เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 169
ตอนที่ 169 โอสถอันตราย
“ทุกสิ่งล้วนเป็นจริงตามที่ใจปรารถนา..” อีกหนึ่งประโยคที่ถูกสลักไว้
แม้จะเป็นเพียงแค่ตัวอักษร แต่หลงเฉินกลับรู้สึกว่ามันมีพลังอย่างน่าประหลาด อักษรประโยคนี้ดูคล้ายกับภาพลวงตา แต่ก็เสมือนจริงในคราวเดียว หลงเฉินจ้องมองอักษรลึกลับประโยคนี้อยู่เนิ่นนาน
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มิอาจรู้ได้ หลงเฉินรู้สึกราวกับว่าเขาได้บรรลบางสิ่งบางอย่าง และเริ่มนั่งขัดสมาธิลงกันพื้น พร้อมกับเฝ้าครุ่นคิดหาคําตอบ
“ความจริงคือสิ่งใด? ภาพลวงตาคือสิ่งใด?”
“ภาพลวงตาคือทุกอย่างที่ข้าคิดขึ้นมา แล้วมันก็กลายเป็นความจริง.. จะแตกต่างกันก็เพียงแค่ ภาพลวงตาอ่อนกําลังประหนึ่งจินตภาพของคนผู้นั้น และสามารถแข็งแกร่งประหนึ่งจิตใจที่แน่วแน่ของคนผู้นั้นเช่นกัน เป็นได้ทั้งสิ่งลวงและเป็นได้ทั้งของจริงตราบใดที่คนผู้นั้นเชื่อว่าจริง ภาพลวงตาไม่จําเป็นต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติของโลก เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง และไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง! ฉะนั้น มันจึงอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง…”
หลงเฉินค่อยๆลืมตาขึ้น พร้อมกับรําพึงรําพันกับตัวเอง..
หลงเฉินหันมองไปรอบกาย และพบว่าตนเองกลับมาอยู่ในห้องตามเดิม และเวลานี้ซุนก็กําลังนั่งอยู่เบื้องหน้า พร้อมกับจ้องมองมาที่เขาแน่นิ่ง
“เวลาล่วงเลยไปกี่ชั่วยามแล้ว?” หลงเฉินเอ่ยถามซุน
“กี่ชั่วยามงั้นรึ?!! เจ้านั่งนิ่งอยู่เช่นนี้อยู่นานกว่าห้าปีแล้ว ข้ายังคิดว่าเจ้าคงจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเป็นแน่..” ซุนจ้องมองหลงเฉินพร้อมกับเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?!!” หลงเฉินร้องอุทานเสียงหลง พร้อมกับผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“ห้าปีจริงรึ?!!” หลงเฉินเอ่ยถามซุนให้แน่ใจอีกครั้ง
“จริงสิ!! หญิงสาวที่ชื่อหมิงยู่นั้นก็ได้จากที่นี่ไปหลายปีแล้ว นางพยายามเรียกเจ้าอยู่หลายครั้งหลายครา แต่เจ้าก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบ นางได้เช่าห้องรอเจ้าอยู่ที่นี่นานถึงสองเดือน แต่เจ้าก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นนี้ นางคิดว่าเจ้าคงไม่ต้องการที่จะช่วยเหลือนาง และต้องการที่จะฝึกวรยุทธบ่มเพาะอยู่ที่นี่” ซุนเอ่ยเล่าเรื่อราวให้หลงเฉินฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
“ห้ะ?!! ข้านึกไม่ถึงจริงๆว่าจะใช้เวลาไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ประหนึ่งว่าข้าได้เข้าไปในโลกทดสอบเลยทีเดียว ข้าควรต้องคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้แล้วสินะ..” หลงเฉินยิ้มขมขื่น
“นี่หมายความว่าข้าก็อายุครบยี่สิบปีแล้วสินะ ไปดูเสียหน่อยว่าข้าในวัยยี่สิบปีจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นใด?” หลงเฉินเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินตรงไปที่กระจก
“นี่เจ้าหลอกข้างั้นรี?!”
