝึกยุทธ์อยู่บ่อยครั้ง เมื่อครู่ตอนที่เซียวหนิงเสวี่ยถลาเข้า เขาก็คุ้มกันซูหลีได้ในทันที
มีเด็กรับใช้แบบนี้ข้างกัน ก็คงไม่มีอะไรร้ายแรงกระมัง…
ทหารคนนั้นไม่มั่นใจ ทว่ามิกล้าที่จะโต้แย้งคำพูดของซูหลี ผ่านไปพักใหญ่เขาจึงปล่อยเซียวหนิงคนนั้น
เพียงแต่หลังจากที่เขาปล่อยนาง ทหารคนนั้นก็มีท่าทีที่เคร่งเครียดและจ้องนางตาเขม็ง คล้ายกันจะถลาเข้ามาได้ทุกเวลาเพื่อหยุดนางไว้มิปาน
เซียวหนิงเสวี่ยเห็นท่าทางของทหารคนนี้ในสายตา จึงอดที่จะหัวเราะเย้ยหยัน แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ใต้เท้าซูนี่ช่างใจกว้าง!”
ตอนที่ 1132 จะถือว่าเป็นสิ่งใด
คำพูดแม้จะไม่น่าฟัง ทว่านางกลับไม่มีท่าทางบ้าคลั่งเหมือนกับเมื่อครู่ ทำให้คนที่อยู่โดยรอบผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“แม่นางเซียวนี่หมายความว่าอะไรกัน เจ้าคนก่อนก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้หรือ” ซูหลีกวาดตาพินิจพิเคราะห์นางทั่วทั้งร่างปราดหนึ่ง จากนั้นจึงแค่นยิ้มเย็นออกมา
คำพูดนี้ประหนึ่งทิ่มเข้าไปให้รอยแผลของเซียวหนิงเสวี่ยมิปาน ทำให้นางมีสีหน้าเปลี่ยนไป
นางมองดูซูหลีที่ทั้งร่างแต่งกายด้วยผ้าแพรต่วนชั้นดี บนศีรษะประดับด้วยปิ่นไข่มุก กล่าวคือล้วนเป็นของที่มีราคาสูงมาก
และกลับมาดูที่ตัวนางเอง อาภรณ์ที่นางสวมใส่บนร่าง พวกคนที่ขับไล่นางออกจากวังไม่รู้ว่าไปเลือกมาจากที่ใด
เนื้อผ้าทั้งแข็งทั้งหยาบ สัมผัสแล้วทำให้นางระคายผิวไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก
ความแตกต่างอย่างชัดเจนนี้ ทำให้ทั้งร่างของเซียวหนิงเสวี่ยไม่มั่นคงไปชั่วขณะ นางจ้องไปที่ซูหลีด้วยสีหน้าทะมึนตึง ผ่านไปพักใหญ่ก็เอ่ยขึ้นอย่างฉับพลัน
“ซูหลี เจ้าคิดว่าเจ้าชนะเปิ่น…ข้าแล้วหรือ” ทันทีที่นางเอ่ยขึ้น พลันอยากเรียกตนเองว่าข้าตามจิตใต้สำนึกของตนเอง ทว่าทันทีที่คิดถึงนางข้าหลวงที่ขับไล่นางออกจากวังในวังนี้ นางข้าหลวงพูดด้วยใบหน้าที่ดุร้ายว่า เพียงนางปฏิบัติตัวข้ามกฎเกณฑ์แค่ก้าวเดียว ก็สามารถคร่าชีวิตนางได้
คำพูดนั้นติดอยู่ที่ปาก ทว่านางก็ทำได้เพียงกลืนคำพูดนั้นลงไปในคอ
“คำพูดของแม่นางเซียว ข้าไม่ค่อยจะเข้าใจนัก ระหว่างเรายังมีการแก่งแย่งชิงดีอะไรกันหรือ” แม้สีหน้าของซูหลีจะไม่ใส่ใจ ทว่าดวงตาของนางกลับดูเย็นชา คล้ายกับไม่เห็นเซียวหนิงเสวี่ยในสายตาเลยแม้แต่น้อย
เซียวหนิงเสวี่ยเห็นเช่นนี้จึงกัดที่ริมฝีปากล่างของตนอย่างแรง นางรังเกียจที่สุดก็คือท่าทีที่เหมือนกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนของซูหลี!
