เพื่อนที่หน้าตาเย็นชาแต่แอบรักผมข้างเดียวนั้นน่ารักจริง ๆ - ตอนที่ 2
บท1
เพราะช่วยแมวทำให้ได้พลังวิเศษ (ความเห็นส่วนตัวนะครับ) Part 2
สุดท้ายรูปของมิซุคิก็มาอยู่กับผม
ในภาพเป็นมิซุคิที่กำลังยิ้มอย่างสนุกสนาน
ถึงจะแอบถ่ายก็เถอะ แต่มิซุคิในรูปก็ดูดีจริง ๆ แหละ ไอ้คนถ่ายคงเข้าใจถึงความน่ารักของมิซุคิสินะ
ขณะที่กำลังจ้องรูปอยู่ ผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเพื่อนร่วมห้องที่จ้องมาที่ผมราวกับเห็นเรื่องประหลาดเข้า
ขืนเป็นแบบนี้ ถ้านั่งมองรูปพวกนี้ต่อไปคงมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นแน่ ต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้วแหละ
ผมเก็บรูปของมิซุคิเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนักเรียนอย่างระมัดระวัง แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ทำสีหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมกวาดสายตามองนกที่กำลังบินอยู่นอกหน้าต่าง จนเหลือบมาเห็นโต๊ะกับเก้าอี้ที่ไม่มีใครใช้วางอยู่ตรงริมหน้าต่าง
“ที่นั่งนั้น….ข้าง ๆ ผมไม่มีใครนั่งนี่นา สงสัยยังไม่มีใครเก็บไปมั้ง”
ผมกระซิบไปแบบนั้น มิซุคิที่นั่งอยู่ตรงโต็ะข้างหน้าก็หันหัวมาหาผม
“อ้าว….ไม่รู้เหรอ ที่นั่งนั่นเป็นของนักเรียนที่กำลังจะย้ายมาใหม่น่ะ”
“นักเรียนที่กำลังจะย้ายมาเหรอ”
“อืม ความจริงนักเรียนคนนั้นควรจะเริ่มเรียนพร้อมกับเราตั้งแต่ตอนเปิดเทอมปี 2 เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว แต่ว่ามีเรื่องต้องจัดการกับครอบครัวนิดหน่อยเลยเข้าเรียนช้านะ อาจารย์อามะมิยะอธิบายไปแล้วตอนวันเปิดเทอม ไม่ได้ฟังเหรอ”
“อ้าว….อาจารย์ได้พูดด้วยเหรอ”
“ใช่สิ….” มิซุคิพูดพร้อมขมวดคิ้วทำสีหน้าไม่พอใจ
ในขณะนั้น ประตูตรงหน้าห้องก็ถูกเปิด ผู้หญิงใส่สูทสีดำก็เดินเข้าในห้อง เธอมัดผมจุกเป็นทรง Pony Tail จากใหล่ลงมาจะสามารถเห็นหน้าอกขนาดใหญ่ที่ดันชุดสูทอยู่
เธอถือสมุดรายชื่อไว้ที่ข้างลำตัว แล้ววางมันลงอย่างแรงบนโต็ะหน้าห้องเรียน พร้อมสงสายตาที่เฉียบคมราวกับกำลังสั่งให้นักเรียนกลับไปนั่งที่
เธอชื่อ ยูริ อามะมิยะ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ และครูประจำชั้นของห้องนี้ ทั้งผมและมิซุคิก็มีอาจารย์อามะมิยะเป็นครูประจำชั้นตั้งแต่ปี 1 แล้ว
อาจารย์อามะมิยะถอนหายใจ “ฮาาา……” พร้อมจ้องตรงมาที่ผม
“นิตะเคะคุง นิตะเคะโคตะคุง”
“เอ่อ….ครับ!….มีอะไรเหรอครับอาจารย์อามะมิยะ”
“มายืนตรงนี”
“เอ๋….เอ่อ….ทำไมเหรอครับ”
“ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดีมาก ๆ แล้วเธอทำหน้าเหมือนว่ากำลังจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้น พอมองแล้วฉันยิ่งอารมณ์เสียมากกว่าเดิม ดังนั้นสำนึกผิดซะ มายืนหน้าห้องจนกว่าจะหมดคาบโฮมรูม”
“ไม่เอาครับ”
“ฮาาา…. นี่แหละน้านิตะเคะคุง”
ทำไมกัน เวลาเธออารมณ์เสีย ต้องมาลงที่ผมตลอดเลยนะ
อาจารย์อามะมิยะเปิดสมุดรายชื่อ พร้อมกวาดสายตาไปรอบห้อง แล้วพูดขึ้น
“เอาละ เรื่องล้อเล่นพอแค่นี้ สวัสดีตอนเช้าทุกคน ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนสายหรือขาดนะ สุดยอดไปเลยล่ะ นิตะเคะคุงก็ดูสดใสดีซะด้วย”
ได้โปรดอย่าทำให้ผมเด่นออกมาโดยการเรียนชื่อแค่ผมคนเดียวเถอะครับ….
