เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 489 เฉียวหย่งผู้ว่างงาน
ตอนที่ 489 เฉียวหย่งผู้ว่างงาน
……………………………………………………………………..
“ไปๆๆ ท่านเซียน อยู่ข้างหน้านี้แล้ว!”
“อืม ดี”
ทุกครั้งที่ถึงทางแยก เฉียวหย่งที่นำทางอยู่จะหยุดฝีเท้าแล้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่งเสมอ ด้วยกลัวว่าจี้หยวนกับขอทานชราจะไม่รู้จักทาง แม้รู้ว่าทั้งสองท่านเป็นคนในหมู่เทพเซียน ทว่าไม่อาจไร้มารยาทได้
ถึงเฉียวหย่งไม่ใช่คนหนุ่มแล้ว ทว่าร่างกายยังคงแข็งแรงมาก ยกคานแล้วเดินเหินว่องไวราวกับบิน นำทางจี้หยวนกับขอทานชราเดินไปข้างหน้า
ขอทานชรามองเฉียวหย่งที่นำทางอยู่ข้างหน้า เขาอยู่ข้างหลังเดินกับจี้หยวนไปพลาง สนทนาเสียงเบาไปพลาง
“ท่านจี้ ท่านบอกว่าจะมีข้าราชการพาขอทานชราอย่าข้าไปกินข้าวดีๆ สักมื้อไม่ใช่หรือ สองวันนี้พวกเรากินข้าวไม่อิ่มท้อง ในท้องไม่มีแม้แต่ไขมันแม้แต่น้อย ตอนนี้จะยังได้กินข้าวดีๆ สักมื้ออยู่หรือไม่”
จี้หยวนยิ้มอย่างจนใจ
“หากถึงเวลาแล้วผู้อาวุโสหลู่ไม่พอใจ ข้าคนแซ่จี้จะออกเงินเอง ไปร้านอาหารซื้อสุราอาหารดีๆ เต็มโต๊ะเป็นอย่างไร”
“ได้ ท่านจี้พูดเองนะ ท่านจะกลับคำไม่ได้ แหะๆ…”
“ท่านนะท่าน…”
จี้หยวนหัวเราะโดยไม้ฝืนใจแม้แต่นิด เขาไม่ได้รวยและไม่ได้จน ไม่ได้นับว่ารวยมาก ทว่าแค่เงินจ่ายค่าอาหารสักมื้อ อย่างไรเสียก้อนทองขนาดเท่าศีรษะสุนัขที่หูอวิ๋นหามาตอนนั้นก็แทบไม่ได้ขยับเลย
พูดถึงตรงนี้แล้ว ขอทานชรามองเฉียวหย่งอีกครั้ง
“ข้าสังเกตว่าสีหน้าเฉียวหย่งผู้นั้นแดงระเรื่อไร้เค้าลางหายใจติดขัดร่างกายอ่อนแอ ปราณขุนนางแม้เบาบางทว่าไม่ได้ซ่านสลายไปโดยสิ้นเชิง ไม่อาจเรียกได้ว่าน่าเวทนา ดูก่อนค่อยว่ากันแล้วกัน”
ตอนทั้งสองคนสนทนากันก็เลี้ยวผ่านตรอกหนึ่งข้างหน้า จากนั้นเดินบนถนนเส้นใหญ่ ฝั่งตรงข้ามมีจวนที่ดูแล้วเรียกได้ว่าหรูหรา เฉียวหย่งชี้ทางนั้นพลางกล่าว
“ท่านเซียนทั้งสอง นั่นคือบ้านข้า รีบตามข้าไปนั่งในบ้านเถอะ!”
เฉียวหย่งพูดแล้วเร่งฝีเท้าขึ้นไม่น้อย
ขอทานชรามองไปไกล รู้ว่าที่จริงสายตาจี้หยวนไม่ค่อยดี แม้ตัวอักษรเหนือประตูจะใหญ่พอตัว แต่ต้องเข้าไปใกล้ถึงจะมองเห็น เขาจึงกล่าวขึ้นอย่างเอาใจใส่ว่า
“ท่านจี้ บนนั้นเขียนว่า ‘จวนเฉียว’”
จี้หยวนกล่าวอย่างนึกขัน
“แม้มองไม่เห็น ทว่าเดาได้!”
ตอนนี้จวนเฉียวยังคงใช้ชื่อเดิม กระนั้นไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนในอดีต อย่าว่าแต่ข้ารับใช้เลย แม้แต่ใบไม้ร่วงหน้าประตูก็ยังไม่ได้กวาดออกไป
เฉียวหย่งหาบคานเร่งฝีเท้าไปถึงหน้าประตู เคาะห่วงทองแดงบนประตูใหญ่
ปึงๆๆ…ปึงๆๆ…
“อาเต๋อ อาเต๋อ เปิดประตูเร็ว ข้ากลับมาแล้ว!”
