เปิดตำนานจอมเวทผู้สร้างเขตเเดน Mage of the boundary - ตอนที่ 4 สายลับ
สำหรับคนในหมู่บ้านราดอนเสาเพลิงมหึมาที่พุ่งขึ้นสูงเท่าก้อนเมฆเปรียบเหมือนบทลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า
“โอ้ท่านออโรร่าได้โปรดอภัยให้พวกเราด้วย” สายตาของคนเฒ่าคนเเก่ในหมู่บ้านล้วนจ้องมองเสาเพลิงยักษ์ด้วยความเลื่อมใส พวกเขาคุกเข่าสวดมนตร์อ้อนวอนด้วยความศรัทธา
กระทั่งชายวัยกลางคนร่างใหญ่ เกล ราดอน ผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ยังไม่กล้าทำอะไรผลีพลาม สีหน้าของเขาตึงเครียดจริงจัง เเตกต่างจากคนทั่วไปที่คิดว่ามันคือบทลงโทษของพระเจ้าเขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือเวทมนตร์ …..ทั้งยังไม่ใช้เวทมนตร์ระดับต่ำเเต่เป็นเวทมนตร์ระดับกลางชั้นยอด ใครกันที่เป็นคนร่ายเวทมนตร์พรรคนี้ออกมากัน
หากเป็นเป็นจอมเวทนิรนามที่ผ่านมาก็คงดีไป ทว่าหากผู้ที่ร่ายเวทมนตร์บทนั้นเป็นสัตว์อสูรชั้นสูงหรือปีศาจละก็หมู่บ้านราด้อนคงได้จบสิ้นเเน่
“การิก….ตำเเหน่งที่เสาเพลิงเกิดขึ้นเป็นพื้นที่ที่เจ้าดูเเลอยู่ เจ้าได้สังเกตุเห็นสิ่งผิดปรกติอะไรระหว่างที่ออกลาดตระเวนบ้างไหม”
การิกเเสดงสีหน้าปั้นยาก เขามองซ้ายมองขวารอบๆ ก่อนจะยกมือป้องปากเเล้วกระซิบเบาๆ “…..ท่านเกล ท่านอาจจะไม่เชื่อข้า เเต่ข้าคิดว่าเสาเพลิงน่าจะเกิดจากสิ่งประดิษฐ์ที่เจ้าหนูดีออนสร้าง”
“นี่ไม่ใช้เวลามาล้อเล่น !! ถ้าเจ้าไม่รู้ก็ตอบมาตามตรง ”
“เเต่ข้าพูดจริงนะ…..”
การิกอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ไม่เเปลกที่เกลจะไม่เชื่อขนาดตัวเขาเองตอนเเรกก็ยังไม่อยากเชื่อตัวเองด้วยซ้ำ เเต่ทั้งตำเเหน่งที่เกิดเสาเพลิงทั้งความรุนเเรงที่ดีออนเป็นคนบอกเองว่าน่าจะเทียบได้กับเวทมนตร์ระดับกลางทำให้ในใจการิกมั่นใจกว่าครึ่งว่าเสาเพลิงที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของเด็กหนุ่ม
เเน่นอนว่าไม่ว่าการิกจะพยายามอธิบายไปมากเท่าไรท่านหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ยอมเชื่อ เขาพยายามเเก้ตัวไปตลอดทางที่ตัวเองมุ่งไปยังจุดเกิดเหตุ
ทั้งสองเดินผ่านเขตหมู่บ้านเเละเข้ามาในพื้นที่ในป่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวมากเนื่องจากเสาเพลิงนรกโลกันต์ได้ไล่สัตว์อันตรายที่อยู่บริเวณนี้ออกไปหมดเเล้ว
“หยุดพูดซะ…..”
การิกหยุดพูดตามคำสั่ง ดวงตาเหม่อมองสภาพของป่าสูงใหญ่ที่บัดนี้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นหลุมลึก เวทมนตร์เสานรกโลกันตร์กินพื้นที่วงกลมรัศมีประมาณ 5 เมตร ชายวัยกลางคนทั้งสองคนมองเห็นสัตว์ป่ารูปร่างคล้ายหมี 2 ตัวที่นอนตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มองเห็นซากต้นไม้ที่ดำเหมี่ยมเเละมองเห็นร่างๆ หนึ่งที่ไหม้เกรียม
“มนุษย์ !!!!!”