ยามที่นางยังเป็นเซียวซูเฟย ซูหลีก็ชอบแสดงท่าทางเช่นนี้ บัดนี้ก็เช่นกัน!
“เหอะ!” นางแทบจะกระโจนเข้าไปฆ่าซูหลี กินเลือดกินเนื้อนางซะ! อย่างไรก็ตามเซียวหนิงเสวี่ยรู้ดีว่า ในเวลานี้หากนางสามารถกระทำเช่นนั้นได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นคนรอบข้างที่จ้องจะเขมือบนาง ใครก็สามารถฆ่านางได้!
เสือเมื่อลงจากเขาก็ถูกสุนัขรังแก!
“ซูหลี เจ้าคงไม่คิดว่าตนเองชนะใจเขาแล้วกระมัง” นางสูดหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง และอดกลั้นอากัปกิริยาที่ดุร้ายของตนลงไป จากนั้นมองซูหลีด้วยใบหน้าเย็นยะเยียบ
ซูหลีได้ยินดังนั้น นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้ามีความคลุมเครืออยู่บ้าง
นางเห็นท่าทางของซูหลี พลันแสยะยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าตนเป็นสิ่งใดกัน ไม่ว่าข้าเซียวหนิงเสวี่ยจะไม่ดีอย่างไร เช่นนั้นก็คือเป็นภรรยาของเขา แล้วเจ้าเล่า? อยู่กับเขาอย่างไม่ชัดเจนเช่นนี้ ได้รับตำแหน่งอะไรจากเขาสักครึ่งหรือไม่”
นางดึงดันมาพบหน้าซูหลีสักครั้ง เพื่อว่าพูดเรื่องเหล่านี้หรือ
มีอารมณ์ด้านลบบางอย่างพาดผ่านในดวงตาของซูหลี จากนั้นมองนางด้วยรอยยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแล้วเอ่ย “นี่แม่นางคิดมากไปตั้งแต่ต้นจนจบ ซูหลีนั้นไม่เคยคิดว่าจะเข้าไปอยู่ในวัง”
“เกรงว่าจะไม่ใช่เจ้าไม่คิด แต่เขาไม่อนุญาตกระมัง!” เซียวหนิงเสวี่ยยังเถียงคอเป็นเอ็น จ้องซูหลีด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคิดว่าเขารักเจ้าจริงหรือ เหอะ! ซูหลี เจ้าจะอ่อนต่อโลกเกินไปแล้ว! บุรุษอย่างเขาจะสามารถรักสตรีคนหนึ่งได้อย่างไรกัน!?”
“เจ้าแค่ของเล่นฆ่าเวลาที่เขาสนุกด้วยในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น! เจ้ายังคิดว่าตนเป็นคนในใจเขาอีกหรือ!?”
เซียวหนิงเสวี่ยคนนี้ช่างไม่มีสมองโดยแท้ มักพูดจาไม่น่าฟังเป็นพิเศษ นับประสาอะไรกับซูหลีที่ไม่มีความรู้สึกใดๆต่อนางเลย ในเวลานี้ถูกนางคำพูดแต่ละประโยคของนางยั่วยุจนอารมณ์เสียแล้ว
ซูหลีมีสีหน้าเย็นชาแล้วเอ่ย “เช่นนั้นแม่นางเซียวเป็นอะไรกัน อยู่ข้างกายเขามาหลายปี จนถึงบัดนี้ก็กลายเป็นแค่แม่นางคนหนึ่ง?”
ซูหลีไม่อยากที่จะต่อปากต่อคำกับสตรีคนนี้ต่อ เซียวหนิงเสวี่ยคนนี้เป็นคนไม่รู้จักแยกแยะ เรื่องดำเนินจนถึงบัดนี้แล้วยังต้องการยั่วยุซูหลีอีก!