“มาแล้วๆ!”
เสียงฝีเท้าสายหนึ่งดังมา หลังจากนั้นครู่หนึ่งประตูด้านหนึ่งก็ถูกเปิดออกจากข้างใน ด้านหลังประตูคือชายชราผมสีดอกเลาคนหนึ่ง
“นายท่าน? ทำไมท่านอยู่ที่ประตูหน้าเล่า สองท่านนี้เป็นใคร”
เฉียวหย่งตบหน้าผากครั้งหนึ่ง รีบพูดว่า
“ไอ้หยาอาเต๋อ รีบเปิดประตูหน้า ต้องต้อนรับแขก! เปิดประตูหน้าต้อนรับท่านเซียนทั้งสอง!”
“เอ๋? อ้อๆๆๆ เปิดประตูหน้าๆ…”
ตอนนี้ที่จวนมีข้ารับใช้เพียงแค่เฉียวเต๋อ เขาติดตามคนตระกูลเฉียวมาหลายสิบปีแล้ว ถึงแม้ตระกูลเฉียวตกต่ำลง ทว่าเขายังคงซื่อสัตย์ภักดีต่อคนตระกูลเฉียว
แอ๊ด…
ประตูหน้าที่ไม่ได้เปิดมานานมากค่อยๆ เปิดออก เฉียวหย่งและคนตระกูลเฉียวที่รู้เรื่องแล้วรีบตามมาต้อนรับจี้หยวนกับขอทานชราเข้าไปข้างใน
ไม่เพียงเท่านั้น เฉียวหย่งยังกำชับภรรยาและบุตรสาวให้เตรียมอาหารเย็นเต็มโต๊ะ เน้นย้ำหลายรอบว่าต้องเต็มโต๊ะ ถึงพาจี้หยวนกับขอทานชราไปยังโถงรับแขก
จวนหลังนี้เดิมเป็นจวนตระกูลเฉียวดั้งเดิม แม้ไม่ใช่จวนระดับบนของเมืองหลวง แต่ก็ไม่อาจนับว่าเป็นจวนหลังเล็ก ตอนนี้ทั้งจวนตระกูลเฉียวมีคนอยู่ไม่เท่าไหร่ ห้องส่วนใหญ่ว่างเปล่า อย่างไรเสียก็ทำความสะอาดไม่ไหว
คนตระกูลเฉียวอย่างรู้ที่มาที่ไปของจี้หยวนกับขอทานชรา ตอนทำงานในห้องครัว เด็กๆ ในจวนยังพูดคุยกันอยู่เลย
“นั่นคือเซียนหรือ แถมมีขอทานคนหนึ่งด้วย”
“อย่าพูดเรื่อยเปื่อย นั่นก็แค่รูปลักษณ์ภายนอก!”
“ดูแล้วพวกเขาไม่ค่อยเหมือนกับปรมาจารย์เซียนที่สำนักปรมาจารย์เหล่านั้น ไม่ได้เล่ากันว่าพวกปรมาจารย์เซียนสำนักปรมาจารย์เซียนก็เป็นเซียนเหมือนกันหรือ”
“ระหว่างเซียนย่อมมีความแตกต่าง ข้ากับเจ้ายังไม่เหมือนกันเลย”
“อย่ามัวแต่คุย จุดไฟ หุงข้าว ข้าจะไปฆ่าไก่สักสองตัว”
“มีไก่กินด้วยหรือนี่”
“ดีจริงๆ!”