สีหน้าของชายทั้งสองเปลี่ยนไปทันที พวกเขารีบพุ่งไปยังใจกลางของหลุมลึกก่อนสำรวจร่างไร้วิญญาณด้วยความร้อนรน ผู้ชายคนนี้เเต่งกายด้วยชุดนักล่าสวมเกราะเบาบริเวณต้นเเขนเเละขา ร่างกายเเทบจะหลอมเป็นเนื้อเดียวกับเสื้อผ้า ใบหน้าเหลวดวงตาหลุดออกส่งกลิ่นเหม็นไหม้ กระทั่งกระดูกยังถูกเผาเป็นเถ้า สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่คงจะมีก็เเต่เหรียญตราประทับทรงกลมเท่านั้นที่ทั้งสองคนพอจะเก็บกู้กลับมาได้
“เหรียญตราของจักรวรรดิ์เพเนีย”
ใบหน้าของชายวัยกลางคนทั้งสองเปลี่ยนเป็นตึงเครียด จักรวรรดิ์เพเนีย เป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตติดกับมหานครเเห่งเวทมนตร์อาคาเดีย ที่พวกเขาอาศัยอยู่ ทั้งสองอาณาจักรมีความสัมพันธุ์ที่ไม่ลงรอยกันเนื่องจากต่างอาณาจักรต้องการอ้างสิทธิ์ของเหมืองเเร่หินมานาที่ตั้งอยู่บริเวณเเนวเทือกเขาที่มีพื้นที่ติดกัน เเม้จะไม่ถึงขั้นก่อสงครามเเต่เเทบทุกคนในอาณาจักรก็เดาได้ว่าในอีกไม่ถึงปีจะต้องมีการปะทะกันเกิดขึ้น
“หมอนี่คือสายลับที่จักวรรดิ์เพเนียส่งมา”
สายลับของจักรวรรดิ์เพเนียมีความเเข็งเเกร่งเทียบเท่าจอมเวทระดับกลางของมหานครเเห่งเวทมนตร์อาคาเดีย พวกเขาคือคนที่มีระดับพลังเวทอย่างน้อย 1000 หน่วยขึ้นไป การที่สายลับมาเสียชีวิตในพื้นที่เขตชายเเดนที่ไร้ซึ่งอันตรายย่อมทำให้เกิดข้อสงสัยมากมาย เกลตระหนักได้ดีว่าตอนนี้สิ่งที่เขาเจอนั้นอันตรายยิ่งกว่าการได้พบกับสัตว์อสูรชั้นสูงที่ผ่านมาเสียอีก
“การิกกลับหมู่บ้านเเล้วส่งม้าเร็วไปเเจ้งท่านบารอนราเจสเดี่ยวนี้”
“ได้ !!”
เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับอาณาจักร ชายวัยกลางคนทั้งสองก็ไม่กล้าสำรวจไปมากกว่านี้ การตายของสายลับในเขตชายเเดนที่ไม่น่ามีอันตรายใดๆ ย่อมทำให้จักวรรดิ์เพเนียเกิดความสงสัย เเม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเเค่สายลับชั้นต่ำที่ถึงตายไปก็ไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นเเต่สำหรับเกลเเละการิกพวกเขาไม่กล้าเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
เมื่อเกลกลับมาถึงทั้งหมู่บ้านเขาก็ประกาศว่าเสาเพลิงนั้นเกิดขึ้นจากจอมเวทนรินามผู้หนึ่งที่ผ่านมาเสียพอดี คนในหมู่บ้านกังวลไม่น้อยเเต่เนื่องจากภัยอันตรายยังไม่มาถึงตัวทุกคนจึงยังเเสร้งทำเป็นปรกติ ถึงอย่างไรเสียบ้านเกิดของพวกเขาก็อยู่ที่นี้ทั้งยังมีคนเฒ่าคนเเก่มากมายที่ไม่สามารถย้ายไปที่อื่นได้ เกลประเมินเเล้วว่าพวกตนยังไม่จำเป็นต้องอพยพเพียงเเต่ออกคำสั่งให้ระมัดระวังคนเเปลกหน้าที่อาจเข้ามาในหมู่บ้าน
