เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 501 สองคนไม่พอก็ห้าคน
ตอนที่ 501 สองคนไม่พอก็ห้าคน
……………………………………………………………………..
จี้หยวนหยิบเหรียญทิพย์ออกมาจากแขนเสื้อ วางเป็นสองกองบนโต๊ะ แต่ละกองมีห้าสิบเหรียญพอดี
“สหายยุทธ์ เหรียญทิพย์หนึ่งร้อยเหรียญอยู่ตรงนี้แล้ว”
“ได้ๆๆ หยกเทพภูเขาชิ้นนี้เป็นของสหายยุทธ์จี้แล้ว โปรดรับไว้!”
ผู้ฝึกปราณหอสมบัติวิญญาณสูงส่งเก็บหยกเทพภูเขาเข้ากล่องไม้ ส่งให้จี้หยวนด้วยสองมือ จากนั้นค่อยเก็บเหรียญทิพย์บนโต๊ะ ต่อมาเหมือนนึกอะไรได้ คืนเหรียญทิพย์ซึ่งใช้ไปในมือให้จี้หยวน
จี้หยวนยื่นมือดันกลับไป
“ถือว่าเหรียญทิพย์นี้เป็นตัวทดลอง ข้าคนแซ่จี้ไม่คิดรับคืน เชิญสหายยุทธ์ตามสบาย”
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณสหายยุทธ์แล้ว!”
แน่นอนว่าหอสมบัติวิญญาณสูงส่งไม่ใช่ที่ส่วนบุคคล แต่เหรียญทิพย์นี้ถือเป็นผลประโยชน์เหมาะสม ผู้ฝึกปราณซึ่งทำหน้าที่ผู้ดูแลคนนี้อดยินดีไม่ได้
เขาถึงขั้นยินดีเรียกเหรียญทิพย์ว่าเหรียญสมปรารถนา แม้ว่าไม่อาจรู้ทุกอย่างจากการสังเกตคราเดียว แต่เขาเคยใช้เหรียญทิพย์ด้วยตัวเอง ทราบประโยชน์ของเหรียญทิพย์อยู่แก่ใจ ไม่ใช่แค่พลังแปรเปลี่ยนดังใจ สิ่งหายากยิ่งกว่าคือมรรคซ่อนเร้นไม่สลาย กระทั่งนำมาป้องกันตัวยามสภาวะจิตเจอด่านเคราะห์ได้ แค่คิดก็รับรู้ระดับความล้ำค่าของสิ่งนี้
แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ยามใช้เหรียญทิพย์นี้การควบคุมวิชาธาตุดินของตนจะบรรลุถึงระดับละเอียดอ่อนทันที ถือว่าหายากยิ่ง บ่งบอกว่าพลังของเหรียญเหมาะกับธาตุดิน มิน่าอีกฝ่ายถึงมารับวัตถุวิญญาณปฐพี คิดว่าเป็นผู้มากอภินิหารด้านมรรคธาตุดิน!
