เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 485 ร่วมกันคุ้มครองภูเขานี้
ตอนที่ 485 ร่วมกันคุ้มครองภูเขานี้
……………………………………………………………………..
ขอทานชรามองภูตที่โผล่มาตรงหน้า กล้ามเนื้อใบหน้าชักกระตุกอย่างชัดเจน ในพริบตาหนึ่งรู้สึกว่าที่วิชาคุมเทพของจี้หยวนเรียกออกมาไม่ใช่เทพภูเขา ทว่าเป็นใบหน้าของตนเอง
จี้หยวนเห็นสีหน้าขอทานชราไม่ค่อยสู้ดี ทว่าฝ่ายหลังมีสีหน้านั้นเพียงพริบตาเดียว จากนั้นกลับคืนสู่สภาพปกติในทันที ความหนาของผิวหน้าเทียบได้กับภูเขาใหญ่อันเกิดจากวิชากดภูเขาก่อนหน้านี้
หลังจากนั้นความสนใจของจี้หยวนอยู่ที่เทพภูเขา อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนั้นอย่างกระวนกระวาย นอกจากดวงตามองจี้หยวนกับขอทานชราอยู่ตลอด ก็ยังมองภูเขาใหญ่ที่ไม่อาจมองข้ามโดยสิ้นเชิงตรงหน้าด้วย
ในฐานะที่เป็นผู้คิดกลายเป็นเทพแท้จริงของเขาลาดชัน ขั้นแรกคือทำความคุ้นชินกับภูมิประเทศและชำระล้างปราณพิภพ เขารู้จักเขาลาดชันทุกหย่อมหญ้าเป็นอย่างดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยอดเขาเลย
ตอนนี้พลันมียอดเขายักษ์ใหญ่เพิ่มขึ้นมา แค่คิดก็รู้ว่าเกิดขึ้นจากการประชันมรรคก่อนหน้านี้
‘ไอ้หยามารดาเถอะ…เอ่อ สวรรค์โปรด…’
เดิมทีเทพภูเขาอยากสบถเลียนแบบชาวบ้าน แต่นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่มีมารดา ทำได้เพียงเปลี่ยนเป็นเอ่ยถึงสวรรค์
เห็นสายตาของจี้หยวนกับขอทานชราเบนมา เทพภูเขาผู้นี้รีบถอนสายตาตนเอง
“ข้าน้อยมีนามว่าสือโหย่วเต้า ไม่ทราบว่าท่านเซียนทั้งสองเรียกข้ามาด้วยธุระใด”
จี้หยวนชี้ไปข้างๆ
“ภูเขานี้ผู้อาวุโสหลู่สำแดงวิชากดภูเขาสร้างขึ้น ข้างใต้ผนึกนางปีศาจไว้ตนหนึ่ง ภายในหนึ่งร้อยปีนี้จะปล่อยให้หนีไปไม่ได้”
เทพภูเขาอ้าปากเล็กน้อย มองภูเขาใหญ่แล้วพยักหน้า
“ท่านเป็นถึงเทพภูเขาลาดชัน ข้าคนแซ่จี้หวังว่าท่านจะใส่ใจดูแลเสียหน่อย อย่าให้ผนึกเกิดปัญหาเพราะสภาพภูเขา”
ภูเขาลูกใหญ่ขนาดี้ทับอยู่ เทพภูเขายากจะจินตนาการได้ว่าสิงที่อยู่ข้างใต้เป็นปีศาจอะไร ปีศาจมารทั่วไปเกรงว่าถูกทับต้องเละเป็นโจ๊กแน่ นี่ยังต้องทับไปหนึ่งร้อยปีหรือ คิดได้ดังนั้นแล้วเทพภูเขาพลันกังวลใจ หากปีศาจตนนี้หนีไปได้จริงๆ นั่นไม่เท่ากับหา ‘โทษตาย’ มาสู่ตัวหรอกหรือ
แต่ถึงอย่างไรเสียปีศาจก็ยังไม่หนีออกมา เซียนสองคนตรงหน้าที่สร้างภูเขาลูกใหญ่มาผนึกปีศาจกลับยืนอยู่ตัวเป็นๆ ไหนเลยเทพภูเขาจะกล้ากล่าวคำว่าไม่
“ข้าน้อยรับบัญชา ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!”