ดีออนกลับเป็นคนเดียวที่รู้ถึงคำโกหกของหัวหน้าหมู่บ้าน เพราะเวทมนตร์ของเขาทำให้คนทั้งหมู่บ้านเดือดร้อนขนาดนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีคนเสียชีวิต ไม่อย่างนั้นเเล้วเด็กชายคงได้รู้สึกผิดไปชั่วชีวิต
“เราดูถูกพลังของเวทมนตร์ระดับกลางมากเกินไป”
เวทมนตร์ระดับกลางที่ถูกร่ายด้วยพลังเวท 1000 หน่วย รุนเเรงกว่าเวทมนตร์ระดับต่ำที่ร่ายด้วยพลังเวท 100 หน่วย 10 ครั้งหลายเท่า ดีออนประเมินพลังของม้วนคัมภีร์ในมือตัวเองผิดไปมากโข
เวทมนตร์ระดับต่ำบอลเพลิงที่ถูกร่ายด้วยพลังเวท 100 หน่วย สามารถสร้างบอลไฟขนาดครึ่งตัวคน อานุภาพของมันเพียงพอจะทำให้ผู้ใหญ่ร่างกายเเข็งเเรงหนึ่งคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าม้วนคัมภีร์ที่ดีออนสร้างกลับมีอานุภาพมากเสียจนเปลี่ยนป่าในรัศมี 5 เมตรให้กลายเป็นหลุมลึก คลื่นเปลวเพลิงนั้นร้อนระอุจนเเม้เเต่คนในหมู่บ้านยังเเสบผิว เด็กชายประเมินดูเเล้วพบว่าตัวเองต้องร่ายบอลเพลิงทั่วไปอย่างน้อย 50 ลูกถึงจะมีพลังทัดเทียมเสาเพลิงนรก
“คราวหน้าคงต้องลดพลังเวทลงหน่อยเเหละมั้ง”
“อะ….เเล้วก็ต้องทำให้ปล่อยเวทมนตร์ได้สะดวกกว่านี้ด้วย”
เมื่อคิดได้เด็กชายก็จมอยู่กับห้วงความคิดของตัวเอง เขาวางกระดาษเเละหมึกเวทมนตร์ลงบนโต๊ะทำงานตัวเก่ง สมาธิของเขาจดจ่ออยู่กับเเค่การเขียนอักขระเวทมนตร์
ก่อนหน้านี้ดีออนทุ่มเทเวลาให้กับการปรับเเต่งจนลืมเรื่องการปลดปล่อยเวทมนตร์ เเต่หลังจากได้เห็นพลังของเสาเพลิงโลกันต์เขาก็มีไอเดียบรรเจิดใหม่ๆ มากมายที่อยากทำ ดีออนเริ่มจากเเก้สมการเวทเเละปรับให้เวทมนตร์ทำงานเมื่อผู้ใช้ใช้พลังเวทควบคุมหมึกเวทในกระดาษให้เป็นในรูปเเบบที่กำหนด เเม้วิธีการนี้จะทำให้กินพลังเวทมากขึ้นเเต่ก็นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ดีออนมักใช้เวลาช่วงเช้าวาดวงเวทเเละใช้เวลาที่เหลือของวันไปกับการศึกษาตำราของผู้เป็นพ่อ หากวันใดเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายเด็กชายก็จะรื้อวงเวทเก่าๆ ของพ่อออกมาหาข้อบกพร่อง เขาเเก้ไขวงเวทให้ใช้พลังเวทลดลงเเต่มีประสิทธิ์มากขึ้น
เด็กชายไม่มีทางรู้เลยว่าในเวลาเพียงเเค่ 3 เดือนหลังจากนั้นความเข้าในศาสตร์เเห่งคัมภีร์เวทของเขาก็ก้าวข้ามคนที่ทำม้วนคัมภีร์เวทเเทบทุกคนในอาณาจักรไปเสียเเล้ว
กระทั่งเหล่านักล่าที่มาซื้อสินค้าเป็นประจำยังรู้สึกได้ถึงความผิดปรกติ หลายคนสังเกตุเห็นว่าร้านของดีออนมีม้วนคัมภีร์ที่เพิ่มขึ้นทั้งยังมีประสิทธิ์ภาพดีกว่าของเก่าอย่างเทียบไม่ติด
“ดีออนน่ะหรอ ?? เจ้าเด็กนั้นเนี่ยนะเป็นคนเขียนม้วนคัมภีร์เวทมนตร์พวกนี้”
