เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 478 เจ้าสำนักลำบากใจที่สุด
ตอนที่ 478 เจ้าสำนักลำบากใจที่สุด
แม้ขอทานชราแอบเทียบตนเองกับจี้หยวนอยู่ในใจเสมอ และเพราะชะงักงันเพราะคำพูดของจี้หยวน แต่เขาเชื่อใจจี้หยวนเป็นอย่างยิ่ง มีมรรควิถีเท่าเขาแล้วย่อมมองออกว่าจี้หยวนเป็นผู้ฝักใฝ่ในมรรคจากใจจริง ไม่อาจลงมือทำร้ายได้ตามใจชอบ อีกอย่างมรรควิถีของตนเองอยู่ขั้นนี้ จึงไม่ถึงกับได้รับผลกระทบเมื่อถูกสายฟ้าธรรมดาหลายสายนี้ผ่าใส่
ดังนั้นขอทานชราคิดว่าจี้หยวนอาจไม่มีเจตนาจริง ทว่าไร้เจตนาก็ยังคงทำให้ลำบากใจมาก ไม่ใช่ว่าเขาไม่พอใจที่ถูกทำให้ ‘ตกใจ’ ทว่าตอนจี้หยวนชี้นิ้วขึ้นบนฟ้าไม่ได้ใช้พลังโดยสิ้นเชิง
นี่หมายความว่าอะไร นี่หมายความว่าความคิดชักนำปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ไม่ใช่ว่าพูดแล้ววิชาตามมาอย่างง่ายดาย อย่างไรเสียอสนีสวรรค์ก็ไม่ใช่วิชาที่จี้หยวนใช้ อย่างน้อยขอทานชราถามตนเองแล้วทำไม่ได้ถึงขั้นนี้ นี่ทำให้เขาลำบากใจมาก
ขอทานชราจึงเปลี่ยนเรื่องเสียเลย
“ก่อนหน้านี้ท่านจี้เคยบาดเจ็บเพราะสายฟ้ากระมัง บาดเจ็บได้อย่างไร เจอศัตรูคนใดเข้าหรือ”
เบื้องหลังของจี้หยวนลึกลับ หลายปีมานี้ขอทานชราสร้างกายเนื้อให้หยางจง มักจะเปลี่ยนชื่อแซ่ลอบสอบถามเรื่องของจี้หยวนสักหน่อย ทว่าไม่มีใครเคยได้ยินทั้งสิ้น กลับไล่ถามขอทานชราด้วยซ้ำว่าผู้สูงส่งที่เขาพูดถึงเป็นใคร หากเป็นคนที่คุ้นเคยกันหน่อย ขอทานชราจะบอกว่าได้ยินเรื่องเล่ามาจากต้าเจิน ส่วนคนอื่นกลับไม่ได้พูดอะไรด้วยมากเท่าไหร่
ตอนนี้ฟังคำพูดของจี้หยวนแล้วพลันใคร่รู้ขึ้นมา
“ไม่ได้เจอศัตรูคนไหนทั้งนั้น ทว่าเสวนามรรคร่วมกับผู้อื่นแล้วโชคดีเห็นแจ้ง ผลจากการฝึกฝนก่อเกิดเคราะห์อสนี ข้าไม่อยากให้ความพยายามของตนเองสูญเปล่า จึงยื่นมือแทรกแซงเคราะห์สวรรค์และได้รับบาดเจ็บ เพิ่งหายดีไม่นานก่อนหน้านี้”
จี้หยวนไม่พูดถึง ‘วิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน’ ที่ตนเองสร้างขึ้น เขากับขอทานชราผูกไมตรีกันพอใช้ได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นเดียวกับมังกรเฒ่า พูดให้หนักหน่อยคือพบปะสนทนากับขอทานชราเพียงไม่กี่ครั้ง แน่นอนว่าไม่มีทางแบไต๋อะไรออกมาได้
ทว่ายากนักที่ขอทานชราฟังคำพูดนี้ของจี้หยวนแล้วจะไม่คิดมาก