นี่คือการค้าขายฝ่ายเดียว แต่ผู้ฝึกปราณดูแลหอสมบัติวิญญาณสูงส่งคนนี้ไม่อยากทำการค้าฝ่ายเดียว เมื่อครู่เขาได้ยินชัดเจน เหรียญทิพย์หลอมโดยสหายยุทธ์จี้ตรงหน้าคนนี้
ดังนั้นหลังจากจี้หยวนเก็บกล่องไม้แล้ว ผู้ดูแลคนนี้เอ่ยถามอย่างระวัง
“สหายยุทธ์จี้ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าท่านเป็นคนหลอมเหรียญทิพย์เอง ไม่ทราบว่ายังมีอีกเท่าไหร่ หลอมยากหรือไม่”
ผู้ดูแลคนนี้หยุดพูดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวสิ่งที่คิดในใจออกมาตามจริง
“ขอพูดตามตรง นอกจากการบำเพ็ญแล้วผู้ฝึกปราณหอสมบัติวิญญาณสูงส่งต้องอำนวยความสะดวกแก่ผู้ฝึกปราณในใต้หล้า เหรียญทิพย์สมประสงค์ถือว่าอัศจรรย์ไร้ขอบเขต คนที่ต้องการย่อมไม่น้อยแน่”
แน่นอนว่าจี้หยวนรู้เรื่องนี้ดี ทั้งเข้าใจความคิดของผู้ดูแลคนนี้
“การหลอมเหรียญทิพย์สิ้นเปลืองพลังกับจิตวิญญาณอย่างมาก การหลอมเหมือนหลอมโอสถ แม้ว่าข้าคนแซ่จี้ยังมีอยู่บ้าง แต่ใช่ว่ามีมากนัก ทั้งไม่อาจจดจ่อกับการหลอมมันอย่างเดียว”
“อ้อ สหายยุทธ์กล่าวถูกแล้ว หากท่านทั้งสองไม่มีเรื่องด่วน เชิญพักผ่อนที่นี่ครู่หนึ่งก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา เชิญดื่มชา!”
ผู้ดูแลคนนี้สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง บนโต๊ะมีเครื่องชาปรากฏ รินน้ำชาให้จี้หยวนกับขอทานชราด้วยตัวเองก่อนขอตัวจากไป เดินขึ้นไปบนชั้นสาม
เมื่อคนอื่นจากไปขอทานชราเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
“ท่านจี้ สะดวกมอบเหรียญทิพย์ของท่านมาให้ข้าลองดูหรือไม่”
จี้หยวนหยิบเหรียญหนึ่งส่งมอบให้ขอทานชรา ฝ่ายหลังรับมาถือเหมือนของเล่นแปลกใหม่ชิ้นหนึ่ง มองโดยละเอียดพลางจับเล่นอยู่อย่างนั้น
“น่าสนใจ แม้ว่าพลังแฝงไม่มาก แต่เท่ากับแรงหนุนจากท่านจี้ระดับหนึ่ง อย่าว่าแต่คนทั่วไป ข้าเองยังคิดว่ามีโอกาสได้ใช้! เอ่อ ข้าเป็นขอทาน เหรียญทิพย์นี้ถือว่าท่านทำทานแล้วกัน”
ขอทานชราพูดพลางเก็บเหรียญทิพย์เข้ากระเป๋าเสื้อเก่าขาดโดยไม่รู้สึกอายแม้แต่น้อย ไม่คิดส่งคืนจี้หยวนสักนิด
สำหรับเรื่องนี้จี้หยวนไม่พูดอะไร แม้ว่าของสิ่งนี้หลอมยาก แต่มอบให้สหายบ้างย่อมไม่มีปัญหา
ขอทานชราเก็บเหรียญทิพย์ก่อนมองไปทางบันไดชั้นสาม