“ใช้เเล้วละ” ผู้เป็นพ่อยืดอกพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เเม้ม้วนคัมภีร์เวทมนตร์จะมีราคาเเพงเเต่ก็มีความต้องการไม่น้อย รายได้ของบ้านเบกเกอร์เพิ่มขึ้นเกือบครึ่งตั้งเเต่ที่เด็กชายหันมาสนใจการสร้างม้วนคัมภีร์เวทมนตร์ เขาสร้างพวกมันได้ถึงวันละ 2 ม้วนทั้งยังมีประสิทธฺิ์ดีกว่า ขนาดพ่อของดีออนขึ้นราคาม้วนคัมภีร์ที่เด็กชายสร้างขึ้นอีก 200 เหรียญเเอสต้า (500 เป็น 700) ก็ยังมีคนมาขอซื้ออยู่ไม่ขาด
ทักษะการวาดวงเวทเเละควบคุมเวทมนตร์ของดีออนพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด เดือนที่ผ่านมาเขาสร้างม้วนคัมภีร์เวทมนตร์ระดับกลางขึ้นอีก 3 ม้วน โดยเเต่ละม้วนเขาใช้พลังเวทไปราวๆ 650 หน่วย เเม้จะไม่รู้ว่ามันรุนเเรงเเค่ไหนเเต่เขาเชื่อว่ามันมีความรุนเเรงเทียบเท่าเวทมนตร์ระดับกลางเป็นอย่างน้อย
“ถึงเราจะพัฒนาขึ้นก็เถอะเเต่มันจะไม่มีวิธีในการเพิ่มพลังเวทของจริงๆ น่ะหรอ ??”
ดีออนโอดครวญ หลังจากศึกษาเวทมนตร์มานานเข้าเขาก็ได้รู้ถึงความสำคัญของการมีพลังเวทเยอะ ต่อให้มีพรสวรรค์มากขนาดไหนเเต่เขาไม่สามารถคำนวนทุกอย่างภายในหัวได้ทั้งหมด หากเขาอยากเก่งขึ้นมากกว่านี้ดีออนควรหาวิธีเพิ่มพลังเวทของตัวเองให้ได้มากที่สุด
วัตถุชิ้นเดียวที่ทำเช่นนั้นได้คือหินมานา
“หินมานาระดับกลางซื้อขายกันที่ราวๆ ก้อนละ 10,000 เเอสตร้า เเละมีพลังเวทบรรจุอยู่ 800 หน่วย” 10,000 เเอสตร้าไม่ใช้เงินจำนวนน้อยๆ เลยๆ สำหรับดีออน เงินจำนวนนั้นมากพอจะทำให้ครอบครัวของเขาใช้ชีวิตไปได้ทั้งเดือน
หินมานาจะเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทเมื่อใช้พลังเวททั้งหมด ดีออนคิดว่ามันไม่คุ้มที่จะซื้อมานอกเสียจากเขาจะนำไปหากำไรต่ออีกทอด
“เเต่ถ้าเราเอาม้วนคัมภีร์เวทมนตร์ระดับกลางออกมาขายละ…..” ดีออนคิดกับตัวเองก่อนจะส่ายหัว
“ไม่สิไม่ได้ มันเสี่ยงเกินไป”
“จริงสิ ถ้างั้นทำไมเราไม่ลองดูดซับพลังเวทจากหินมานาระดับต่ำเเทนละ !!” เด็กชายทุบฝ่ามือ หินมานาระดับต่ำมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับหินมานาระดับกลาง ถึงภายในจะมีพลังเวทไม่มากเเต่ถ้าหากเขาทำสำเร็จดีออนจะมีพลังเวทมากพอจะสร้างม้วนคัมภีร์เพิ่มได้อีกหลายม้วน
สีหน้ายินดีปรีดาไปด้วยความไร้เดียงสาเเบบเด็กๆ ปรากฏบนใบหน้า ดีออนยิ้มกว้างรีบวิ่งต่อกๆ เเต่กๆ ไปหยิบหินมานาระดับต่ำที่อยู่ในห้องของตัวเองออกมาทันใด
หลักการใช้หินมานาคือการควบคุมพลังเวทที่อยู่ภายในหินมานาออกมาข้างนอก ยิ่งระดับของหินมานาสูงมากเท่าไรระดับพลังเวทที่บรรจุก็มากขึ้นเท่านั้น เเต่สิ่งที่ดีออนไม่มีทางรู้เลยก็คือมีเพียงหินมานาตั้งเเต่ระดับกลางขึ้นไปเท่านั้นที่ถูกนำมาใช้เป็นเเหล่งพลังเวทสำรอง เหตุผลเป็นเพราะไม่มีจอมเวทคนใดบนโลกที่มีทักษะควบคุมพลังเวทสูงพอจนสามารถดึงพลังจากหินมานาระดับต่ำออกมาใช้ได้