“ช่วงนี้ มีนักเรียนลืมของหรือทำของหล่นไว้มี่โรงเรียนมากขึ้น ก็เข้าใจได้ว่าเริ่มคุ้นชินกับชีวิตม. ปลายแล้ว แต่ว่าอย่าหละหลวมกันจนเกินไปล่ะ อีกเรื่อง พูดไปหลายรอบแล้วแหละ แต่พวกเธอก็ควรเตรียมเรื่องการเรียนสำหลับสอบเข้ามหาลัยได้แล้…. เอ่อ ขอโทษด้วย ตอนนี้มีคนกำลังรออยู่นอกห้องอยู่”
อาจารย์อามะมิยะหันตัวเข้าหาประตูห้องเรียนพร้อมพูด “เข้ามาได้แล้วล่ะ” หลังจากนั้นประตูห้องก็ถูกเลื่อนเปิด มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา
ทุกครั้งที่รองเท้าภายในอาคารสัมผัสกับพื้นไม้ดังเอี้ยด พวงกุญแจเหล็กที่ห้อยบนกระเป๋านักเรียนของเธอก็ส่งเสียงกระทบกัน
ผมตรงสลวยยาวถึงเอว รอยโค้งตามเรือนร่างอย่างสมส่วน ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ดวงตาขนาดใหญ่ที่ทำให้รู้สึกถึงความโศกเศร้า
ตามที่อาจารย์อามะมิยะบอก เธอเขียนชื่อของตัวเองลงบนกระดานดำ
ตัวผมที่นั่งอยู่แถวที่ 2 จากหน้าต่าง ที่นั่งหลังสุด จ้องไปที่เธอมากกว่าทุก ๆ คนในห้อง
ไม่จริงน่า…… ทำไมกัน……… ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่……….
หลังจากเขียนชื่อตัวเองเสร็จแล้ว เธอกลับมาด้วยท่าทีเยือกเย็น
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่ออายะโนะ ยูเมะมิกะซากิ หลังจากนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
ที่ยืนอยู่ตรงนั้น เป็นใครอื่นไปไม่ได้อีก นอกจากเพื่อนเก่าของผม อายะโนะ ยูเมะมิกะซากิ
ความขี้เล่นจากสมัยก่อนได้จางหายไปอย่างเห็นได้ชัด ถูกแทนที่ด้วยความสุขขุมสงบเสงี่ยม แน่นอนว่าร่างกายก็เปลี่ยนไปพอสมควร แต่ก็ยังเห็นถึงเค้าโครงหน้าเดิมได้
ผมย้อนกับไปคิดถึงภาพที่เห็นในฝันบนรถไฟ ภาพอายะโนะที่วิ่งออกจากห้องเรียนไปขณะร้องให้
ทันใดนั้น อาจารย์อามะมิยะก็พูดขึ้น
“เอาล่ะ ยูเมะมิกะซากิซัง เธอไปนั่งตรงโต๊ะริมหน้าต่างหลังสุด”
“ค่ะ”
ขณะที่อายะโนะกำลังเดินเข้ามาให้ ก็มีเสียงกระซิบจากหลาย ๆ แหล่งทั้งห้อง
“ว้าววววว สวยมากกกก….” “ผมย้าวยาว….” “สไตล์ดีมากนะเนี่ย”
อายะโนะไม่สนใจ เธอยังมองตรงจนกระทั้งเดินมาถึงข้าง ๆ โต๊ะผม
“โคตะ เป็นไรเหรอ” มิซุคิที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันมาถามผม
ผมนั่งคิดถึงคำตอบของคำถามนั้น แต่รู้ตัวอีกที ผมก็ยืนอยู่กลางทางเดินระหว่างโต๊ะ ขวางทางอายะโนะ
เอ๋….ผมกำลังทำอะไรอยู่เหรอ…
อีกครั้ง เสียงกระซิบก็ปกคลุมห้องเรียน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” “นิตะเคะคุง เหม่ออยู่เหรอ” “หรือว่าจะสารภาพรักนะ….” “ไม่มีทางหรอก….นั่นมันนิตะเคะคุงนะเห้ย”
นิตะเคะคุงแล้วมันยังไงกันฮ่ะ ขณะที่ผมคิดอยู่ สายตาก็จ้องเขม็งไปที่อายะโนะ หัวใจผมเต็นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
ตลอดมา ผมเสียใจที่ทำให้อายะโนะเสียใจ
ตลอดมา ผมเสียใจที่ไม่สามารถขอโทษอายะโนะได้
ไม่มีข้อมูลการติดต่อ ทำอะไรไม่ได้จนถึงตอนนี้….
แต่ว่า ตอนนี้ ตรงหน้าของผมคืออายะโนะ
“เอ่อ….อายะโนะ….ฉันน่ะ….”
ผมกำลังจะพูดต่อ แต่ทว่าอายะโนะก็ขัดผม
“น่ารำคาญน่า หลีกไป”
“……………………………………………ขอโทษครับ……………”
ผมเดินกลับไปนั่งที่เดิมราวกลับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในตอนนั้นเอง ทุกคนในห้องก็ฮือฮากันขึ้นมา
“เดี๋ยววว เมื่อกี่มันอะไรกันเนี่ย!” “นิตะเคะคุง เสียใจด้วยน้าาาาาาา” “ยูเมะมิกะซากิซัง เป็นคนน่ากลัวนะเนี่ย”
“นิตะเคะคุงเศร้าไปเลยแหละ แต่ก็หยุดขำไม่ได้จริง ๆ”
ผมละอยากมุดแผ่นดินหนีไปจากตรงนี้จริง ๆ…..