…
บรรยากาศทางฝั่งห้องครัวชื่นมื่น ส่วนในโถงรับแขก หลังจากเทน้ำชาให้จี้หยวนกับขอทานชราแล้ว เฉียวหย่งเล่าถึงสิ่งที่เจอหลังจากกลับมาให้ทั้งสองคนฟัง
แม้รอนแรมอยู่กลางทะเลอยู่หลายปี แต่กลับถึงท่าเรือต้าซิ่วจริงๆ แล้วใช้เวลาหนึ่งปี พูดแล้วก็แปลกเหมือนกัน ขากลับราบรื่นปลอดภัย ไม่เจอลมพายุอะไรเช่นกัน ยิ่งไม่หลงทางอีกต่างหาก กลับถึงต้าซิ่วอย่างง่ายดาย
ตอนเพิ่งได้ยินว่าพวกเขากลับมา ฮ่องเต้ในวังต้าซิ่วดีใจมาก คิดว่ากองเรือนำโอสถเซียนกลับมาด้วย เรียกเฉียวหย่งเข้าเฝ้าในทันที อีกทั้งส่งองครักษ์และนายทหารติดอาวุธไปรับด้วย
ฮ่องเต้ต้าซิ่วส่งกองกำลังตามหาเซียนทั้งหมดสามกลุ่ม เพื่อออกตามหาจวนเซียนโลกภายนอกในตำนานสามแห่ง กองเรืออัญมณีถูกส่งไปยังทะเลบูรพา เดิมทีควรมีความคืบหน้าที่สุด ความหวังน้อยที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นกองเรือที่กลับมาก่อนใคร
“ฮ่าๆ ฮ่องเต้ผู้นั้นดีใจแทบแย่เลยกระมัง”
ขอทานชราฟังเฉียวหย่งเล่าถึงตรงนี้แล้วอดเหน็บแนมไม่ได้ เขามีศิษย์ที่เคยเป็นฮ่องเต้ ตอนนั้นยังถูกตัดศีรษะครั้งหนึ่งด้วย ฮ่องเต้ต้าซิ่วผู้นี้เหมือนกับหยางจงในอดีตทีเดียว
ได้ยินขอทานชราถามเช่นนั้น เฉียวหย่งเผยรอยยิ้มขื่นเช่นกัน
“ใครว่าไม่ใช่เล่า ความจริงกองเรือของข้ายังไม่ทันเทียบท่าก็มีคนจากกรมสังเกตการณ์ทางทะเลสังเกตเห็นกองเรือกลับมา ดังนั้นตอนรอกองเรือเทียบท่ามีนายทหารสวมเกราะมาต้อนรับแล้ว”
เฉียวหย่งพูดพลางหวนรำลึก
“ตอนนั้นข้ากล่าวกับเจ้าหน้าที่ที่มาต้อนรับว่าพวกข้าไม่ได้รับโอสถเซียน เพียงได้รับคำสัญญาจากท่านจี้ เจ้าหน้าที่ต้อนรับผู้นั้นไม่กล้ากลับไปรายงานที่เมืองหลวงโดยตรง ดึงดันพากองเรือของข้ากลับไปด้วยกัน”
“หลังจากนั้นเล่า”
จี้หยวนถามเช่นนี้ เฉียวหย่งจึงคิดพลางเล่าต่อ
“หลังจากกลับถึงเมืองหลวงและรู้ว่าพวกข้าไม่ได้โอสถเซียนกลับมา อีกทั้งคำสัญญาของท่านจี้เป็นเพียงแค่ลมปาก ฝ่าบาทเชื่อคำพูดของเซียน ทว่าไม่เชื่อคำพูดของข้าเฉียวหย่ง…นอกจากนี้มีเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องไม่ไว้วางใจข้า บอกว่าข้ากุเรื่องคำสัญญาเซียนเพียงเพื่อกลับจากทะเล ดังนั้นฝ่าบาททรงกริ้วหนัก สั่งขังคุกข้า หากไม่มีโหรหลวงโน้มน้าว ศีรษะของข้าเฉียวหย่งคงหลุดจากบ่าไปแล้ว…”
“ข้าคนแซ่จี้คิดอ่านไม่รอบคอบ ของท่านเฉียวให้อภัยด้วย!”
จี้หยวนประสานมือขออภัย ทำเอาเฉียวหย่งตกใจลุกขึ้นตอบว่ามิกล้าอยู่หลายคำ
กระนั้นแม้จี้หยวนพูดว่าตนเองคิดอ่านไม่รอบคอบ แต่ความจริงแล้วตอนนั้นไม่ได้ทิ้งหลักฐานยืนยันอะไรเอาไว้ เขาจี้หยวนเป็นใครกัน คนต้องไม่เชื่อเขาอยู่แล้ว ทิ้งหลักฐานยืนยันไว้แล้วอย่างไร ข่าวงานชุมนุมเซียนพเนจรต่างหากที่น่าเชื่อถือยิ่งกว่า
ความผิดพลาดของแผนการจี้หยวนอยู่ที่ตอนนั้นคิดว่างานชุมนุมพเนจรต้องเป็นงานชุมนุมที่เป็นความลับอย่างยิ่ง ผู้ที่มีฐานะไม่แน่นอนมาถึงเขาพิณพระจันทร์แล้วถึงรู้ว่าแม้มีแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องงานชุมนุมเซียนพเนจร แต่ก็ไม่น้อยเลยเช่นกัน ไม่ใช่ว่ามีคนเดียวรู้เรื่องงานชุมนุมเซียนพเนจร สิ่งที่พูดก็น่าเชื่อถือด้วย
