เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 486 จิ้งจอกสาวเจ้าเล่ห์
ตอนที่ 486 จิ้งจอกสาวเจ้าเล่ห์
……………………………………………………………………..
ขอทานชรามองว่าถูซือเยียนไม่มีทางฟื้นขึ้นมาในหนึ่งปีครึ่ง แต่จี้หยวนมองว่าไม่อาจใช้หลักทั่วไปตัดสินปีศาจจิ้งจอกถูซือเยียนได้ ทว่าครั้งนี้ได้รับบทลงโทษเป็นการถูกผนึกอยู่ใต้ภูเขา ไม่มีทางมีปัญหาอะไรภายในเวลาอันสั้น
กระนั้นบ่ายของวันที่สามหลังจากทั้งสองคนไปแล้ว ใต้ภูเขาใหญ่ที่ผนึกจิ้งจอกไว้ตรงส่วนลึกของเขาลาดชันมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง
ติ๋ง…ติ๋ง…ติ๋ง…
ในที่ว่างเล็กๆ มืดมนในเนินเขา ทุกช่วงหนึ่งจะมีหยดน้ำหยดลงมา แม้เพิ่งผ่านไปแค่สองวันกว่า แต่สองสามวันมานี้กลางภูเขามีเมฆหมอกรวมตัว ที่ว่างเนินเขาซึ่งปีศาจจิ้งจอกถูซือเยียนนอนอยู่เริ่มมีน้ำซึมแล้ว
น้ำซึมแล้วย่อมมีน้ำหยด แต่ไม่ว่าข้างนอกจะฝนตกหนักเท่าไหร่ กระแสน้ำก็จะมีจังหวะของตนเองดังเดิม
น้ำแร่อันเกิดจากน้ำซึมรวมตัวกันหยดอยู่ตรงถูซือเยียน หยดน้ำกระเด็กกระทบหน้าผากนาง บางครั้งเรียวคิ้วของถูซือเยียนสั่นครั้งหนึ่ง สติสัมปชัญญะกำลังกลับคืนมา
ถูซือเยียนรู้สึกว่าเปลือกตาหนักอึ้งมาก พยายามหยัดร่าง กลับรู้สึกถึงพลังของภูเขาเหนือร่าง แม้แต่ขยับสักนิดล้วนยากลำบาก
อย่ามองว่าไหล่และแขนข้างหนึ่งโผล่อยู่ในช่องว่างเล็กๆ ของภูเขา แต่ความจริงแล้วได้รับพลังภูเขาผนึกเช่นเดียวกัน คิดยกมือขึ้นล้วนกินแรงเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากพยายามด้วยความทรมานอยู่นานมาก ในที่สุดถูซือเยียนก็ลืมตาขึ้น ตรงหน้ามีแต่ความมืดสลัว มีเพียงตรงไกลลิบๆ ที่มีช่องแสงเล็กน้อย
“ข้า อยู่ที่ไหน ที่นี่คือที่ไหน ข้า…ซี้ด…”
ศีรษะถูซือเยียนเจ็บแปลบขึ้นมา ภาพเมื่อหลายวันก่อนหลั่งไหลเข้ามาในสมอง นึกเรื่องที่ประชันมรรคกับขอทานชราและจี้หยวนออกแล้ว
“ข้าถูก ข้าถูกผนึกไว้ใต้ภูเขาหรือ นี่คือภูเขาลูกนั้นหรือ”
คิดเงยหน้ากลับรู้สึกถึงแรงกดดันเป็นเท่าทวี ความรู้สึกกดดันที่เกิดจากสภาพแวดล้อมเพิ่มขึ้นมากภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากฟื้น ทำให้ปีศาจจิ้งจอกที่ไม่เคยรู้ว่าความกลัวคืออะไรกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง
‘หนึ่งร้อยปี…หนึ่งร้อยปี! ไม่ ไม่ได้ ไม่จริง ข้าไม่ต้องการ!’
“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ไปร้อยปี!”
ถูซือเยียนเริ่มคิดหาหนทางหนี แต่พลังปีศาจทั่วร่างตอบสนองเชื่องช้านัก ปราณวิญญาณรอบๆ เบาบาง ยิ่งไม่มีแสงตะวันแสงจันทร์ส่องเข้ามา หากไม่โคจรพลังยังได้ แต่เมื่อโคจรพลังแล้ว วิชากดภูเขาจะถูกกระตุ้นในทันที แรงกดดันยิ่งยวดสายหนึ่งพลันเบียดลงมา
“อัก…”
ถูซือเยียนซึ่งส่งเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดไม่กล้าโคจรพลังปีศาจมั่วซั่วอีก แต่ความรู้สึกเจ็บบนร่างกายกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะวิชากดภูเขายังไม่หยุดทำงาน กลับเพิ่มกำลังขึ้นต่อเนื่องราวกับลงโทษนางอยู่อย่างไรอย่างนั้น
กึก…กึก..