รู้แจ้งจากการเสวนามรรค สิ่งที่ฝึกฝนได้ชักนำเคราะห์สวรรค์มาถึงตัว? เคราะห์สวรรค์ทลายถึงร่างมรรคกายเนื้อของจี้หยวนหรือ
ขอทานชรารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่อาจดำเนินต่อไป อย่างน้อยก็ไม่อยากดำเนินต่อไปในตอนนี้
“เช่นนั้นตอนนี้ท่านจี้หายดีแล้วหรือ”
“หายแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะว่าโชคดี ข้าคนแซ่จี้ชดเชยความเข้าใจอันตื้นเขินที่มีต่อวิชาอสนีต่างหาก”
“อืม หายแล้วก็ดีแล้ว เมฆดำนี้ปกคลุมท้องฟ้า เบื้องล่างพายุฝนฟ้าคะนองเสิบสาน เป็นเพราะมีข้อขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายในการเสวนามรรคและใกล้ลงมือต่อสู้ พวกเรารีบไปหน่อยเถอะ จะได้ไม่พลาดสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้”
ขอทานชราเบี่ยงประเด็น โคจรพลังเร่งเร้าเมฆขาวใต้เท้า ความเร็วที่เดิมทีลดลงเพราะฝนฟ้าคะนองและอยู่กลางสายฟ้าเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
แน่นอนว่าจี้หยวนไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน เพียงใช้ตาทิพย์สังเกตลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองในตอนนี้ ก็เหมือนกับสภาวะท่อนไม้กลางสายลมเมื่อครู่นี้ พายุฝนฟ้าคะนองในตอนนี้ ชัดเจนว่ามีสองแหล่งกำเนิดที่ควบคุมฝนฟ้าคะนองอยู่
มีคำกล่าวว่าทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ เมื่อน้ำมาย่อมใช้ดินกลบ น้ำไฟต่อต้านกันเป็นสภาวะการต่อสู้ปกติ จี้หยวนเพิ่งเคยเห็นต่างคนต่างใช้การคุมวาโยเข้าแข่งขันกัน มิน่าเล่าอานุภาพลมถึงได้แปลกประหลาดเช่นนี้
หวิว…หวิว…
มองเห็นกลุ่มเขาริมทะเลได้จากที่ไกล ขอทานชราชี้ทางนั้น
“สถานที่ที่คนกลุ่มนั้นกำหนดไว้ตอนแรกอยู่ที่นั่น ตอนนี้อาจไม่อยู่แล้ว พวกเราต้องจับทิศทางลมเพื่อตามไป ที่ไหนลมแรงที่สุด ปั่นป่วนที่สุดคงไม่มีทางผิดไปได้แล้ว”
ตอนเมฆขาวลอยผ่านเหนือผาสูงชัน พวกเขามองเห็นคลื่นยักษ์โหมขึ้น
ครืน…โครม…
คลื่นยักษ์กระแทกใต้ผาสูงชัน ถูกลมคลั่งพัดขึ้นสูงหลายสิบจั้งเข้าอย่างจัง ใต้ผาสูงชั้นเต็มไปด้วยฟองและละอองน้ำ
ครืน…
เปรี้ยง…
จี้หยวนมองผิวน้ำทะเลไกลๆ เหมือนกับเป็นวันสิ้นโลกก็ไม่ปาน สายฟ้ากลิ้งข้ามทะเล อานุภาพของมันเลวร้ายยิ่งกว่าลมแรงปะทะมหาสมุทรก่อนหน้านี้เสียอีก
“อยู่ทางนั้น”
