เฟิงหรูชิง องค์หญิงหมอเทวดา - ตอนที่ 589 หันเฟิงผู้น่าอนาถ (6)ตอนที่ 590 หันเฟิงผู้น่าอนาถ (7)
- Home
- All Mangas
- เฟิงหรูชิง องค์หญิงหมอเทวดา
- ตอนที่ 589 หันเฟิงผู้น่าอนาถ (6)ตอนที่ 590 หันเฟิงผู้น่าอนาถ (7)
ตอนที่ 589 หันเฟิงผู้น่าอนาถ (6)
ฉินเฉินหลับตาลงช้าๆ นึกถึงเฟิงหรูชิง แล้วจึงจะลืมตาขึ้นสายตาเย็นยะเยือกเช่นเคย เย็นทะลุถึงกระดูก
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เห็นแก่ที่ในตระกูลฉินมีเพียงฉินเฟยเอ๋อร์คนเดียวที่ไม่ดูหมิ่นเขา เขาได้ให้…โอกาสครั้งสุดท้ายนางไปแล้ว!
ทว่า…
นางไม่รับ
สายตาของฉินเฉินเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้นสีหน้าเย็นยะเยือก
เขาไม่ยอมให้ใครมาทำลายความสุขของชิงชิง!
นั่นคือ…สิ่งที่เขายินดีให้ทั้งหมดที่มีปกป้องเอาไว้!
“ฉินเฉิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เวินอวี่ที่ตามออกมาได้ยินคำพูดของฉินเฉินก็โมโหขึ้นทันที “เฟยเอ๋อร์ถูกกำหนดไว้แล้วต้องไปตระกูลมู่ เจ้าไม่ให้นางไปมันหมายความว่าอย่างไร? อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าชอบเฟยเอ๋อร์ใช่หรือไม่ ไม่อยากให้นางกลายเป็นหญิงของคนอื่น? ข้าจะบอกเจ้า เจ้าเลิกหวังลมๆ แล้งๆ เจ้าเป็นเพียงลูกที่ตระกูลฉินของเราเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น เจ้ามีค่าอะไรคิดเพ้อฝันกับลูกสาวข้า!”
“ท่านแม่!” ฉินเฟยเอ๋อร์รีบดึงมือเวินอวี่เอาไว้พลางขมวดคิ้ว “ท่านอย่าพูดเพ้อเจ้อ เฉินเอ๋อร์เห็นข้าเป็นพี่สาวเท่านั้น ท่านพูดเช่นนี้หากได้ยินถึงหูท่านพ่อจะนำพาความยุ่งยากมาให้เสี่ยวเฉิน”
เดิมท่านพ่อไม่ชอบเสี่ยวเฉิน หากท่านแม่พูดเพ้อเจ้อท่านพ่อจะต้องโมโหใส่เสี่ยวเฉินเป็นแน่
สายตาเย็นชาของฉินเฉินกวาดมองฉินเฟยเอ๋อร์แล้วหยุดอยู่ที่ร่างของนาง “เจ้าไม่ใช่พี่สาวข้า”
ฉินเฟยเอ๋อร์ชะงัก เหตุใดเสี่ยวเฉินจึง…
ไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ท่านพ่อไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่!
“เฟยเอ๋อร์ เจ้าได้ยินแล้วหรือยัง? เห็นเจ้าเป็นพี่สาวอะไรกัน เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่หลงใหลเจ้าฝันลมๆ แล้งๆ”
“แต่ว่า…” เสียงฉินเฉินหยุดลง “ข้าก็ไม่ได้ชอบเจ้า”
เขาไม่ได้ติดค้างอะไรต่อฉินเฟยเอ๋อร์
หากไม่ใช่ตัวนำยาของเขาฉินเฟยเอ๋อร์ไม่มีทางมีชีวิตมาถึงวันนี้
ดังนั้นตอนแรกคิดจะชักชวนนางก็เพียงเห็นแก่ที่…ฉินเฟยเอ๋อร์ไม่เคยรังแกเขาเลย
สีหน้าฉินเฟยเอ๋อร์แข็งทื่อ นางกำหมัดแน่นมีความอึดอัดเล็กน้อยบนใบหน้า
“เจ้ามันเด็กชั่ว เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร? เฟยเอ๋อร์ของข้ายอดเยี่ยมเช่นนี้ในใต้หล้าคนที่ชอบนางมีตั้งมากมาย เจ้าเพียงแค่คิดว่าเจ้าไม่มีทางได้ครอบครองนาง ดังนั้นเพื่อศักดิ์ศรีจึงพูดออกมาเช่นนั้น ไม่เช่นนั้นเหตุใดเมื่อครู่เจ้าไม่ให้นางไปเป็นอนุภรรยา?”