“แล้วโหรหลวงเชื่อเจ้าหรือ”
จี้หยวนถามอีกครั้ง เฉียวหย่งส่ายหน้า พูดตามตรงว่า
“แม้โหรหลวงสงวนท่าทีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจเชื่อข้าได้โดยสมบูรณ์ ถามข้าถึงเรื่องเกี่ยวกับท่านเซียนมากมาย และถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับเกาะหมอกเซียนมากมายเช่นกัน สิ่งที่ข้ารู้มีจำกัด ทำได้เพียงพยายามตอบคำถาม โชคดีที่โหรหลวงทำนายเรื่องราวได้ คำนวณแล้วข้าไม่ได้พูดปด อีกทั้งพูดด้วยว่าอยากคำนวณเรื่องของท่านเซียน แต่ไม่ว่าคำนวณอย่างไรก็ว่างเปล่าทั้งสิ้น”
เฉียวหย่งพูดถึงตรงนี้แล้วยิ้มอย่างเขินๆ
“ตอนนั้นได้ยินโหรหลวงพูดเช่นนี้กับฝ่าบาทที่ตำหนักทอง ข้าคนแซ่เฉียวตกใจไม่น้อย คิดว่าโหรหลวงพูดเช่นนี้แล้วต้องแย่แน่ๆ แม้แต่ฝ่าบาทก็ทรงกริ้วหนักอย่างชัดเจน โชคดีที่โหรหลวงอธิบายภายหลังว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อพบผู้สูงส่งจริงแท้เท่านั้น หากไม่มีของล้ำค่าติดตัวก็ต้องมีมรรควิถีมากกว่าเขาไม่รู้เท่าไหร่ถึงจะเป็นเช่นนี้ได้ ข้ารักษาชีวิตเอาไว้ได้ด้วยเหตุนี้เอง…”
“ภายหลังอยู่ในคุกได้ครึ่งปีมีข่าวจากกองทหารตามหาเซียนอีกกลุ่มหนึ่ง ทว่าใต้เท้าหลี่ทางนั้นหนีหายไปพร้อมกับทรัพย์สิน ไม่กล้ากลับต้าซิ่ว ฝ่าบาทย่อมทรงกริ้วอีก ทว่าข้าสหายราชสำนักในอดีตของข้าถือโอกาสนี้พูดแทนข้า บอกว่าอย่างน้อยข้าเฉียวหย่งก็ไม่ลืมบุญคุณฝ่าบาท รู้ว่าต้องกลับมารายงานข่าว แม้ไม่ประสบความสำเร็จ ทว่าพบความลำบากอย่างแท้จริง…”
เฉียวหย่งพูดอย่างรู้สึกดี
“อืม เดิมทีฝ่าบาทต้องการสั่งขังข้าถึงปีหน้า หากยังไร้ข่าวคราวเซียนที่ข้าพูดถึง ข้าจะถูกประหารหลังจากฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า แต่เพราะเรื่องนี้ หลังจากนั้นครึ่งปีข้าก็ถูกปล่อยตัว ว่างงานอยู่ที่บ้านจนถึงวันนี้”
“ความจริงแล้วฝ่าบาทดีต่อข้ามาก ถึงถูกปลดออกจากตำแหน่งราชการแล้ว ทว่าไม่ได้ริบทรัพย์สินของข้าไป เพียงแค่…เหล่าพี่น้องในกองเรือปีนั้นตกระกำลำบาก คนที่ร่างกายแข็งแรงยังพอว่า คนที่บาดเจ็บพิการจากการเดินเรือเหล่านั้นมีแต่ความขมขื่น เพราะฝ่าบาททรงกริ้ว พวกเขาจึงไม่ได้รับเงินบำนาญเต็มจำนวน แล้วข้าจะอยู่อย่างสบายใจได้อย่างไร ทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ เรื่องใดช่วยได้ก็ช่วยเหลือเต็มที่”
ขอทานชราพยักหน้าให้จี้หยวน พวกเขานับว่าเข้าใจจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดการเปลี่ยนแปลงของตระกูลเฉียวโดยคร่าวแล้ว ถึงไม่ได้นับนิ้วคำนวณตรวจสอบว่าเฉียวหย่งพูดความจริงหรือไม่ แต่สำหรับพวกเขาแล้วทุกอย่างชัดแจ้งแล้ว
“ท่านเฉียวมีเมตตานัก”
ขอทานชรากล่าวพร้อมรอยยิ้ม ทว่าเฉียวหย่งส่ายหน้า
“ไม่อาจนับได้ว่ามีเมตตา แต่ตอนนั้นข้าให้คำมั่นกับเหล่าพี่น้องเอาไว้กลับทำไม่ได้ ตอนนี้…ทรมานใจนัก!”
เฉียวหย่งทุบหน้าอกตนเอง