หลงเฉินหันกลับไปมองจ้องมองซุนด้วยสีหน้าดุดัน เพราะหลงเฉินในกระจกเวลานี้ ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปีเช่นเดิม ส่วนซุนก็เอาแต่หัวเราะไม่หยุด
“อภัยที่ข้าโกหกเจ้า..ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าเจ้าจะทําสีหน้าเช่นใด? แต่ต้องบอกว่าคุ้มค่ายิ่งนัก!” ซุนเอ่ยตอบและพยายามที่จะกลั้นหัวเราะ
“เอาล่ะ.. ถ้าเจ้าสนุกพอแล้ว ก็บอกข้ามาเสียที่ว่า เวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่แล้ว?” หลงเฉินเอ่ยถามซุน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เพียงแค่เจ็ดวันเท่านั้น ข้าเห็นลูกแก้วแตกออก ย่อมหมายความว่าเจ้าศึกษากฎแห่งภาพลวงตาจนเข้าใจแล้ว และเวลานี้เมล็ดกฏแห่งภาพลวงตาคงก่อตัวขึ้นแล้วสินะ? ข้ายอมรับว่าเป็นการศึกษาทําความเข้าใจที่รวดเร็วยิ่งนัก!” ซุนเอ่ยตอบยิ้มๆ พร้อมกับจ้องมองหลงเฉิน
หลงเฉินจ้องมองเศษลูกแก้วที่แตกกระจายอยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงใช้ญาณหยั่งรู้ตรวจสอบเข้าไปภายในห้วงฝึกยุทธของตน..
เขาพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างคล้ายกับเมล็ดพืชผักล่องลอยอยู่เหนือพื้นขึ้นมาไม่กี่นิ้ว และถูกปกคลุมด้วยเหล่าดวงดารา ทําให้มิสามารถมองเห็นด้านในของเมล็ดได้ มันคือเมล็ดกฏแห่งหัวงมิติทางด้านขวาของมันนั้น มีเมล็ดแห่งกฏอีกหนึ่งล่องลอยอยู่ต่ํากว่าเล็กน้อย เมล็ดที่สองนี้มีลักษณะโปร่งใส ทําให้หลงเฉินสามารถคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่า มันก็คือเมล็ดกฏแห่งภาพลวงตานั่นเอง
จิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของเขายืนอยู่ห่างจากเมล็ดแห่งกฎทั้งสอง ดวงตาทั้งสองข้างปิดอยู่เช่นเคย หลังมือข้างซ้ายมีสัญลักษณ์คล้ายอักขระโบราณปรากฏอยู่ ซึ่งซุนเคยบอกกับเขาว่า มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของเขานั้น มีความเกี่ยวเนื่องกับกฎแห่งห้วงมิติแล้ว
แม้ว่าหลงเฉินจะมิอาจมองเห็น เพราะเสื้อเกราะที่จิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของเขาสวมใส่ปิดบังไว้ แต่เวลานี้ ที่แผ่นหลังส่วนล่างของจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธ ก็ได้มีอักขระโบราณปรากฏขึ้นเช่นกัน
หลงเฉินถอนญาณหยั่งรู้ของตนกลับออกมา พร้อมกับเอ่ยบอกซุนไปว่า “อืมม ข้าบรรลุกฏแห่งภาพลวงตาแล้วเช่นกัน!”