เวินอวี่โมโหเกรี้ยวกราด
หากฉินเฉินชอบฉินเฟยเอ๋อร์ เวินอวี่จะคิดว่าเขาเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์จะต้องโกรธเป็นอย่างมาก ทว่าฉินเฉินพูดว่าไม่ชอบฉินเฟยเอ๋อร์นางก็ยิ่งโกรธ
ฉินเฟยเอ๋อร์นอกจากร่างกายไม่แข็งแรงแล้วด้านอื่นๆ มีตรงไหนไม่ดีบ้าง? เจ้าเด็กนี่มีสิทธิ์อะไรมาดูถูกเฟยเอ๋อร์ของนาง?
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว!” ฉินเฟยเอ๋อร์สีหน้าไม่ดี “ท่านคิดว่าข้ายังขายหน้าไม่พอหรือ? เสี่ยวเฉินเป็นน้องชายของข้าตลอดไป ท่านไม่ต้องคิดมาก เขาชักชวนข้า…อาจเป็นเพราะหวังดีต่อข้า เป็นข้าที่ชอบคุณชายหนานเสียน ข้าจะต้องเข้าตระกูลมู่ให้ได้”
น้ำเสียงอ่อนนุ่มของฉินเฟยเอ๋อร์ทำให้สีหน้าเวินอวี่ดีขึ้นมาบ้าง
“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อก่อนนายท่านรองตระกูลมู่หาคู่หมั้นให้คุณชายหนานเสียนคนหนึ่ง ราวกับจะเป็นสกุลถังส่วนชื่ออะไรนั้นข้าไม่แน่ชัด ดูเหมือนนางจะหนีไปกับหญิงสาวคนหนึ่งเสียแล้ว…ตอนนี้ตระกูลมู่ดูเหมือนกำลังจะหมั้นหมายเชื่อมสัมพันธ์กับนายท่านจวนเทียนเสิน”
หากจวนเทียนเสินเป็นแคว้นแคว้นหนึ่ง นายท่านจวนก็เป็นฮ่องเต้ในแคว้น
คุณหนูใหญ่ผู้นั้นของนายท่านกลับขี้ริ้วขี้เหล่ อ้วนท้วน ไม่น่ามอง
ดังนั้นต่อให้นางเป็นคุณหนูใหญ่ของนายท่านก็ไม่มีผู้ใดถามไถ่เรื่องหมั้นหมายเช่นเดิม
ฉินเฟยเอ๋อร์ชะงักลอบถอนหายใจโล่งอกในใจ
“ท่านแม่ ข้าเข้าใจความหมายของท่าน ข้าเข้าไปในจวนแล้วจะไม่ขัดแย้งอะไรกับคุณหนูใหญ่ของจวนนายท่าน”
…………………..
ตอนที่ 590 หันเฟิงผู้น่าอนาถ (7)
“เจ้าเข้าใจก็ดี” เวินอวี่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง “นอกเสียจากคุณชายหนานเสียนตาบอดถึงจะชอบหญิงอ้วนเช่นนั้นได้ หลังจากเจ้าเข้าจวนไปแล้วด้วยความงามของเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร ไม่มีใครสามารถสู้เจ้าได้ ส่วนฮูหยินหลักเป็นคนคนนั้นจากจวนนายท่านก็ดี…อย่างน้อยตระกูลมู่สามารถเชื่อมสัมพันธ์กับจวนนายท่านได้ พวกเราก็พลอยน้ำขึ้นเรือก็สูงตามตระกูลมู่ไปด้วย”
ฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร นางเงยหน้าขึ้นต้องการมองหาฉินเฉินกลับพบว่าชายหนุ่มหายไปตั้งแต่เมื่อใดแล้วก็มิอาจรู้ แววตาของนางหม่นแสงลง
“เฟยเอ๋อร์ ฉินเฉินคนนี้ก็แค่หมาป่าตาขาวตัวหนึ่งเท่านั้น เจ้าไม่ต้องไปดีต่อเขามาก ดูเมื่อครู่เขาทำกับเจ้ายังไง!” เวินอวี่เห็นฉินเฟยเอ๋อร์ยังใส่ใจฉินเฉินอยู่เช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ
ฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มขมขื่น
“อย่างไรเสียพวกเราก็ผิดต่อเขาก่อน เขาจะตำหนิก็ไม่ใช่เรื่องแปลก...อย่างไรเสียตอนนี้เพื่อให้ข้าได้เข้าตระกูลมู่อย่างราบรื่นเขาก็ต้องกลับมาอีก...”