“ได้ยินว่าหอสมบัติวิญญาณสูงส่งเป็นขุมอำนาจผู้ฝึกปราณที่ทยอยก้าวกระโดดขึ้นมาในช่วงเกือบร้อยปีนี้ ทั้งไม่ใช่บริวารของแดนศักดิ์สิทธิ์มรรคเซียนใด มีหอสมบัติตั้งอยู่ทั่ว ผู้ฝึกปราณในสังกัดนอกจากชำนาญมรรควาณิชแล้ว สายตายังไม่เลวด้วย รวบรวมสมบัติอัศจรรย์มาได้บ้าง”
วันนี้ขอทานชรานึกครึ้มอยากลองดู เขาพาจี้หยวนมาที่นี่เพื่อเสี่ยงโชค คิดไม่ถึงว่าจะเจอของดีอย่างหยกเทพภูเขาเข้าจริงๆ ดูท่าว่าข่าวลือคงเป็นจริง
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อยแสดงออกว่าเข้าใจ ขุมอำนาจมรรคเซียนเกิดใหม่อย่างหอสมบัติวิญญาณสูงส่ง แม้ว่ามีสมบัติไม่น้อย แต่รากฐานยิ่งใหญ่สู้แดนศักดิ์สิทธิ์ฝึกปราณบางแห่งไม่ได้ หากเปลี่ยนเป็นอยู่บนโลกปุถุชนคงถูกเชือดเป็นแกะอ้วนนานแล้ว ต่อให้บนโลกมีกฎเกณฑ์ แต่พูดตามตรงคือห้ามวิญญูชนไม่ใช่คนต่ำช้า
มีเพียงสภาพแวดล้อมตามหลักความถูกต้องอย่างโลกบำเพ็ญเซียนที่ยิ่งทำยิ่งรุ่งเรือง บำเพ็ญเพียรควบคู่กับการฝึกจิต อย่างมากอาจมีคนเย็นชาบ้าง แต่มีคนทำเรื่องเกินงามน้อยนัก ทำให้หอสมบัติวิญญาณสูงส่งอำนวยความสะดวกแก่ทุกคนได้
ภายในหอสมบัติวิญญาณสูงส่งมีการเปลี่ยนแปลงหลายชั้น ผู้ดูแลคนนี้เดินขึ้นชั้นสาม โคจรค่ายกลไปทางห้องซึ่งต้องการจะไป ดูเหมือนชั้นสามมีแค่ห้องเดียว
ห้องที่ผู้ดูแลไปคือห้องเก็บตำรา ภายในนั้นมีชายชราเครายาวคนหนึ่ง กำลังนอนอ่านตำราบนเก้าอี้ยาว ไม่ตอบสนองว่ามีคนเข้ามาแม้แต่น้อย
“ผู้ดูแลโจว ข้าน้อยเจอสมบัติชิ้นหนึ่ง!”
“หืม หอสมบัติวิญญาณสูงส่งของพวกเราเจอสมบัติบ่อยๆ มีอะไรพิเศษเล่า”
ผู้ดูแลหยิบเหรียญทิพย์ออกมาจากแขนเสื้อ
“เหรียญประเภทนี้ขอรับ ผู้หลอมเรียกว่าเหรียญทิพย์ ข้าน้อยคิดว่าเรียกเหรียญสมปรารถนาธาตุดินคงเหมาะสมกว่าหน่อย แน่นอนว่าไม่ใช่แค่สำแดงมรรคธาตุดิน มรรคซ่อนเร้นยังไม่สลายแปรเปลี่ยนดังใจ หายากอย่างยิ่ง”
ชายชราวางตำราลง ลุกขึ้นนั่งมองผู้ดูแล ผายมือกระดิกนิ้วเล็กน้อย เหรียญทิพย์หลุดออกจากมือผู้ดูแลลอยมาหาชายชรา
เดิมชายชราแค่มองผ่านๆ แต่ยิ่งมองสีหน้ายิ่งเคร่งขรึม ยิ่งมองยิ่งนั่งตัวตรง
ริมโต๊ะมีน้ำชาถ้วยหนึ่งพอดี ชายชราถือเหรียญทิพย์ก่อนชี้ถ้วยชา
ครู่ต่อมาน้ำชาในถ้วยอบอวลด้วยความเย็น มีเสาน้ำแข็งละเอียดโผล่ขึ้นมา เติบโตแผ่ขยายช้าๆ สุดท้ายบนถ้วยชามีใบชาเขียวขจีปรากฏออกมา ทั้งกลายเป็นต้นไม้จิ๋วผลิบุปผาน้ำแข็ง มีชีวิตชีวาอย่างมาก
“วิญญาณปฐพี? อย่าพูดเป็นเล่น เหรียญนี้มีครบห้าธาตุหยินหยางร่วมเคียง สมบูรณ์แบบ! ไหนเลยจะใช่วิชาหรือเหรียญ! นี่คือมรรค!”