เทพภูเขาโค้งกายคารวะอีกครั้ง ไม่กล้าเอ่ยวาจาไร้มารยาท
“แค่ก!”
ขอทานชรากระแอมเสียงหนึ่ง พูดขึ้นบ้าง
“ภูเขาผนึกนางปีศาจลูกนี้ อาจมีประโยชน์อะไรสำหรับเทพภูเขาที่ยังไม่กลายเป็นเทพจริงอย่างเจ้าอยู่บ้าง นี่ไม่ใช่วิชาลวงตาเช่นวิชาตาทิพย์ เป็นภูเขาของแท้ และจะเชื่อมต่อกับสภาพภูเขารอบข้าง ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน ทว่าห้าปี สิบปี ร้อยปีหลังจากนี้ สภาพภูเขาลาดชันจะยิ่งใหญ่ขึ้นเพราะภูเขาลูกนี้ หากเทพภูเขาอย่างเจ้าได้รับตำแหน่งเทพแท้สักวัน คงจะเข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไร”
นี่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง เทพภูเขาตาเป็นประกาย แล้วคารวะขอทานชราอย่างจริงจังครั้งหนึ่ง
“ขอบคุณท่านเซียนที่ชี้แนะ!”
ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้ว เทพภูเขากล่าวสิ่งที่เป็นกังวลออกมา
“ทว่า แม้ข้าน้อยยินดีแบ่งเบาความกลัดกลุ้มกับท่านเซียนทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง แต่มรรควิถีของข้าน้อยต่ำต้อย ระดับการฝึกปรือยังไม่ถึงขั้น ขอบเขตพลังจำกัด ทำได้เพียงทำให้ดีที่สุด ไม่กล้าพูดว่าจะไม่มีความผิดพลาด…อีกอย่าง แม้ข้าน้อยเรียกตนเองว่าเทพภูเขา แต่เพียงแปะทองบนหน้าตนเองเท่านั้น ราชวงศ์ต้าซิ่วไม่รู้จักข้า ไม่อาจแสงมรรคกลางภูเขาตามใจอย่างโจ่งแจ้ง อยากตั้งศาล กระนั้นตั้งแล้วอาจถูกทำลายทิ้งข้อหาศาลนอกรีต…”
เมื่อได้ฟังดังนั้น จี้หยวนกับขอทานชราอดไม่ได้ที่จะมองเทพภูเขาตรงหน้าอย่างจริงจัง พวกเขาล้วนเป็นคนฉลาด ย่อมฟังความนัยในคำพูดของเทพภูเขาออก
น่าสนใจ คิดไม่ถึงเลยว่าเทพภูเขาผู้นี้ฉลาดดีทีเดียว รู้ว่าควรคว้าโอกาสนี้เอาไว้ ขณะเดียวกันก็มีความกล้าหาญอยู่บ้าง กล้าลองคว้าโอกาสนี้
“เทพภูเขาวางใจเถอะ”
จี้หยวนพูดแล้วผายมือ บนขอบภูเขาด้านหลังนั้น จอมพลังเกราะทองก้าวมาข้างหน้าทีละก้าว หลังจากนั้นปรากฏเงาร่างชัดเจน ร่างวิญญาณกำยำแข็งแกร่งทำเอาเทพภูเขาตกใจสะดุ้งโหยง
“นายท่าน”
จอมพลังเกราะทองคารวะเล็กน้อย จากนั้นยืดตัวตรง แม้ตัวมันไม่มีสีหน้าความรู้สึกอะไร แต่ไม่ใช่ว่าไร้ปฏิกิริยาต่อโลกภายนอก ดังนั้นสายตามันกวาดมองขอทานชราแล้วมองไปทางเทพภูเขาโดยปริยาย