“เจ้าศึกษาเช่นใดงั้นรึ? มันเหมือนกับการที่เจ้าศึกษากฎแห่งห้วงมิติหรือไม่?” ซุนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไม่เลย! มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สถานที่ที่ข้าเข้าไปอยู่นั้นเป็นเมืองมังกร ข้าได้พบกับซี่เม่ย ท่าน แล้วก็เทียนเฉิน แต่นับว่าโชคดีที่ข้าสามารถเอาชนะพวกเขาได้ทุกคน!” หลงเฉินเดินไปนั่งบนเตียงข้างซุน พร้อมกับเอ่ยตอบ
“อะไรนะ?!! เจ้าเอาชนะเทียนเฉินได้เช่นใดกัน? เทียนเฉินหาใช่ผู้ใดที่เจ้าจะสามารถเอาชนะได้ง่ายๆ เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและมีฝีมือในการต่อสู้ยิ่งนักเท่าที่ข้าเคยพบเห็นมา” ซุนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าประมือกับเทียนเฉินในวัยที่เขายังมิได้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะ และยังมิได้ศึกษาวรยุทธต่อสู้ เขาแข็งแกร่งด้วยโอสถประหลาดนั่น.. เจ้ายังจําเรื่องที่เทียนเฉินเข่นฆ่าผู้คนในสํานักดาราได้หรือไม่..?”
หลงเฉินเอ่ยบอกซุนในขณะที่เอนกายนอนบนเตียง..
“เรื่องนั้น.. เจ้ารู้เรื่องพวกนั้นได้อย่างไรกัน?” ซุนเอ่ยถามด้วยสีหน้าตกตะลึง
“อ่อ.. ข้าลืมไปว่าตนเองได้ป้องกันมิให้เจ้าเข้าถึงความคิดของข้าได้ เจ้าจึงมิได้ล่วงรู้ความฝันของข้าในคืนนั้น..” หลงเฉินเอ่ยตอบ
“ในฝันข้าพบเจ้าด้วยนะ เจ้าปรากฏตัวออกมาเพียงแค่ครู่เดียว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็พยายามตักเตือนเขามิให้ใช้โอสถนั่นแล้วเช่นกัน..” หลงเฉินเอ่ยตอบพร้อมกับทําสีหน้าครุ่นคิด
“เหตุใดเจ้าจึงฝันเห็นเทียนเฉินอยู่เรื่อยๆ? ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น..” ซุนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้างุนงงสงสัย
“โอสถที่เขากินเข้าไป แม้จะทําให้เขาแข็งแกร่ง แต่ก็มีผลข้างเคียงอื่นด้วยเช่นกัน..” หลงเฉินเอ่ยขึ้น
“ถูกต้อง.. โอสถนั่นย่อมมีผลข้างเคียงในทางไม่ดี และไม่ดีมากด้วย..” ซุนพึมพําออกมา
“ไม่ดีเช่นใดรี?” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“สูญเสียวรยุทธบ่มเพาะและตายในที่สุด! โอสถนั้นจะมีประโยชน์กับผู้ที่อยู่ต่ํากว่าอาณาจักรจุติพิภพ เมื่อพวกเขาใช้โอสถนี้ ความแข็งแกร่งของร่างกายจะพัฒนาขึ้นอย่างไม่ปกติ แม้แต่ผู้ที่ไม่เคยฝึกวรยุทธบ่มเพาะมาก่อน ก็สามารถรับมือกับยอดฝีมือขั้นอาณาจักรจุติพิภพได้อย่างง่ายดาย และหากยอดฝีมือขั้นอาณาจักรแก่น ปราณทองคํากินโอสถนี้เข้าไป เขาก็จะสามารถรับมือกับยอดฝีมือในขั้นอาณาจักรราชันสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย แต่หลังจากนั้น.. ก็จะต้องตาย!” ซุนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คนผู้นั้นจะต้องสูญสิ้นวรยุทธบ่มเพาะทั้งหมดที่ฝึกฝนมาเมื่อเข้าสู่ขั้นอาณาจักรราชั้นสวรรค์ และจะต้องฝึกใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า และหาคนผู้นั้นมิสามารถเข้าสู่ขั้นอาณาจักรราชันสวรรค์ได้ภายในห้าสิบปี คนผู้นั้นจะต้องตายด้วยอาการหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ซุนอธิบายเสียงเบาในขณะที่นั่งก้มหน้า