จี้หยวนชี้ผืนทะเลทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เมฆขาวของขอทานชราไม่ลดความเร็ว มุ่งตรงตามทิศทางที่จี้หยวนชี้ไป
ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง สองคนที่ไล่ตามมาไกลเพื่อดูความคึกคักมองเป็นตัวการในครั้งนี้แล้ว
ผู้ฝึกปราณสำนักฟ้าดั้งเดิมและหุบเขาพายุต่างก็ลอยอยู่กลางอากาศ ผู้ฝึกปราณอาวุโสยืนอยู่บนภาชนะมรรค ส่วนผู้ที่มีระดับการฝึกปราณสูงเหยียบลมคลั่ง ผู้สูงส่งทั้งสองฝ่างต่างใช้วิชาคุมวาโยอย่างต่อเนื่อง อาศัยอานุภาพลมโจมตีอีกฝ่าย เกิดคลื่นเหนือทะเลเบื้องล่างอย่างต่อเนื่อง ราวกับอยู่ในถังน้ำยักษ์ที่โคงเคลงอย่างแรงอย่างไรอย่างนั้น
ขณะที่ประชันมรรคกัน สองฝ่ายตะโกนไม่หยุด
“มาๆๆ ไม่ใช่ว่าสหายยุทธ์หุบเขาพายุใช้วิชาคุมวาโยเก่งมากหรือ ไยจัดการไม่ได้แม้แต่วิชาคุมวาโยเล็กน้อยของสำนักฟ้าดั้งเดิมของพวกข้าเล่า”
“สหายยุทธ์สำนักฟ้าดั้งเดิม พวกข้ามาจากหุบเขาพายุ ไม่ใช่หุบเขาลมคลั่ง ไม่เหมือนกับพวกท่านที่ปากบอกว่าสำนักฟ้าดั้งเดิมเพียบพร้อมด้วยอารมณ์และจิตใจที่แสนดี แต่กลับมีนิสัยป่าเถื่อนเสียอย่างนั้น ไม่เห็นหรือว่าลมของพวกท่านพูดพวกข้าพัดไปแล้ว ยังจะระงับไว้ได้หรืออย่างไร หรือควรใช้ลมแรงโจมตีพวกเจ้าดี”
“บังอาจนัก! ถูดพัดไปที่ไหน พวกข้าเป่าไปเองต่างหาก เป่าไปทางทะเล!”
“ท่านค่อยดูเถอะ เดี๋ยวจะทำให้พวกท่านอยู่บนฟ้าไม่ได้!”
สองฝ่ายสำแดงวิชาอย่างต่อเนื่อง ในสายตาของจี้หยวนนั้น รอบข้างไหนเลยจะมีลมคลั่งพัดแรง มันเหมือนกับมังกรสายลมบินว่อนร้องคำราม ต่างใช้หางมังกรและกรงเล็บคมฉีกทึ้งกันเสียมากกว่า
หวิว..หวิว…
ปึง…
ปึง…
ปึง…
กระแสอากาศจากลมปะทะลมทำให้เกิดเสียงดังลั่นเหมือนกับของแข็งเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นอย่างไร ยังไม่จัดการพวกข้าอีกหรือ ไม่ใช่ว่าต้องการเป่าพวกข้าลงทะเลหรืออย่างไร สหายยุทธ์ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกข้า วิชาคุมวารีของสำนักฟ้าดั้งเดิมก็ไม่อ่อนด้อย ไม่มีทางจมน้ำตาย!”
ผู้ฝึกปราณอาวุโสของหุบเขาพายุโมโหจนหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆๆ…ข้าสงสัยว่าสำนักฟ้าดั้งเดิมพวกท่านพูดถึงการปลูกฝังศีลธรรมของตนเอง สิ่งที่เรียกว่าการคุมวาโยด้วยใจกลับกลายเป็นเพียงการใช้ลมปากกระตุ้นจิตใจผู้อื่น ก่อนหน้านี้ข้าผู้ชราพูดผิดไป ไม่ใช่ไร้ประโยชน์ ทว่าน่ารังเกียจต่างหาก!”