ทว่าท่าทางปกติของจอมพลังเกราะทองก็คือเงยหน้ายืดอก ร่างกายเทพภูเขาเตี้ยค่อมอย่างชัดเจน ทำให้จอมพลังเกราะทองที่ยืนอยู่ข้างจี้หยวนในตอนนี้เงยหน้าเหลือบมองเทพภูเขาจากที่สูง อย่าว่าแต่เทพภูเขาเลย แม้แต่จี้หยวนกับขอทานชราล้วนรู้สึกว่าต่ำต้อยไร้ค่า
“ฮ่าๆ นี่คือจอมพลังเกราะทอง เรียกจอมพลังผ้าเหลืองก็ได้ เป็นขุนพลเทพวิชาคุ้มกัน มันจะคุ้มกันอยู่ที่นี่ ช่วยเทพภูเขาอีกแรงหนึ่ง”
เทพภูเขาพยักหน้าด้วยเข้าใจอย่างถ่องแท้ รีบก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วคารวะจอมพลังเกราะทอง
“ข้าน้อยเทพภูเขาสือโหย่วเต้า จะได้ร่วมงานกับใต้เท้าขุนพลเทพช่วงหนึ่ง!”
จอมพลังเกราะทองยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ยิ่งไม่โค้งกายคารวะกลับ ยังคงมีท่าทางเงยหน้ามองลงต่ำตามเดิม ตอนเทพภูเขาคารวะเสร็จแล้วเงยหน้า จอมพลังเกราะทองถอนสายตากลับไปแล้ว มองตรงไปข้างหน้า ไม่มองตนเองโดยสิ้นขเชิง
“เอ่อ แหะๆ จอมพลังเกราะทองไม่ได้มีเจตนาอื่น ไว้พวกเราค่อยมาพูดเรื่องอื่นกัน ท่านบอกว่าราชวงศ์ต้าซิ่วไม่ยอมรับตำแหน่งของท่าน ถึงขนาดว่าท่านไม่กล้าให้ทางการราชวงศ์ต้าซิ่วรู้ว่าท่านอยากกลายเป็นเทพ ยิ่งไม่กล้าตั้งศาลเช่นกัน”
จี้หยวนคิดแล้วพูดต่อ
“เรื่องนี้ง่ายดายนัก ข้าคนแซ่จี้กับผู้อาวุโสหลู่จะไปพูดกับโหรหลวงต้าซิ่วด้วยกัน อย่างไรราชวงศ์ต้าซิ่วก็ต้องไว้หน้ากันอยู่บ้าง”
ในใจเทพภูเขาดีใจแทบคลั่ง บนใบหน้ามีแต่ความปีติอย่างปิดไม่มิด หากทางการต้าซิ่วยอมรับ ตั้งศาลเทพภูเขากลางเขาหรือเลียบถนนปากทางขึ้นเขาได้ นั่นเป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างยิ่งยวอด
‘หากพูดทำให้ฮ่องเต้ต้าซิ่วออกราชโองการ ทำให้ทางการชาวบ้านกราบไหว้ นั่น…ช่างเถอะๆ…’
คิดได้เช่นนั้นแล้วเทพภูเขาเก็บรอยยิ้มไม่ไหวอีก คำพูดของผู้สูงส่งมรรคเซียนระดับนี้ถือเป็นคำสัญญา เชื่อถือได้มากยิ่งกว่าหนึ่งคำหลุดจากปาก สี่ม้ายากตามกลับคืนของมนุษย์เสียอีก
ดีใจส่วนดีใจ ได้ใจแต่ไม่อาจลืมกิริยา เทพภูเขารีบคารวะขอบคุณอีกครั้ง เรื่องเกี่ยวข้องกับอนาคตการฝึกปราณของตนเอง จึงไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่นิดเดียว
“ขอบคุณท่านเซียนทั้งสองที่เอ็นดู เช่นนี้ข้าน้อยก็วางใจแล้ว!”