ชายชราพึมพำกับตัวเอง อึ้งงันครู่ใหญ่ก่อนมองผู้ดูแล
“เหรียญหนึ่งแลกเปลี่ยนกับอะไร คนยังอยู่หรือไม่”
ผู้ดูแลรีบกล่าวตอบ
“ร้อยเหรียญแลกกับหยกเทพภูเขา สหายยุทธ์ผู้หลอมเหรียญทิพย์ยังอยู่ชั้นสองขอรับ”
“ร้อยเหรียญ? คุ้มค่าแล้วๆ ของสิ่งนี้ไม่ธรรมดา แน่นอนว่าหลอมยากมาก ผู้หลอมยังมรรควิถีสูงส่ง เกรงว่าคงเป็นบุคคลใกล้เคียงเซียนแท้ รีบพาข้าไปเจอเขา!”
“ขะ ขอรับ ผู้ดูแลเชิญตามข้ามา!”
จี้หยวนกับขอทานชราตรงชั้นสองดื่มชาถ้วยหนึ่งเสร็จ ผู้ดูแลคนนั้นก็กลับมา ทั้งยังพาชายชราเครายาวคนหนึ่งมาด้วย มรรควิถีแข็งแกร่งกว่าเขาช่วงใหญ่
“สหายยุทธ์จี้ สหายยุทธ์หลู่ ท่านนี้คือผู้ดูแลโจวแห่งหอสมบัติวิญญาณสูงส่งท่าเรือเขาพิณพระจันทร์!”
“คารวะสหายยุทธ์ทั้งสอง!”
ชายชราไม่กล้าอาจหาญ เป็นฝ่ายคารวะจี้หยวนกับขอทานชราก่อน หากไม่ขัดต่อกฎเกณฑ์ที่ให้เรียกทุกคนว่าสหายยุทธ์ เขาคงเรียกว่าผู้อาวุโสหรือท่านเซียนแล้ว
จี้หยวนกับขอทานชราลุกขึ้นคารวะตอบ รออีกฝ่ายเอ่ยปาก
“ไม่ขอปิดบังท่านทั้งสอง หอสมบัติวิญญาณสูงส่งมีทั้งหมดสามหอ แบ่งเป็นหนึ่งร้อยแปดห้อง ตามจำนวนเทพสวรรค์อสูรปฐพี มีผู้ดูแลสามสิบหกคน หลายปีนี้เจอสมบัตินับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเจอเหรียญทิพย์สมประสงค์เลิศล้ำเช่นในมือสหายยุทธ์จี้”
ผู้อาวุโสผนึกพลังคุ้มกันคนรุ่นหลังพบเห็นได้ทั่วไป ตัวอย่างชัดเจนมากที่สุดคือยันต์วิญญาณหรืออาวุธศักดิ์สิทธิ์นานัปการ แต่เหรียญทิพย์พิเศษจริงๆ ไม่ใช่อาวุธโจมตี ไม่นับว่าเป็นของป้องกัน ทั้งไม่มีคาถาอักษรวิญญาณใด แต่เกี่ยวข้องกับเบญจธาตุและหยินหยาง พันหมื่นแปรเปลี่ยนอัศจรรย์ไร้ขอบเขต
ต่อให้ผ่าสมองออกมา ใครก็ไม่อาจเชื่อมโยงเหรียญทิพย์สมปรารถนากับกระดาษเงินที่คนบนโลกใช้เซ่นไหว้บรรพชนได้
แน่นอนว่าจี้หยวนไม่มีทางเผยข้อบกพร่องของตน อีกอย่างเหรียญทิพย์นี้นอกจากจิตวิญญาณมาจากกระดาษเงินแล้ว อย่างอื่นแทบไม่เกี่ยวข้องกันสักนิด
“ผู้ดูแลโจวต้องการพูดอะไร เชิญว่ามาเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้หยวน ผู้ดูแลโจวลังเลเล็กน้อยก่อนพูดตามตรง
“ข้าน้อยรู้ว่าสหายยุทธ์ทั้งสองเป็นผู้ฝึกปราณมากอภินิหาร ย่อมมาจากสำนักมรรคเซียนเลื่องชื่อแน่ บางทีอาจไม่เห็นพวกเราผู้ฝึกปราณหอสมบัติวิญญาณสูงส่งอยู่ในสายตา แต่เหรียญทิพย์นี้พิเศษมากจริงๆ ผู้ฝึกปราณอย่างพวกเราล้วนต้องมีที่พึ่ง… หากอนาคตสหายยุทธ์จี้มีมากเกินความจำเป็น หรือมีความคิดถ่ายทอดอภินิหารนี้ หวังว่าจะบอกพวกเราหอสมบัติวิญญาณสูงส่ง”