“สหายยุทธ์ท่านพูดเกินไปแล้ว เจอฟ้าผ่าเสีย!”
เปรี้ยง…
เปรี้ยง…
เปรี้ยง…
สายฟ้านับไม่ถ้วนผ่าลงตรงหุบเขาพายุในพริบตานั้น ส่วนใหญ่เฉียดผ่านไป สายฟ้าไม่ได้ถึงตัว ทว่าทำให้ผู้ฝึกปราณหุบเขาพายุลงมือต้านทานตามสัญชาตญาณ ลมฝั่งพวกเขาไม่มั่นคงอยู่บ้างในทันที
“ท่านเล่นกับใครไม่เล่น!”
“ประชันมรรคล้วนต้องร่วมกันทั้งสองฝ่าย แม้แข่งกันด้วยการคุมวาโย แต่หากฟ้าร้องหลายเสียงก็ทำให้พวกท่านหวาดกลัวจนควบคุมลมไม่อยู่ เช่นนั้นศิษย์สำนักคนใดมีมรรคคุมวาโยบ้าง หรือจะบอกว่าเข้มแข็งไม่พอ เช่นนั้นมาฝึกปราณที่สำนักฟ้าดั้งเดิมของพวกข้าสักหลายสิบปีเป็นอย่างไร ข้าจะต้อนรับอย่างอบอุ่นทีเดียว!”
“ท่านพูดไร้สาระแล้ว! เพิ่มกำลังพายุ!”
ทั่วไปแล้วผู้ฝึกเซียนสำแดงวิชาไม่มีทางกล่าวออกมาเสียงดัง อืม นอกเสียจากโมโหหรือร้อนใจจนต้องใช้เสียงปลุกใจ
ฮูม…ฮูม…ซ่า…
เมฆดำบนท้องฟ้าถูกลมคลั่งกวนจนเหมือนกับน้ำวน เหมือนกับสายฟ้าที่จี้หยวนพบในครั้งนั้น เพียงแค่มองก็รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
น้ำทะเลรอบข้างถูกลมคลั่งพัวพันไว้ ละแวกใกล้เคียงสองฝ่ายที่ประชันมรรคกันเกิดพวยน้ำขนาดใหญ่ยักษ์หลายสาย พวยน้ำนี้เชื่อมฟ้าเชื่อมทะเล กึ่งกลางยังมีสายฟ้าเวียนวนอยู่ภายใน แสงสายฟ้ากะพริบแปลบปลาบ
“ให้พวกท่านสำนักฟ้าดั้งเดิมดู ว่าอะไรที่เรียกว่าการคุมวาโยแท้จริง ลมพัดพาพลังสวรรค์ ม้วนเมฆเข้าจู่โจม ผู้ฝึกปราณหุบเขาพายุใช้วิชาตามข้า เผชิญหน้ากับสหายยุทธ์สำนักฟ้าดั้งเดิมอย่างไรก็ต้องต้านไว้ ต้านไม่ไหวก็ลงไปรอใต้ทะเลเสีย!”
เสียงตะโกนของผู้อาวุโสหุบเขาพายุดังทั่วท้องฟ้า ทางฝั่งสำนักฟ้าดั้งเดิมไม่ปากแข็งแล้ว ควบคุมกำลังลมไม่อยู่อย่างเห็นได้ชัด ทำได้เพียงสำแดงวิชาอย่างต่อเนื่อง
ไกลออกไป ถึงดวงตาสีเทาของจี้หยวนดูเหมือนบ่อน้ำไร้ระลอกคลื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ความจริงแล้วจ้องมองเขม็ง การคุมวาโยนี้มหัศจรรย์อย่างยิ่ง อีกทั้งน่ากลัวจนเกินพอดี ความพึงพอใจเพียงเล็กน้อยอันเกิดจากความสำเร็จเหล่านั้นของตนเองในอดีตหายวับไปในวินาทีนี้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ดังนั้นควรถ่อมตนกว่านี้หน่อย
“ไอ้หยา สุดยอดเลยจริงๆ ท่านจี้คิดว่าอย่างไร”
“วิชาคุมวาโยของทั้งสองฝ่ายมหัศจรรย์นัก นี่ไม่ใช่วิชาคุมวาโยธรรมดาแล้ว แต่เป็นการพัดลมตามมรรคแล้วประสานกัน มีทั้งความป่าเถื่อนและอ่อนโยนอยู่ในนั้น สุดยอดมาก!”