จี้หยวนสบตากับขอทานชรา พยักหน้าให้กันเล็กน้อย มีเทพภูเขาอยู่เท่ากับเพิ่มการดูแลป้องกันขึ้นอีกระดับหนึ่ง
“ดี รบกวนเทพภูเขาสือแล้ว พวกข้าขอตัวก่อน เมื่อนางปีศาจตนนี้ฟื้นแล้วย่อมมาอีกสักครั้ง อาจไม่จำเป็นต้องเฝ้าตลอดร้อยปีหรอก”
คำพูดนี้จี้หยวนพูดไม่หมด เทพภูเขาไม่เข้าใจ ทว่าขอทานชรารู้เจตนาที่ซ่อนอยู่ภายใน ปีศาจจิ้งจอกแปดหางถูซือเยียนตนนี้รับมือยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการนอนรออย่างว่าง่ายเลย
เห็นจี้หยวนกับขอทานชราจะไปแล้ว เทพภูเขาจึงรีบถาม
“ขอถามท่านเซียนทั้งสอง นางปีศาจที่อยู่ใต้ภูเขาเป็นปีศาจอะไร ข้าจะได้เตรียมตัวไว้ก่อน”
ใต้เท้าจี้หยวนกับขอทานชราเกิดเมฆหมอกแล้ว ขณะที่ประคองสองคนลอยขึ้น เสียงพูดของจี้หยวนดังถึงหูเทพภูเขา
“ปีศาจจิ้งจอกแปดหาง ถูซือเยียน พูดเก่งพลิกแพลงเก่ง ไม่ว่านางจะพูดอะไร ท่านอย่าเชื่อเป็นอันขาด”
ทิ้งท้ายไว้แล้ว จี้หยวนกับขอทานชราคารวะเทพภูเขาเล็กน้อยพร้อมกัน แล้วเหาะขึ้นตามเมฆหมอกไป ฝ่ายเทพภูเขาย่อมไม่กล้าละเลย คารวะและน้อมส่งพวกเขาอย่างจริงจัง
“ฮู่…ความกดดันเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้สูงส่งมากทีเดียว แต่อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องดี หึๆ…”
เมื่อเมฆขาวลอยจากไปแล้ว เทพภูเขาพลันผ่อนคลายลงทันที จากนั้นยิ้มอย่างสบายใจยิ่งกว่าเดิม แม้จิ้งจอกแปดหางจะน่ากลัว ทว่าผนึกปีศาจจิ้งจอกแปดหางได้ เช่นนั้นเซียนทั้งสองท่านร้ายกาจยิ่งกว่า บุคคลระดับนี้มีมรรควิถีเทียมฟ้า มีพวกเขาคุ้มกะลาหัวอยู่ หนทางของตนเองต้องสดใสแน่นอน
เทพภูเขาหมุนกายหันหน้าเข้าหาภูเขาพร้อมรอยยิ้มภูมิใจ ทว่าตกใจสะดุ้งเพราะจอมพลังกราะทองผู้เฉยชา
“ไอ้หยา!”
เทพภูเขาตัวสั่นและถอยไปข้างหลัง เกือบลืมไปแล้วว่ายังมีขุนพลเทพเฝ้าภูเขาลูกนี้อยู่ด้วย เมื่อครู่อีกฝ่ายคงเห็นท่าทางของตนเองกระมัง ไม่รู้ว่าขุนพลเทพผู้นี้จะรายงานเรื่องเล็กน้อยหรือไม่…
“เอ่อ ไม่ทราบว่าขุนพลเทพมีนามว่าอะไร ท่านกับข้าสองคนอาจต้องใช้เวลาร่วมกันยาวนาน ฮ่าๆ ข้าน้อยขอแสดงมารยาทแล้ว!”