—————————————————————————-
พักเที่ยง ผมนั่งกินไปคุยไปกับมิซุคิ
“เอาน่า อย่าเศร้าไปเลยนะ โคตะ ยิ้มเข้า ๆ”
“มิซุคิ เวลาคนเศร้าจริง ๆ ทำไมต้องยิ้มด้วยหล่ะ”
บ้าเอ้ยยย แค่อยากจะขอโทษเรื่องราวในอดีตเอง ทำไมทุกคนถึงมองเป็นผมพยายามสารภาพรักได้นะ
“ว่าแต่ตอนนั้น คิดจะทำอะไรเหรอ มองจากข้างรอกแล้วมันเหมือนสารถาพรักจริง ๆ แหละ แต่ฉันรู้ว่าโคตะไม่ใช่คนประเภทนั้น”
“มิซุคิ ตอนนี้มีแค่นายคนเดียวแล้วนะ ที่เข้าใจฉันนะ”
“น่าาา ก็สนิทกันมาตั้งแต่ปี 1 นี่นา แล้วสรุปสาเหตุที่ทำอย่างนั้นไปตอนเช้าคืออะไรเหรอ”
“ที่จริงแล้ว…”
ในขณะที่ผมกำลังจะพูดต่อก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา เมื่อเหลือบสายตาไปด้านข้าง ก็เผลอสบตากับอายะโนะที่กำลังจ้องมาที่ผม ข้างหน้าของเธอมีข้าวกล่องที่ยังไม่ถูกกินแม้แต่คำเดียว
“อึก….”
“ฮืม เป็นอะไรเหรอ”
มิซุคิทำสีหน้าตกใจ เอามือปิดปากแล้วกระวิบมาหาผม
“เดี่ย…เดี๋ยวนะ….ทำไมยูเมะมิกะซากิซัง ถึงจ้องมาที่พวกเราล่ะ”
“อ่าาา….สงสัยเมื่อเช้าทำให้โกรธแน่เลย เอาไงดี…”
“เอาไงดีล่ะ…หือออ….มองมาทางนี้อีกแล้ว….. เอาไงล่ะ แค่เรื่องเมื่อเช้าถึงขึ้นต้องโกรธขนาดนี้เลยเหรอ”
“….เอ่อ….จริง ๆ แล้ว อายะโนะเป็นเพื่อนเก่าของฉัน….”
“จริงอ๋อ!?”
“คือเมื่อก่อนน่ะ ฉันทำให้อายะโนะโกรธมาก ตอนนี้ก็ยังคงโกรธเพราะเรื่องนั้นอยู่…มั้ง…”
“นี่นายทำอะไรลงไปให้เธอโกรธได้ขนาดนั้นเนี่ย….เดี่ยวนะ…สายตาตอนนี้ราวกับว่าจะพร้อมฆ่านายได้ทุกเมื่อแล้วนะ”
“…อืม…คือว่านะ…”
“เดี๋ยวววว หยุดพูดก่อนนน ถ้าฉันได้ยินไปมากกว่านี้อายะโนะคงจะฆ่าฉันด้วย”
มิซุคิมองไปที่อายะโนะอีกรอบ อยู่ดี ๆ สีหน้าก็แย่ลง สุดท้ายก็ค่อย ๆ หันหน้ากลับมาหาผม
“………..”
“……………………….”
“………………………………………”
เอ่อ ช่วยหยุดจ้องด้วยสายตาแบบนั้นได้มั้ยครับ
—————————————————————————-
ช่วงก่อนจบพักเที่ยง มิซุคิหยิบนิยายหนึ่งเล่มออกมาจากกระเป๋า
“เอ็ะ มิซุคินี่อ่านนิยายด้วยเหรอ”
“อะไรล่ะ นี่ฉันอ่านนิยายไม่ได้เหรอ”
แย่แล้ว แก้มป่องดูนุ่มนิ่มแบบนั้น มันทิ่มแทงลงไปถึงหัวใจเลยนะเนี่ย
ขอลองแตะแค่นิดเดียวได้มั้ย
หลังจากตอบคำถามกับตัวเองว่าควรที่จะหยิกแก้มดีหรือเปล่า มิซุคิก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดอะไรออกฃ
“พูดถึงนิยาย โคตะเป็นพวกชอบอ่านนิยายนี่นา ถึงจะไม่เคยเห็นอ่านที่โรงเรียนก็เถอะ”
“ฉันเป็นพวกชอบอ่านอยู่บ้านแบบเงียบ ๆ น่ะ”
มิซุคิวางหนังสือที่โต๊ะตรงหน้าผม
“แล้วโคตะ เคยอ่านเล่มนี้หรือเปล่า”
บนปกหนังสือเล่มนั้น เป็นภาพวาดสีน้ำ รูปผู้ชายผู้หญิงสองคนจับมือกันขณะหันหลังเข้าหากัน พื้นหลังเป็นชายฝั่งทะเล
มิซุคิอ่านชื่อนักเขียนที่อยู่บนหน้าปก