ขอทานชราแค่นหัวเราะอยู่ด้านข้าง แต่กลับไม่เอ่ยวาจา เขาเข้าใจความรู้สึกผู้ดูแลคนนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วย
แน่นอนว่าการอยากได้เหรียญทิพย์ไม่อาจวิจารณ์รุนแรง แต่ยังต้องการอภินิหารของคนอื่น ถือว่าทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ถ้าพูดหนักหน่อย วิชาฝึกปราณกับอภินิหารคือรากฐานสืบทอดมรรคเซียน คนภายในสำนักตนยังไม่อาจถ่ายทอดกันโดยง่าย นับประสาอะไรกับคนนอก
แน่นอนว่าตอนนี้เขากล่าวตรงประเด็นอย่างตรงไปตรงไปย่อมไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้หากไม่ผ่านการยินยอมจากเจ้าของ ความพยายามขออภินิหารถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างแท้จริง ปีนั้นยามขอทานเด็กเห็นคำนำของจักรวาลแขนเสื้อโดยไม่ตั้งใจ ขอทานชราจึงประหม่ามาก
จี้หยวนส่ายศีรษะเล็กน้อย
“การหลอมเหรียญทิพย์ไม่ง่าย แม้ว่าบนตัวข้าคนแซ่จี้ยังมีอยู่บ้าง แต่ตัวเองต้องเก็บไว้บางส่วน ส่วนวิชาการหลอมยังไม่มีความคิดถ่ายทอด ข้าคนแซ่จี้ขอพูดตามตรง การหลอมเหรียญนี้เกี่ยวข้องกับผู้สำแดงวิชามาก เน้นพลังสมาธิ เกี่ยวเนื่องกับเจตจำนงมรรค ทั้งขึ้นอยู่กับพลังของตน ต่อให้รู้วิธีก็หลอมไม่ง่ายนัก”
“เอาอย่างนี้ ข้าคนแซ่จี้แบ่งเพิ่มร้อยเหรียญทิพย์ ซื้อวัตถุวิญญาณทองจากหอสมบัติวิญญาณสูงส่ง ไม่เกี่ยงจำนวนเป็นอย่างไร”
ผู้ฝึกปราณหอสมบัติวิญญาณสูงส่งสองคนสบตากัน ได้แต่ถอนใจ แสดงออกว่าจะไปหาทันที
เมื่อจี้หยวนกับขอทานชราออกมาจากหอสมบัติวิญญาณสูงส่งก็ผ่านไปหนึ่งเค่อ ขณะเดียวกันในมือจี้หยวนมีป้ายหยกเพิ่มมา บนนั้นมีอักษรวิญญาณสลักเต็ม ทั้งมีอักษรเขียนว่า ‘หยกพกสมบัติวิญญาณ’
“ท่านจี้ จำนวนวัตถุธาตุทองหลากชนิดที่พวกเขามอบให้ถือว่าไม่น้อย ต่อให้เหรียญสมปรารถนาล้ำค่าแค่ไหน เกรงว่าคงซื้อไม่ได้มากขนาดนี้กระมัง”
“ใช่ นับว่าจริงใจอย่างยิ่ง แต่ใช่ว่าข้าคนแซ่จี้จะไม่ทำอย่างอื่น คอยช่วยพวกเขาหลอมเหรียญทิพย์อย่างเดียวกระมัง”
“ฮ่าๆๆ นั่นสิ ไปเถอะ ตอนนี้ห้าธาตุครบถ้วน รีบหาสถานที่หารือ! เมื่อครู่ข้าคิดวิธีจัดการปัญหายุ่งยากก่อนหน้านี้ได้แล้ว”
เขาพูดพลางควบคุมเมฆ ขอทานชราพาจี้หยวนเหาะเหินไปด้วยกัน
“หืม? ข้าอยากฟังรายละเอียด!”