เสียงหินผาบดร่างกายดังขึ้น
“อ๊า…หยุด หยุด…ข้าไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแล้ว อ๊า…”
หลังจากนั้นประมาณครึ่งเค่อ แรงกดดันที่ทำให้เจ็บปวดจนสิ้นหวังค่อยลดลง ถูซือเยียนมีเหงื่อกาฬท่วมร่าง ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่
“ฮู่…ขะ ขอทานชรา…เจ้าร้ายกาจมาก…”
ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บเจียนตายและสิ้นหวัง ถูซือเยียนพลันรู้สึกถึงรสหวานในลำคอ จากนั้นกลิ่นเผ็ดร้อนทว่ากลมกล่อมเอ่อออกมาอย่างชัดเจน นางกลืนมันลงท้องทีละน้อย ความร้อนสายแล้วสายเล่าแผ่ซ่านไปทั่วแขนขาและอวัยวะต่างๆ
ภายใต้ความเจ็บแสนสาหัสที่เกินกว่าเหตุก่อนหน้านี้ ความรู้สึกสบายที่ได้รับจากความร้อนนี้กลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น ถึงขนาดชะลออาการบาดเจ็บบนร่างกายด้วย ช่วยฟื้นปราณดั้งเดิมบนกายกลับมา
นี่ก็คืออำพันมังกนที่จี้หยวนดีดเข้าภูเขาก่อนหน้านี้ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังคงมีประสิทธิภาพเต็มที่
“ฮู่…ฮู่…ฮู่…นี่คือ สุราหรือ ของจี้หยวน?”
ขอทานชราเป็นตัวตนระดับใดถูซือเยียนไม่แน่ใจ แต่นางหวาดกลัวจี้หยวนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นนางพยายามทำความเข้าใจอย่างสุดความสามารถ รู้ว่าจี้หยวนชอบสุรา อีกทั้งไม่แยกแยะว่าเป็นของจากเซียนหรือไม่ ไม่ว่าสุราที่ไหนล้วนชอบทั้งนั้น นับว่าเป็นคนชอบสุราอย่างแท้จริง ทว่าไม่ใช่ขี้เมาที่หลงใหลสุราเท่าชีวิต
คนชอบสุราเช่นนี้ แม้ตอนดื่มสุราไม่เลือกมาก แต่จะมีสุราดีน่าอัศจรรย์ติดกายอยู่บ้างอย่างแน่นอน เห็นทีสุรานี้น่าจะเป็นของจี้หยวน
แม้จะเกลียดมาก แต่ถูซือเยี่ยนในตอนนี้ไม่มีโทสะคายสุรานี้ออกไป กลับต้องการโคจรจิตวิญญาณชักนำฤทธิ์สุราไปยังทุกส่วนของร่างกาย ขณะที่คลายความเจ็บปวดก็เพิ่มปราณดั้งเดิมด้วย
‘คิดไม่ถึงเลยว่าสุรานี้จะอัศจรรย์มาก หากเป็นข้าคงตัดใจแบ่งให้ผู้อื่นไม่ได้…’
ทว่าร่างกายสบายขึ้นแล้วไม่ได้หมายความว่าจะลดความกลัวที่มีต่อสภาพแวดล้อมมืดสลัวลงได้ บางครั้งเข้าฌานฝึกปราณที่ยาวนานกว่าสิบปีหรือหลายสิบปีก็ตาม กระนั้นความรู้สึกทางด้านจิตใจกลับต่างออกไป
เพียงชั่วขณะสั้นๆ ถูซือเยียนเยือกเย็นขึ้นแล้ว เหงื่อหยดลงบนพื้น สีหน้าเฉยชากำลังครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด
นางไม่ชอบใจและไม่อาจถูกผนึกอยู่ที่นี่ร้อยปี ต้องคิดหาทางออกไปอย่างแน่นอน ตอนนี้บรรพบุรุษอาจรู้แล้ว แต่ก็อาจไม่รู้เช่นเดียวกัน
หากบรระบุรุษไม่รู้ ถูซือเยียนต้องคิดหาทางหนีไปเอง
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ถูซือเยียนส่งเสียงเรียกดังมาก
“ขอทานชรา ขอทานชรา รีบปล่อยข้าออกไป! จี้หยวน จี้หยวน…พวกท่านรีบออกมา…!”
“ขอทานชรา! ขอทานชรา! จี้หยวน!”