เทพภูเขาสือโหย่วเต้าคารวะจอมพลังเกราะทองอีกครั้ง ฝ่ายหลังกวาดสายตามองมา หรี่ตาเหลือบมองเบื้องล่าง ทำเอาเทพภูเขาทำตัวไม่ถูก ในใจคิดว่าอีกฝ่ายเห็นท่าทางลืมกิริยาของตนเองก่อนหน้านี้แน่นอน
“ใต้เท้าขุนพลเทพ เอ่อ มีความชอบอะไร ข้าน้อยยินดีหามาให้ในฐานะเจ้าบ้าน…”
ในที่สุดจอมพลังเกราะทองก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกับคำพูดนี้ มันหันหน้ามองไปทางภูเขาแล้วมองเทพภูเขาอีกครั้ง
“ทำตามคำสั่งนายท่าน เฝ้าภูเขาลูกนี้ เฝ้าปีศาจชั่วช้า”
พูดจบแล้วจอมพลังเกราะทองก็ค่อยๆ ถอยหลังไปทางหินผา เงาร่างเลือนรางลงก่อนหายไปจากสายตาเทพภูเขา
เทพภูเขายืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งอย่างงุนงง รู้ดีว่าแม้อีกฝ่ายไม่มองภูตตัวเล็กๆ ที่ยังไม่ได้ปราณอย่างตนเอง แต่เขากลับมีนิสัยเรียบง่าย หันไปทางภูเขาแล้วคารวะเล็กน้อย สุดท้ายกลายเป็นควันสีเขียวหายเข้าไปในพื้นดิน
…
บนเมฆขาว จี้หยวนกับขอทานชรายืนอย่างเงียบงัน หลังจากนั้นนานมากขอทานชราจึงเอ่ยปากอย่างอดไม่ไหว
“ท่านจี้ ท่านก็คุมเทพเป็นหรือ”
“เป็น”
“แล้วไยท่านไม่พูดตั้งแต่เนิ่นๆ”
จี้หยวนแยกเขี้ยว
“ผู้อาวุโสหลู่ไม่ถามตั้งแต่เนิ่นๆ เช่นกัน”
“เฮ้อ…”
ขอทานชราถอนใจก่อนกล่าวกับจี้หยวน
“วิชาคุมเทพของท่านจี้น่าอัศจรรย์มาก ร้ายกาจยิ่งกว่าข้าผู้ชราเสียอีก”
“ชมเกินไปแล้ว วิชาคุมเทพของผู้อาวุโสหลู่นั้น ข้าคนแซ่จี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก น่าอัศจรรย์มากเช่นเดียวกัน”
ขอทานชรายิ้ม
“วิชาดั้งเดิมมีจุดผิดพลาด ข้าผู้ชราปรับปรุงแล้วฝึกฝน ไม่ควรค่าให้พูดถึงสักครั้งหรอก”
จี้หยวนอ้าปาก แต่สุดท้ายไม่ได้พูดอะไรออกมา
สองคนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นขอทานชราพลันเอ่ยปาก
“ท่านจี้ ท่านเป็นวิชาอัศจรรย์อะไรบ้าง บอกกับข้าผู้ชราได้หรือไม่ อย่างเช่นจักรวาลในแขนเสื้อนั่น”
วิชานี้ไม่อาจสำแดงออกมาได้ เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ส่วนอภินิหารอื่นเหมือนไม่เหมาะให้สำแดงออกมาตามใจชอบ เพียงพูดอาจดูเหมือนคุยโว จี้หยวนจึงทำได้เพียงส่ายหน้า
“ผู้ฝึกปราณอย่างข้าย่อมมีความสามารถที่ซ่อนอยู่บ้าง แต่ข้าคนแซ่จี้เป็นเพียงคนพเนจร ไม่มีทางลึกซึ้งเท่าผู้อาวุโสหลู่ ขอไม่บอกดีกว่า”
ขอทานชรามีสีหน้าไม่เชื่อ ทว่าไม่ได้ถามต่อ ด้วยเขาเพียงถามไปอย่างนั้น อีกทั้งกลัวจี้หยวนใช้วิชาสั่นสะเทือนสวรรค์อะไรออกมาจริงๆ