“[ความคิดของเธอบนขอบฟ้าทะเล] ของตาเคะโคะ อุตานิ เนื้อหาจริง ๆ แล้วเป็นแค่นิยายรักที่มีแค่พระเอกกับนางเอกที่จู๋จี้กัน แต่สามารถแสดงความรู้สึกของเด็กผู้หญิงที่คลั่งรักได้ดี ประมาณว่าทั้งเรื่องสามารถรู้สึกตามนางเองได้…ยังไงก็เถอะเรื่องนี้ดังมากในพวกเด็กผู้หญิงม.ปลายล่ะ! ผลงานดีขนาดนี้แทบไม่คิดว่าจะเป็นงานชิ้นแรกของอาจารย์ตาเคะโคะ อุตานิ อีกอย่าง…เอ่อ…นักเขียนดัง ๆ คนนั้น…..ใช่! อิจิกะ ไคโด นิยายของสองคนนี้ให้ความรู้สึกคล้าย ๆ กันเลยล่ะ”
จู่ ๆ ก็มีเสียงดัง ตึ่ง!!! มาจากข้าง ๆ สายตาในห้องเรียนทั้งหมดพุ่งรวมไปที่จุดเดียว
อายะโนะเอามือทั้งสองข้างทุบลงบนโต๊ะ เก้าอี้ล้มลงอยู่ข้างหลัง จากที่เห็น น่าจะยืนขึ้นเร็วมากจนเก้าอี้ล้มลง
แต่ว่า สาเหตุที่ทุกคนในห้องจ้องไปที่อายะโนะแบบเงียบ ๆ นั้น เป็นเพราะสีหน้าของอายะโนะนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธ
ก็จริงว่าอิจิกะ ไคโดเป็นนามปากกาของแม่ของอายะโนะ แต่ว่าแค่พูดนามปากกาของแม่ตัวเองขึ้นมาถึงขั้นต้องโกรธขนาดนี้เลยเหรอ
อายะโนะหันมามองมิซุคิด้วยสายตาอันแหลมคมราวกับเลือดกำลังจะจะพุ่งออกมา มิซุคิท่าทางตกใจไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร
อายะโนะไม่คิดที่จะเก็นเก้าอี้ที่ล้มไป แล้วเดินออกจากห้องด้วยสีหน้าราวกับว่ากำลังจะไปฆ่าใครสักคน
มิซุคิสั่นกลัวไปทั้งร่างกาย
“น่า…..น่ากลัววว นี่ฉันทำอะไรผิดเข้าเหรอ”
“เอาน่า อย่าไปใส่ใจเลย”
มิซุคิมองไปที่เก้าอี้ที่อายะโนะทำคว่ำไว้ทั้ง ๆ ที่น้ำตานองหน้า
“เอ๊ะ มีอะไรตกอยู่ด้วย”
มิซุคิค่อย ๆ เดินไปตรงเก้าอี้ที่ล้ม แล้วหยิบสมุดโน๊ตขนาดเท่าฝ่ามือที่หล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมา สมุดปกสีแดงเข้ม มีกระดุมล๊อกเพื่อไม่ให้คนเปิดโดยพลการ
“ไอ้นี่ สมุดโน๊ตของอายะโนะเหรอ”
มิซุคิหมุนสมุดโน๊ตดูรอบ ๆ ตรวจหาดูชื่อเจ้าของ
“ไม่มีแหะ ถ้าเปิดอ่านดูก็น่าจะรู้แหละ แต่ว่าถ้าเป็นของอายะโนะจริงละก็…”
ทันใดนั้น เสียง ปัง!! ดังมาจากประตูห้องที่ถูกเปิดอย่างแรง อายะโนะหายใจหอบยืนจ้องมาทางมิซุคิ
ขณะที่มิซุคิยืนอึ้งตะลึงอยู่ อายะโนะวิ่งเข้ามาแล้วดึงสมุดโน๊ตมาจากมือมิซุคิ
ทั้งที่มิซุคิโดนดึงสมุดไปจากมือ ทั้งร่างกายไม่เคลื่อนไหวแม้แต่เล็กน้อย ได้แต่ทำสีหน้าราวกับกำลังรอความตาย
“อะ….เอ่อ….ฉัน…..เอ่อ….แค่หยิบขึ้นมาเฉย ๆ…..”
อายะโนะจ้องไปที่มิซุคิราวกับนักฆ่าที่กำลังจะก่ออาชญากรรม
“ได้เปิดอ่านมั้ย”
มิซุคิส่ายหน้าแบบสั่นกลัว
“จริงเหรอ”
มิซุคิส่ายหน้าแบบแข็ง ๆ
“ถ้าอ่าน ตายแน่”
น้ำตาไหลลงมาตามแก้มของมิซุคิ
หลังจากนั้น อายะโนะก็เดินออกจากห้องเรียนอีกครั้ง
ผมเอามือไปวางบนไหล่ของมิซุคิที่ตอนนี้ไม่ขยับแม้แต่น้อย
“เอ่อ…โอเคมั้ย”
“น่าจะไม่แล้วล่ะ….”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ….”