เสียงแหลมๆ ของปีศาจจิ้งจอกดังสะท้อนอยู่ในสถานที่มืดมน มีเพียงเสียงเล็กน้อยสะท้อนกลับมา แต่นางรู้ว่าหากจี้หยวนกับขอทานชราอยู่แถวนี้จะต้องได้ยินแน่นอน ดังนั้นเมื่อแน่ใจแล้วว่าเสียงดังออกไป นางรวบรวมพลังปีศาจอันน้อยนิด ตั้งสมาธิแล้วส่งเสียงดังไปยังทิศทางที่เสียงลอดออกไปได้
เสียงตะโกนเรียกแหลมสูงจองสตรีดังออกไปเลือนราง คนทั่วไปอาจไม่ได้ยิน ทว่าสัตว์ที่หูดีบางจำพวกกลับได้ยินอยู่บ้าง อย่างเช่นพวกค้างคาวที่อยู่ในถ้ำกำลังบินว่อนด้วยความไม่สบายใจ ถึงขนาดบินออกจากถ้ำไปทั้งๆ ที่ดวงอาทิตย์ยังคงจ้าตา
จี้หยวนกับขอทานชราอยู่ที่ไกลในตอนนี้ย่อมไม่ได้ยิน แต่กลับนำเทพภูเขาลาดชันแห่งนี้มาเยือนแล้ว
หมอกควันสายหนึ่งลอยขึ้นหน้าภูเขาที่ผนึกถูซือเยียนไว้ กลายเป็นภูตสวมเสื้อผ้าตนหนึ่ง
สือโหย่วเต้าเงี่ยหูฟัง เแน่ใจแล้วว่ามีเสียงสตรีดังออกมาจากในภูเขา ใต้ภูเขาใหญ่ลูกนี้นอกจากปีศาจจิ้งจอกแปดหางที่ถูกผนึกไว้แล้วยังมีใครอีก เทพภูเขาจึงตั้งสติตั้งใจ มองไปทางซ้ายขวาเล็กน้อย หวังว่าจะเป็นขุนพลเทพเกราะทองที่ไม่แม้แต่จะบอกชื่อกับตนเอง ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ปรากฏกาย
หลังจากลังเลอยู่นาน เทพภูเขารู้สึกว่าอย่าสนใจปีศาจตนนี้จะดีกว่า ครั้นคิดดำดินจากไป ถูซือเยียนในภูเขาไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไร เหมือนกับรู้ว่ามีคนอยู่ข้างหนึ่ง จึงร้องเสียงดังด้วยความดีใจ
“ใครอยู่ข้างนอก ขอทานชรา? จี้หยวน? เป็นพวกท่านหรือ พวกท่านอยู่ข้างนอกใช่หรือไม่ รีบตอบข้า! รีบตอบข้า! ข้าจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ตอบข้าเร็ว!”
ถูซือเยียนซึ่งสงบใจได้แล้วแท้ๆ จงใจตะโกนด้วยเสียงที่สิ้นหวังเจือความเจ็บปวดจนแทบคลั่ง เสียงนี้ใกล้เคียงกับการอ้อนวอน
คราวนี้เทพภูเขาชะงักฝีเท้า หันไปมองภูเขา ความจริงแล้วเขายังไม่เคยเห็นว่านางปีศาจตนนี้เป็นอย่างไร แท้จริงแล้วจิ้งจอกแปดหางนั้นร้ายกาจเพียงใด
ในฐานะเทพภูเขา เพียงสัมผัสภูเขาก็สัมผัสได้อย่างละเอียด ไม่นานพลันพบร่องนั้นก่อนมองไปข้างใน ทว่ามองไม่เห็นอะไรโดยสิ้นเชิง มีเพียงความมืดสนิทเท่านั้น
“เจ้าเป็นใคร เจ้าไม่ใช่จี้หยวน ไม่ใช่ขอทานชราเช่นกัน! ผู้สูงส่งคนใดอยู่ข้างนอกนั่น!”
ถูซือเยียนส่งเสียงคาดหวังและกระวนกระวายออกไป ไม่ว่าใครล้วนสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของนาง
ในเมื่ออีกฝ่ายกลัวขนาดนี้ สือโหย่วเต้ารวบรวมความกล้าอย่างอดไม่ได้
“ขอร้องเจ้าล่ะ พูดกับข้าหน่อยเถอะ ขอเพียงเจ้าพูดกับข้าก็พอ ข้าใกล้เป็นบ้าเต็มทีแล้ว…”
เสียงอ้อนวอนของปีศาจสาวดังออกมา มีวี่แววของการร่ำไห้อยู่ในที
เดิมทีสือโหย่วเต้าไม่อยากสนใจ แต่ตอนนี้กำลังจินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ของสภาพภูเขาลาดชั้นหลังจากนี้ ภูเขาลาดชันที่ความจริงไม่เล็กกลายเป็นภูเขาลูกใหญ่ ส่วนเขาก็เป็นเทพตัวจริง บางทีอาจได้สัมผัสกับอานุภาพเทพภูเขาก่อน กอปรกับรู้สึกว่าตนเองฉลาดพอตัว คิดว่าเพียงพูดคุยกัน ไม่ได้ปล่อยปีศาจสาวตนนี้หนีไปเสียหน่อย ผนึกของท่านเซียนไม่ใช่ของเล่นอยู่แล้ว
“แค่ก! ข้าคือเทพภูเขาแห่งนี้ รับบัญชาของท่านเซียนให้ค่อยเฝ้าปีศาจจิ้งจอกอย่างเจ้า อย่าได้คิดเล่นกลแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้นข้าจะรายงานท่านเซียน ส่วนเจ้าต้องทนทรมานแล้ว!”