“ช่างเป็นโอสถที่ร้ายแรงยิ่งนัก! จะต้องตายภายในห้าสิบปี หากมสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นอาณาจักรราชันสวรรค์ได้..” หลงเฉินถึงกับตกตะลึง และคิดถึงว่าตนเองจะต้องเป็นเช่นใด หากเผลอกินโอสถนี้เข้าไปโดยไม่รู้ผลข้างเคียงที่แท้จริงของมัน
“เช่นนั้นแล้ว.. เมื่อเข้าสู่อาณาจักรราชั้นสวรรค์ได้แล้ว เทียนเฉินก็ต้องสูญสิ้นพลังบ่มเพาะทั้งหมดของตน และต้องกลับมาเริ่มต้นที่อาณาจักรปรับกายาอีกครั้งสินะ” หลงเฉินพึมพํา
“การที่เขาไม่สามารถฝึกวรยุทธบ่มเพาะพลังในครั้งนั้นได้ หาใช่เพราะเขาขาดพรสวรรค์.. พวกเราหยุดคุยเรื่องราวในอดีตดีกว่า เจ้ายังมีสิ่งใดอยากจะถามข้าอีกหรือไม่?” ซุนเอ่ยตอบหลงเฉิน
“เหตุใดผู้สืบสายโลหิตคนอื่นๆ จึงได้ดาบ หรือไม่ก็โอสถ แต่เหตุใดข้าจึงได้แต่ไข่ที่ไม่ยอมฟักตัว..” หลงเฉินเอ่ยถามซุนด้วยสีหน้าหงุดหงิดพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง
“ฮ่าๆๆ นี่เจ้าอิจฉาเทียนเฉินงั้นรึ? ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน เพราะข้ามิได้เป็นคนกําหนดสิ่งเหล่านี้” ซุนเอ่ยตอบหลงเฉินพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“นี่เจ้า..” ระหว่างที่หลงเฉินกําลังจะเอ่ยต่อนั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
หลงเฉินลุกขึ้นยืนและเดินไปเปิดประตู หญิงสาวหน้าตางดงามปรากฏขึ้น
“หมิงยู่.. เจ้าต้องการอะไรงั้นรึ? นี่เจ้ากับข้ามิได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่วัน เจ้ากลับงดงามขึ้นมากเลยทีเดียว” หลงเฉินจ้องมององค์หญิงหมิงยู่พร้อมกับเอ่ยชม
“ขอบคุณที่ชมข้า! ข้ามิได้มีเรื่องอันใดสําคัญ เพียงแต่เห็นเจ้านั่งอยู่ในห้องเช่นนี้นานถึงเจ็ดวันแล้ว ข้าจึงรู้สึกเป็นกังวล ก็เลยเข้ามาดู.. อีกอย่าง ข้าได้ยินว่าเย็นนี้ภายในเมืองจะมีการจัดงานขึ้น ข้าจึงอยากมาชวนเจ้าออกไปเดินเล่น..” องค์หญิงเหมิงยู่เอ่ยบอกหลงเฉิน
“อืมม.. ฟังดูน่าตื่นเต้นดีนี่! ข้าจะไปกับเจ้าด้วย แต่ขอเวลาให้ข้าอาบน้ําแต่งตัวก่อนจะได้หรือไม่?” หลงเฉินตอบรับคําชวนขององค์หญิงหมิงยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปรอเจ้าที่ห้อง เจ้าพร้อมเมื่อใดก็ไปเคาะประตูเรียกขาได้เลย” องค์หญิงหมิงยู่เอ่ยตอบพร้อมกับเดินจากไป
“เจ้าจะไปเดินเล่นกับหญิงอันเป็นที่รักเช่นนี้ ข้าไม่อยู่เป็นก้างขวางคอจะดีกว่า….” ซุนเอ่ยบอกยิ้มๆพร้อมกับ หายตัวไปทันที
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดหลงเฉินก็อาบน้ําแต่งตัวเสร็จ และเดินไปเคาะห้ององค์หญิงหมิงยู่