—————————————————————————-
เย็นวันนั้น ผมเดินกลับบ้านจากสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก เนื่องจากไม่ได้พกร่มด้วยเลยต้องจำใจเอากระเป๋านักเรียนมาใช้แทนร่มแล้ววิ่งกลับบ้าน
สุดท้ายก็ไม่ได้คุยกับอายะโนะแม้แต่คำเดียว
ผมเดินมาถึงสี่แยก ยืนคิดไปพลาง ๆ ระหว่างรอไฟเขียว อยู่ดี ๆ ก็มีแมวหนึ่งตัวมาคลอเคลียที่ขา
ขนขาวจนน่าตกใจ หางตั้งขึ้น มองขึ้นมาที่ผม
น่ารักดีนะ แมวของใครหรือเปล่าเนี่ย
แมวตัวนั้นสละตัวออกจากขาผม พุ่งลงไปที่ถนนทั้ง ๆ ที่ยังเป็นไฟแดงอยู่
เห้ย! เดี๋ยว! ยังไฟแดงอยู่นะ เดี๋ยวก็โดนรถทับตายหรอก
พอหันข้างไปก็เห็นรถบรรทุกขนาดใหญ่กำลังวิ่งมาทางนี้พอดี
“เห้ย ๆ ๆ ๆ เดี๋ยวก่อนนนน!”
ผมมองกลับไปที่แมวตัวนั้นทั้ง ๆ ที่ยังช๊อกอยู่ แมวก็ยังเดินแบบเชื่องช้า ยังเดินข้ามถนนไปได้ไม่ถึงครึ่ง
ทางด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นร่างกายก็เหมือนถูกดึง
ขาเริ่มขยับเองทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการสั่งการ
เสียงแตรรถบรรทุกกึกก้องไปทั้งถนน แมวตัวนั้นเหมือนจะรู้ตัว แต่ก็ยืนอยู่นิ่ง ๆ กลางถนน ดูท่าทางจะช็อกจัด แต่ทำไมตัวผมถึงพุ่งไปหาแมวตัวนั้นล่ะ
ตอนนี้รถบรรทุกอยู่ห่างจากตัวผมกับแมงเพียงไม่กี่เมตร
ชิบหาย นี่ผมจะต้องตายที่นี่เหรอ
ขณะที่ผมกำลังเตรียมใจตาย มือที่ยื่นออกไปเกือบจะถึงตัวแมวแล้ว เท้าผมเหยียบลงไปบนพี่ถนนที่ลื่นเนื่องจากฝนที่กำลังตก ตัวผมพุ่งพร้อมกลิ้งไปข้างหน้า
หัวกระแทกกับคอนกรีตอย่างจัง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆฝนกลับมาในสายตาอีกครั้ง
“โอยยย”
ผมกระพริบตาด้วยความหวาดหลัว รถบรรทุกที่เมื่อกี้อยู่ติดตัวผม ตอนนี้เห็นได้แค่หลังรถที่วิ่งห่างออกไป
ดูเหมือนว่าตัวผมจะข้ามถนนมาได้อย่างหวุดหวิด หัวไปกระแทกเข้ากับฟุตบาท
“ช่ว….ช่วยได้หรือเปล่านะ”
“เหมียวว”
“หืม”
ทาท่างว่าตอนที่ลื่นล้มตรงกลางถนน ผมน่าจะกอดแมวขาวตัวนั้นข้ามมาด้วยแบบไม่รู้ตัว ตอนนี้แมวยังขยับไปมาในอ้อมแขนของผม
“โอ้ว นายก็รอดมาได้เหรอ เหมือนว่าเราจะเป็นหนี้ชีวิตกันและกันแล้วนะ ต่อไปก็ดูรอบ ๆ ให้ดีก่อนข้ามถนนนะ”
ยังไงก็คงไม่เข้าใจภาษาคนหรอกนะ
แมวขาวกระดจนออกจากแขนของผม หันหน้ากลับมาแล้วส่งเสียง “เหมียวว” หนึ่งรอบ
“…..หืม”
แมวขาวจ้องมาที่ตัวผมสักพัก แล้วก็เดินมาที่ขาพร้อมดึงชายกางเกงผมด้วยการกัด
“อะไรเหรอ”
แมวเดินออกห่างจากผมอีกนิดแล้วหันกลับมาร้อง “เหมียว” อีกครั้ง
หรือว่า กำลังพยายามจะบอกว่า ตามมานี่ หรือเปล่านะ อะไรกัน ถูกช่วยไว้ก็เลยจะให้อะไรตอบแทนงั้นเหรอ เอาจริง ๆ ก็เคยเห็นในหนังนะ
“เหมียววว”
“……………”
—————————————————————————-
ใช้กระเป๋าเปียกชุ่มแทนร่ม ผมเดินตามแมวขาวที่ผมเพิ่งช่วยไป
ฝนยังตกอยู่แท้ ๆ ที่ผมกำลังทำอะไรอยู่นะ
ขณะที่ผมกำลังคร่ำครวญท่าทางอันแปลกประหลาดในวันนี้ของผม แมวขาวก็พาผมมาถึงบันใดขึ้นเขาเก่า ๆ ทำจากหิน แล้วก้าวขึ้นไปหนึ่งขั้น ป้ายข้าง ๆ เขียนไว้ว่า “ศาลเจ้าแมว”
ศาลเจ้าแมว……………….? แมว? มีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย
ผมเดินตามแมวขึ้นบันไดไปแบบกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ เมื่อเห็นว่าดูท่าทางแล้วแมวจะทีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับสถานที่แล้ว ตัวผมก็หยุดความกลัวและความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ได้