ภูตสือโหย่วต้าพยายามทำให้เสียงของตนเองน่าเกรงขามอย่างชัดเจน จากนั้นถือโอกาสส่งเสียงเข้าไปในซอกเขา
ถูซือเยียนได้ฟังดังนั้นพลันเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
เล่นกลแล้วจะรายงานท่านเซียน ความสามารถขี้ประติ๋ว..
‘ไม่ถูกต้อง! จี้หยวนไม่มีทางให้ตัวละครไร้ค่าพรรค์นี้คอยเฝ้า!’
“ที่แท้เป็นใต้เท้าเทพภูเขานี่เอง ข้าขอคารวะที่ตรงนี้ ด้วยถูกทับอยู่ใต้ภูเขา ไม่อาจคารวะต่อหน้าได้ ขอเทพภูเขาอย่าได้ตำหนิ อย่าได้ลงโทษข้าเลย…”
สือโหย่วเต้ายิ้ม ใจกล่าวว่าภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้ทับอยู่ เจ้าคารวะได้ก็แปลกแล้ว! ขณะเดียวกันก็พึงพอใจต่อท่าทีของถูซือเยียนเป็นอย่างยิ่ง คำว่าใต้เท้าเทพภูเขาถูกใจเขามาก ปีศาจจิ้งจอกแปดหางตนนี้ใช้ได้จริงๆ!
“อืม เทพภูเขาย่อมรู้ว่าเจ้าคารวะไม่ได้ คอยท่าอย่างสงบเถอะ ภูเขานี้มีน้ำแร่ไม่ขาดสาย ปราณวิญญาณไหลเวียนต่อเนื่อง”
สิ้นเสียงนั้น เสียงของความดีใจและซาบซึ้งดังออกมาโดยพลัน
“ขอบคุณใต้เท้าเทพภูเขา ขอบคุณใต้เท้าเทพภูเขา ข้าขอโขกศีรษะให้ท่าน…”
มีเสียงโขกศีรษะดังขึ้นจริงๆ
“ทว่าใต้เท้าเทพภูเขาเฝ้าอยู่คนเดียวหรือ ข้าไม่ได้จะร้องขออะไร เพียงขออย่าทำลายน้ำแร่นี้ อย่างน้อยก็ยังได้ดื่มและล้างหน้าอยู่เรื่อยๆ”
นางปีศาจส่งเสียงลังเลและกระวนกระวายใจออกมา เทพภูเขาพูดไม่ออกในทันที มองไปโดยรอบตามสัญชาตญาณ ทว่ายังคงไม่เห็นขันพลทพเกราะทองปรากฏกาย
ในคิดว่าตอนนี้ข้างในมีน้ำแร่ เดิมทีน่าจะซึมมาจากภูเขาใหญ่ เป็นผลงานของท่านเซียนอย่างแน่นอน ขุนพลเทพไม่น่าว่าอะไร
“แค่ก เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เรื่องเล็กพรรค์นี้ ใต้เท้าขุนพลทำไม่น่ามีความเห็นอะไร”
ในภูเขานั้น ถูซือเยียนตาเป็นประกาย ว่าแล้ว!
ทันใดนั้นนางเอ่ยเสียงหวาน
“อืม…เช่นนั้นก็ดี ดีทีเดียวเลย…แม้ข้าไม่รู้สึกว่าข้าผิดอะไร แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทำได้เพียงยอมรับโดยดุษณี ที่จริงน่าจะเชื่อฟังคำจี้หยวนตั้งแต่ตอนนั้น…”
พูดอย่างคลุมเครือจบแล้ว ถูซือเยียนไม่พูดอะไรอีก ด้วยรู้อยู่ลึกๆ ว่าไม่อาจพูดจนหมดเปลือก ไม่ว่าอย่างไรก็ได้พบเทพภูเขาแล้ว ไม่นับว่ารับมือยากเท่าไหร่
กลับเป็นเทพภูเขาข้างนอกมุ่นคิ้ว ในใจเกิดความฉงน ทว่าอดกลั้นไว้ไม่ถามออกไป รออยู่นานไม่ได้ยินเสียงใดลอดออกมาอีก เขาเดินวนเวียนอยู่ครู่หนึ่งถึงดำดินหายไป