ที่ฉินเฉินพูดมาเมื่อครู่น่าจะพูดเพราะความโกรธกระมัง ในใจของเขาจะต้องยังใส่ใจนางอยู่ เห็นางเป็นพี่สาวของเขา มิเช่นนั้น…คงไม่มีทางรีบกลับมาเพราะได้ยินว่าสุขภาพนางไม่แข็งแรง
“แต่เจ้าเด็กนั่น…”
“ท่านแม่” ฉินเฟยเอ๋อร์กุมมือเวินอวี่ไว้ “ท่านลืมที่รับปากข้าไว้หรือ? ครั้งนี้ทำดีกับเขาหน่อยอย่ารุนแรงกับเขาอีก ท่านก็อย่าเอาแต่อาหารเหลือที่เน่าเสียแล้วไปให้เขา ตระกูลฉินของพวกเราไม่ขาดแคลนอาหาร”
เวินอวี่โมโห “ข้าเห็นหน้าเขาก็อารมณ์เสียแล้ว ตระกูลฉินเลี้ยงเขามาเขายังชอบทำหน้าเย็นชา ทำราวกับว่าพวกเราติดค้างอะไรเขาอย่างไรอย่างนั้น”
“นิสัยของน้องเดิมก็เย็นชาสันโดษอยู่แล้วท่านก็ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ว่ากับใครเขาก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เจาะจงตระกูลฉินเรา ต่อไปภายหน้าเขาแต่งงานไปก็ไม่มีทางมีอะไรเปลี่ยนแปลง ท่านจะคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้กับเขาไปทำไม?”
มองดูสีหน้าไม่พอใจเล็กๆ ของฉินเฟยเอ๋อร์ เวินอวี่อ้าปากทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ เห็นแก่เจ้าข้าจะยกโทษให้เขา”
ฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้ม นางถอนหายใจหนึ่งที
ฉินเฉินสันโดษตั้งแต่เล็ก เขาอาศัยอยู่ในตระกูลฉินมาหลายปีนางยังไม่เคยเห็นเขายิ้มเลยไม่รู้จริงๆ ว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่ทำให้เขายิ้มได้หรือไม่
อาจจะ…ไม่มีอยู่กระมัง
แม้แต่นางที่ใกล้ชิดกับฉินเฉินที่สุดยังไม่มีวิธีทำให้ใจเขาอบอุ่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น
ถ้าหาก...มีคนเช่นนั้นปรากฏตัวขึ้นมาจริง…เกรงว่านางจะไม่อาจรับได้
…
หลังฉินเฉินกลับถึงห้องเขาก็หยิบปิ่นหยกอันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ หยกอันนี้ก่อนเขาจากมาได้หยิบเอามาจากกล่องเครื่องประดับของเฟิงหรูชิง เช่นนี้แล้วก็เหมือนกับ…นางยังอยู่ข้างกายเขา
“เสี่ยวชิง…บนโลกนี้ข้าไม่มีคนในครอบครัวคนอื่นอีก มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ก็คือเจ้า…”
“ดังนั้นข้ายินยอมละทิ้งทุกสิ่งแต่จะต้องปกป้องเจ้าไว้ให้ได้…”
คนที่เจ้ารัก ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมาทำให้แปดเปื้อน
คนที่เจ้าเกลียด…ข้าก็จะเป็นดาบในมือเจ้า ฆ่าศัตรูทุกคนแทนเจ้า
ดังนั้นข้าจำต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้!
แข็งแกร่งจน…ไม่มีผู้ใดกล้าแย่งความสุขในมือเจ้าไป!
ชายหนุ่มหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าเย็นชาของเขาราวกับถูกแสงแดดหลอมละลายลงรอยยิ้มสะอาดสดใสดุจพระอาทิตย์ ไม่ได้มีท่าทางเย็นชาสันโดษอีกต่อไป บนโลกใบนี้ต้องมีสักคนที่เป็นแสงอาทิตย์อุ่นหลอมละลายน้ำแข็ง และต้องมีสักคนที่เป็นแสงอาทิตย์กลางใจเขา ปัดเป่าความหมองมัว