“เหมียววว”
ตอนนี้แมวขาวอยู่บนบันไดขึ้นที่สูงไปกว่าผมระดับหนึ่ง หันกลับมาแล้วร้องอีกหนึ่งครั้ง
รอบข้างบันไดหินตอนนี้เห็นได้แต่ป่าไผ่ ไม่มีสัญญาณของผู้คนแม้แต่เล็กน้อย แม้จะพยายามแต่ก็ไม่
สามารถมองเห็นตึกหรือสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ เมื่อหันกลับไปทางบันใดที่เดินขึ้นมาก็มองไม่เห็นอะไรแล้วเพราะหมอกที่หนา
นี่มันอะไรกัน โคตรน่ากลัวเลย
กิ้ง เสี่ยงแหลมของกระดิ่งกระทบกับแก้วหู มาจากทางด้านบนของบันไดนี้แน่ ๆ
เอ๊ะ จะว่าไป แมวขาวตัวนั้นหายไปใหนแล้วล่ะ
ไม่จริงน่า นี่ผมถูกทิ้งอยู่คนเดียวเหรอ
ขาของผมขยับขึ้นบันไดเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ พอรู้ว่าผมอยู่คนเดียวแค่ยืนอยู่นิ่ง ๆ ก็น่ากลัวแล้ว
ไอ้บันไดนี่ มันจะขึ้นไปถึงเมื่อไรกันห่ะ แค่นี้ก็ไกลมากแล้วนะ
“ฮัลโหลลลลล มีใครได้ยินมั้ย ตอบด้วย”
ไม่มีเสียงตอบ
“มีใครอยู่มั้ยยยยย”
ผมตะโกนออกไปด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความกลัว
“ฮัลโหลลลลล”
กิ้ง เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง
ตัวผมยืนอยู่กับที่ มองตรงไป ข้างหน้าของผมมีซุ้มประตูศาลเจ้าสีแดง
ผมเดินลอดใต้ซุ้มประตูเข้าไปแบบตัวสั่น สังเกตุบรรยากาศรอบข้างในเวลาเดียวกัน หมอกที่ปกคลุมไปทั่วอยู่ ๆ ก็หายไป ทำให้เห็นศาลเจ้าเป็นพื้นหลังได้ชัดเจน ระหว่างตัวผมและศาลเจ้า แมวขาวตัวเมื่อกี้ถูกกอดโดยเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
ชุดกิโมโนสีแดงสดที่ยาวถึงต้นขา กระดิ่งขนาดใหญ่ห้อยอยู่ที่คอ รองเท้าทำจากไม้ ผมยาวถึงขาที่สีแดงโทนเดียวกับชุดกิโมโน เหนือหัวมีปีกสีใสที่ป้องกันเม็ดฝน
บนหัวมีหูแมวทั้งสองข้าง ข้างหลังมีหางเรียวยาวที่กระดิกไปกระดิกมา
เธอลูบหัวแมวขาวที่กอดอยู่หนึ่งรอบ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เธอช่วยชีวิตเจ้านี้ไว้สินะ มนุษย์ อย่างน้อยให้ข้าได้แสดงความขอบคุณสักหน่อยสิ”
อ๋อ…..อย่างนี้นี่เอง……เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เที่ยวไปทำให้คนอื่นเชื่อว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าสินะ หลอกผมไม่ได้หรอก ไอ้ปีกบนตัวนั่นต้องมีเชือกยึดไว้สินะ
เธอมองขึ้นบนฟ้า
“จะว่าไป ฝนนี่เสียงดังน่ารำคาญเนาะ”
เธอดีดนิ้วหนึ่งรอบ ทันใดนั้นฝนที่เมื่อกี้ยังตกหนัก ก็หยุดลงทันที
ให้ตายสิ นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์หลัง ๆ นี่น่าประหลาดใจนะเนี่ย
“เอาละ ดีขึ้นหน่อย เอาละมนุษย์ หยุดยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นแล้วตามข้ามา”
เธอยกนิ้วขึ้น ตัวผมอยู่ดี ๆ ก็ลอยขึ้นตามการเคลื่อนไหวของนิ้วนั้น เธอชี้นิ้วไปข้างหลัง แล้วตัวผมก็ลอยเข้าไปในห้องตรงกลางของศาลเจ้า
ว้าววววววววว นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์หลัง ๆ นี่น่าประหลาดใจจริงจริ๊งงงงงงงงง
……ไม่ ๆ ๆ ๆ พอแล้ว ผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกแล้ว ไอ้นี่มันของจริงนี่หว่า
เธอเดินมาถึงตรงหน้าผม แล้ววางผมลงบนพื้นแบบเบา ๆ
“ข้าคือเทพเจ้าแห่งแมว เป็นผู้ปกครองศาลเจ้านี้ เพราะเธอชีวิตเจ้าบิยะคุยะไว้ เธอจะได้สิทธิ์เรียกฉันว่าเทพเจ้า”
“ยิน…ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อโคตะ นิตะเคะ เอ่อ…บิยะคุยะนี่คือ….”