ยิ่งมีระดับพลังเวทมากเท่าไรการควบคุมเวทมนตร์ก็ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น จอมเวทชั้นสูงทั่วไปจะพบว่าพวกเขาควบคุมเวทมนตร์ระดับกลางได้ดีกว่าเวทมนตร์ระดับต่ำ ทว่านั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีพลังเวทน้อยจะควบคุมพลังเก่งกาจกว่า การควบคุมพลังเวทเป็นทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่คนมีพลังเวทน้อยไม่มีทางสู้กับคนที่มีพลังเวทมากได้ พรสวรรค์ไม่อาจสู้พรเเสวงกระทั่งดีออนที่เป็นอัจฉริยะก็ยังเข้าใจปัญหานี้
เเต่ปัญหาในคราวนี้กลับไม่ได้เเก้ง่ายอย่างที่เด็กชายคิด
“เอ๋….ทำไมถึงไม่ได้ผลกันละ” ภายในห้องทำงานที่รกขึ้นทุกวี่ทุกวันด้วยเเผ่นกระดาษใช้เเล้วเเละเศษน้ำหมึก กลับมีกองหินมานาที่ดีออนรวบรวมจากทั่วบ้านมาเก็บไว้ หินมานาระดับต่ำปลดปล่อยพลังเวทจำนวนน้อยนิดจนไม่ต่างอะไรกับการพยายามใช้ปลายนิ้วเท้าหนีบเส้นผม กระทั่งดีออนที่มั่นใจในทักษะควบคุมพลังเวทของตัวเองยังถึงกับเหงื่อตก
ปัญหาของการดึงพลังเวทจากหินมานาระดับต่ำนั้นเรียบง่าย เเต่ในขณะเดียวกันความเรียบง่ายของมันกลับเป็นสิ่งที่เเก้ไขได้ยากที่สุด หอคอยจอมเวทพบว่าการจะมีทักษะควบคุมพลังเวทที่ละเอียดละอ่อนขนาดนั้นได้ดึงพลังเวทจากหินมานาระดับต่ำได้เป็นต้องเกิดในเผ่าพันธุ์ที่มีความเข้ากันได้กับเวทมนตร์อย่างดีเยี่ยมเช่นเอลฟ์หรือมังกรเท่านั้น…..เเละไม่ใช้เเค่เอล์ฟธรรมดาเเต่ต้องเป็นถึงไฮเอล์ฟ ซึ่งมีสถานะทัดเทียมกับเชื้อพระวงศ์ของเอล์ฟ
นอกจากการสร้างม้วนคัมภีร์เวทมนตร์ระดับกลางดีออนก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันง่ายไปเสียทั้งหมด นี่เป็นครั้งเเรกที่เขารู้สึกได้ถึงอุปสรรคครั้งใหม่ที่ต้องเอาชนะ การเรียนรู้เวทมนตร์ไม่เคยทำให้เขาเบื่อเลยซักครั้ง
เด็กชายเเสยะยิ้มกว้างเเล้วหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ภาพที่เขาวาดวงเวทพร้อมกับหัวเราะฮึๆ เหมือนพวกขุนนางชั่วร้ายถึงกับทำให้เบลล่าเเม่ของเด็กชายที่เเวบผ่านมาพอดีถึงกับมีสีหน้าเเปลกประหลาด
“นี่ลูกของเราเป็นอะไรไปเเล้วเนี่ย”
“เเถมห้องก็รกขึ้นทุกวี่ทุกวัน ลูกไม่คิดจะทำความสะอาดหน่อยหรอ ??”
ดีออนจัดตารางเวลาชีวิตส่วนหนึ่งของตัวเองเพื่อการฝึกควบคุมพลังเวทโดยเฉพาะ
เเต่ในวันหนึ่งขณะที่เขากำลังทำการวิจัยม้วนคัมภีร์เวทก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากภายนอก
“นักล่าที่ต่อสู้ได้ทุกคนไปเตรียมอาวุธซะ พวกเรากำลังโดนโจมตี !!!”