ปัญหายุ่งยากซึ่งขอทานชรากล่าวถึงก็คือสิ่งที่คุยกับจี้หยวนก่อนหน้านี้ เมื่อก่อนเขาคิดแง่เดียวเกินไป คิดเพียงหลอมห้าธาตุเข้าเชือกไหมทอง บางทีอาจครบทั้งห้าธาตุ แต่ขอทานชราใช้ทฤษฎีกับการลงมือจริงมาพิสูจน์พื้นฐานนี้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้
แต่ขอทานชรากับจี้หยวนต่างไม่ยินยอม ด้วยพวกเขาสองคนแค่ทดลองเบื้องต้น ภายใต้สถานการณ์ที่สองคนร่วมกันลงมือ หลอมวัตถุห้าธาตุสองอย่างเข้าเชือกไหมทอง มีโอกาสรวมกันชั่วขณะภายใต้การเผาของเพลิงสมาธิจริงๆ แต่พังทลายโดยง่าย ด้วยเพลิงสมาธิร้ายกาจเกินไป ส่วนวิชาคุมเพลิงอื่นก็แทบไม่อาจทำให้เชือกไหมทองเปลี่ยนแปลงได้
นี่ยังไม่ถึงทางตัน รองลงมายังแยกหลอมห้าธาตุได้ จากนั้นค่อยรวมห้าธาตุภายหลัง ต่อมาจึงเริ่มหลอมกับเชือกไหมทอง ตามทฤษฎีถือว่าทำได้ แต่พวกเขาสองคนมีปณิธานสูงส่ง ทั้งมีอุดมคติมากล้น คิดหาวิธีสมบูรณ์แบบที่สุดมาตลอด
ตอนนี้เมื่อได้ยินขอทานชราบอกว่ามีวิธี จี้หยวนคึกคักขึ้นมาพลางรีบซักถาม
ขอทานชรายิ้มเล็กน้อย
“หึๆ ท่านจี้ ก่อนหน้านี้ท่านกับข้าแค่ลองร่วมกันลงมือ ใช้เพลิงสมาธิยังทำได้แค่คงสภาพ หากบุคคลระดับท่านกับข้ามีห้าคนแล้วร่วมกันลงมือเล่า ท่านควบคุมเพลิงสมาธิ คำนวณดูแล้วสี่คนที่เหลือร่วมกันลงมือคงเพียงพอ”
“ห้าคน?”
“หึๆ ไม่ผิด ท่านจี้ นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อพก จูหยวนจื่อแห่งเขาล้อมหยกมีคุณสมบัติพอ เขาเคารพท่านมาก ขอแค่ท่านเอ่ยปาก เขาย่อมไม่ปฏิเสธ ส่วนอีกสองคนหรือหนึ่งคน… ตอนนี้เป็นช่วงงานชุมนุมเซียนพเนจร หาเซียนแท้สักคนไม่นับว่ายากกระมัง”
‘โห! ขอทานชราอย่างเจ้ากล้าคิดจริงๆ!’
จี้หยวนถูกความคิดของขอทานชราทำให้ตกใจ แต่หลังจากตกตะลึง ในใจค่อนข้างตื่นเต้นอย่างยากหลีกเลี่ยง
‘เกาะหมอกเซียน… ควรไปลองถามกระมัง’