“ชื่อแมวตัวนี้น่ะ”
“อ๋อ….อย่างนี้นี่เอง”
หนังหน้าของผมตึงเปรี๊ยะ เอาจริง ๆ มันก็ควรอยู่หรอก ไอ้คน…เอ้ย เทพเจ้าตรงหน้าเพิ่งจะหยุดฝนให้เห็นต่อหน้าต่อตา แถมยังทำให้ผมลอยได้โดยไม่แตะด้วย ถ้าเผลอทำให้โกรธละก็คงได้บทลงโทษที่ไม่มีใครคาดเดาได้เป็นแน่
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะออกจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุด
“เอ่อ…ผมกลับแล้วนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“รอก่อน เธอไม่ได้ต้องไปทำงานพิเศษต่อนี่นา อย่าเพิ่งรีบกลับสิ”
นี่รู้ตารางงานพิเศษของผมได้ไงเนี่ย
“ในฐานะนี่เธอช่วยเจ้าบิยะคุยะไว้ จะให้กลับโดยไม่ให้อะไรตอบแทนก็กระไรอยู่ เอางี้ เธอสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ แล้วข้าจะทำให้เป็นจริง”
“ขอบคุณมากครับ แต่ว่าผมไม่….”
“ไม่ได้ ถ้าให้เธอกลับโดยที่ไม่ได้ตอบแทนจะทำให้ชื่อเสียงข้าเสียหายนะ”
“ถ้างั้น ช่วยบอกทางกลับได้มั้ยครับ แค่นี้ก็พอแล้วครับ”
“เธอเนี่ย เป็นพวกที่ไม่กล้าพูดขอพรตรง ๆ สินะ”
“เอ่อ ไม่ใช่อย่า…”
“หยุดก่อน ถ้างั้นข้าจะลองดู ถึงจะใช้พลังนิดหน่อยก็เหอะ แต่เดี๋ยวจะเอาความปรารถณาที่ซ่อนอยู่ในใจเธอออกมาให้”
ทันใดนั้น เด็กผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าเทพเจ้าแมวก็แตะพื้นด้วยรองเท้าไม้หนึ่งรอบ ทันใดนั้น ร่างกายบาง ๆ ของเธอก็ลอยขึ้นไปบนอากาศอยู่กลางห้องในศาลเจ้า เธอเอาหน้าพุ่งมาใกล้ผมถึงขึ้นรู้สึกถึงลมหายใจได้ จ้องหน้าผมด้วยดวงตาอันแหลมคม
ตอนนี้ผมไม่สามารถเบี่ยงสายตาออกจากหน้าเธอได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตแปรสภาพเป็นความทรงจำคล้ายภาพยนต์ที่ถูกเล่นไปเรื่อย ๆ แบบเร่งความเร็ว ทั้งความทรงจำสมัยยังเป็นทารกที่ผมลืมไปแล้ว ภาพสมัยเด็กที่ยังเหลืออยู่แบบเลือนลาง สิ่งที่ไม่อยากคิดถึง ทุก ๆ อย่างถูกอัดรวมกันแล้วดันเข้ามาในหัวผม
ราวกับว่าความทรงจำทั้งหมดของผมถูกอ่าน เป็นความรู้สึกน่ากลัวแบบบอกไม่ถูก
หลังจากนั้นภาพยนต์แห่งความจำก็หายไป ตรงหน้าเหลือเทพเจ้าแมวยืนอยู่ เอามือจับที่คางราวกับกำลังครุ่นคิดอยู่ แล้วทำสีหน้าเหมือนคิดอะไรออก
“สรุปคือ นายอยากคืนดีกับผู้หญิงที่ชื่ออายะโนะอะไรนั่นใช้มั้ย”
ความรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบแล่นไปทั่วร่างกายผม ภาพอายะโนะที่น้ำตานองหน้าขณะวิ่งออกจากห้องเรียนภาพเมื่อเช้าที่อายะโนะพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “น่ารำคาญน่า หลีกไป” ภาพอายะโนะวันนี้ที่มองผมด้วยสายตาเฉียบคม ลอยกลับเข้ามาในหัวผม
สิ่งที่ผมอยากจะพูดค้างอยู่ในลำคอไม่สามารถเปล่งเสียงออกไปได้ จนกระทั่งเทพเจ้าแมวพูดว่า “ตามมา” แล้วเดินไปที่แท่นบูชา ผมยังยืนงง ไม่สามารถรวบรวมสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่ จนกระทั่งบิยะคุยะมาคลอเคลียที่ขาผมอีกครั้ง ราวกับอยากให้ผมทำตามคำสั่งของเทพเจ้าแมว
เทพเจ้าแมวเดินมาถึงกล่องบริจาคเก่า ๆ แล้วบอกว่า “เธอรอตรงนี้นะ” จากนั้นเธอก้มลงไปหาของใต้แท่นบูชา
ขณะเดียวกัน ก็ได้ยินเสียงเทพเจ้าแมวพูดคนเดียว
“เอ่อ….เก็บไว้ที่นี่ใช้มั้ยน้าาา ตรงนี้ก็ไม่อยู่ นี่ก็ไม่ใช่ เดี๋ยวนะ! นี่มันมังงะที่กะจะอ่านมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ มาอยู่ที่นี่นี่เอง ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
“เอ่อ…ท่านเทพเจ้าครับ”
“เหมียววว!? เอ่อ…ไม่…ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าไม่ได้อ่านมังงะอะไรนั่นหรอกนะ จริงจริ๊งงง แค่ของที่จะทำให้เธอสมปราถนาได้มันอยู่แถวนี้นี่แหละ เธอรอแบบเงียบ ๆ ไปนะ!”
ผมนั่งลูบหน้าท้องบิยะคุยะที่กำลังนอนหงายแล้วเอาสี่ขาตะเกียดตะกายเพื่อฆ่าเวลา จนได้ยินเสียงของเทพเจ้าแมวอีกครั้ง
“อ่า อยู่นี่นี่เอง! เดี๋ยวนะ ทำไมมันเหมือนกันทั้งสองชิ้นเลยล่ะ อ๋อ หนึ่งในนี้คือที่ใช้เปลี่ยนมนุษย์เป็นแมลงวันนี่นา ว่าแต่อันใหนล่ะ…. อันนี้ หรือว่าอันนี้นะ โอยย จำไม่ได้แล้วว เอ่อ….น่าจะอันนี้มั้ง แปลว่าต้องใช้อีกอัน”
เทพเจ้าแมวนั่งเลือกอยู่พักนึง แล้วเดินกลับมาที่ผม เธอยื่นมือแบบภาคภูมิใจมา ในมือมีลูกอมทรงกลมขนาดเล็ก
“เอาละมนุษย์ เธอกินไอ้นี่”
“เดี๋ยวก่อน เมื่อสองนาทีที่แล้วยังได้ยินว่าไอ้นี่จะเปลี่ยนคนเป็นแมลงวันอยู่เลย”
“ไม่ต้องห่วง อันนี้ไม่ใช้อันที่กินแล้วกลายเป็นแมลงวัน….น่าจะ”
“น่าจะ…งั้นถ้ากินแล้วจะเกิดอะไรขึ้นครับ”
เทพเจ้าแมวยิ้มมุมปาก
“นี่คือลูกอมที่กินแล้วจะ [สามารถได้ยินเสียงในใจของเพศตรงข้ามได้หนึ่งวัน] ยังไงล่ะ”
“เอ่ออ เสียงในใจ…”
“ใช้แล้ว เธออยากคืนดีกับผู้หญิงที่ชื่ออายะโนะ แต่ไม่รู้ว่าจะขอโทษยังไงดีใช้มั้ยล่ะ แต่ถ้าอ่านใจเธอได้ ทีนี้จะขอโทษยังไงก็ไม่ยากแล้วใช้มั้ยล่ะ”
“ไม่ใช่ ๆ คือว่าของอย่างนั้นมัน…..”
กำลังจะพูดว่าไม่จำเป็น แต่ก็กลืนคำพูดตัวเองลงไป
ถ้าอ่านใจอายะโนะได้จริง ๆ ละก็ ก็จะรู้ว่าอายะโนะไม่พอใจเรื่องอะไร แล้วก็อาจจะจะแก้ใขความบาดหมางนี้ได้ทันที
แต่ว่า ผมควรทำอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ หรือว่าผมควรขอโทษอายะโนแบบจริงใจ
แต่ว่า ถ้าขอโทษแล้วไม่ยกโทษให้จะทำอย่างไรล่ะ
จริงสิ ผมรู้สึกเสียใจมาตลอดเพราะวันนั้นผมไม่ได้วิ่งตามอายะโนะไป ถ้ารู้สึกเสียดายเพราะไม่ได้ทำ ผมเลือกที่จะเสียใจแต่พยายามไปแล้วดีกว่า
เทพเจ้าแมวน่าจะอ่านความคิดของผมได้ เธอพูดต่อทันที
“ถ้าคิดอย่างนั้นได้แล้วก็กลืนลูกอมซะสิ อย่างน้อยมันก็จะช่วยเธอได้ไม่มากก็น้อยนะ”
“กลืน…อารมณ์เหมือนยาเถื่อนเลยนะ…”
“เถื่อนอะไรกัน!!”
“ก็ดูสิ ไม่มีซองห่อ ไม่มีคู่มืออะไรเลยนะ ถ้ากินเข้ากระเพาะพังล่ะ”
“พังอะไรกัน!!!! เอาน่ารีบ ๆ กลืนไปสิ”
ผมรวบรวมความกล้า แล้วเอาลูกอมเข้าปาก
ในปากรับรสชาติความหวานที่กระจายไปทั่ว แล้วรู้สึกได้ว่าลูกอมไหลผ่านลำคอลงไป
“หวานกว่าที่คิด อร่อยนะเนี่ย”
“ใช่มั้ยล่ะใช่มั้ยล่ะ แต่ว่านะ ในการที่จะได้พลังนั้นก็จะมีผลข้างเคียงอยู่บ้างแหละ แต่เดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องห่วง”
“ผลข้างเคียง? จะเป็นอะไรเหรอ—”
เสียงที่ตัวเองพูดออกไป สะท้อนในหูตัวเองแบบดังสุดขีด
“อึก! อ๊ากกก! เสียง! เสียงผม!”
ถึงแม้จะตะโกนความเจ็บปวด เสียงทั้งหมดก็สะท้อนกึกก้องในหัว รู้สึกเหมือนมีเข็มจิ้มเข้ามาในหู
“หัวผม! เหมือนหัวจะแตก….”
ทันใดนั้น เสียงฝุ่นกระทบพื้น เสียงจากลำคอผม เสียงหัวใจเต้น เสียงต่าง ๆ ที่ดังแบบไม่เคยได้ยินมาก่อน รวมตัวกันเหมือนคลื่นยักษ์ที่ซัดเข้ามาหาตัวผม
โอดครวญจากความเจ็บปวด สติที่เริ่มจางหายไป ได้ยินเสียงสุดท้ายเป็นเสียงกระดิ่ง กิ้ง