“อืม สุดยอดจริงๆ พวกเรายืนไกลหน่อยดีกว่า ความรุนแรงตรงนั้นมากเกินไป”
พูดแล้วขอทานชราก็บังคับเมฆเพิ่มความสูง ยิ่งถอยออกไปไกลอยู่บ้าง เพียงใช้ตาเนื้อมองวิชาของทั้งฝ่ายไม่ออกจากที่ไกล ทว่าอาศัยตาทิพย์ย่อมเห็นกระบวนการประชันมรรคอย่างชัดเจน
“คงไม่เกิดเรื่องกระมัง”
จี้หยวนถามด้วยความกังวลอยู่บ้าง ขอทานชรายิ้มพลางส่ายหน้า
“ไม่มีทาง ต่อให้เกิดเรื่องก็ไม่มีทางเป็นเรื่องใหญ่ เหตุการณ์เสวนามรรคเปลี่ยนเป็นประชันมรรคพรรค์นี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติในช่วงงานชุมนุมเซียนพเนจร ทุกคนล้วนรู้หนักเบาดี…”
เปรี้ยง…
ปึง…
ตูม…
ลมพัดน้ำสีดำพันสายฟ้าไว้ข้างใน แส้ยักษ์ฟ้าดินที่ปะทะกับลม สายฟ้า และน้ำสะบัดอย่างบ้าคลั่ง ทะเลรอบข้างเหมือนกับถูกกระบองทองของซุนหงอคงกวนอย่างต่อเนื่อง เป็นความโกลาหลอย่างยิ่งยวด
ขอทานชรายังพูดไม่จบ คราวนี้เติมคำว่า ‘กระมัง…‘
ความจริงพิสูจน์ว่าแม้จี้หยวนและขอทานชรามาช้าอยู่บ้าง แต่ไม่นับว่ามาช้าจนเกินไป การประชันมรรครั้งนี้ดำเนินต่อเนื่องหลังจากพวกเขามาแล้วนานสองนาน ระดับการเปลี่ยนแปลงมรรคคุมวาโยในนั้นไม่ธรรมดา ทำให้จี้หยวนเปิดหูเปิดตา รู้ว่าอะไรคือลมเปลี่ยนทิศเสมอ
จนถึงวันที่สาม ในที่สุดเรื่องราวก็พลิกกลับ ไม่ใช่ว่าสองฝ่ายประชันมรรคกันแล้วเหนื่อยหรือคลี่คลายแต่อย่างใด ทว่าคนไกล่เกลี่ยมาถึงแล้ว คนไกล่เกลี่ยไม่ใช่จี้หยวนกับขอทานชราอย่างแน่นอน แต่เป็นเจ้าสำนักเขาเก้ายอด
ลายแสงสามสายปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า ขณะเดียวกันส่งเสียงดังข้ามผืนทะเลมา
“สหายยุทธ์ทุกท่านโปรดหยุดมือ! สหายยุทธ์ทุกท่านโปรดหยุดมือ!”
“อย่าประมือกันอีกเลย สหายยุทธ์ทุกท่านจะได้ไม่ต้องบาดเจ็บ งานชุมนุมเซียนพเนจรยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้น!”
“หากมีมนุษย์พายเรือผ่านมา ถูกลมพัดเรือคว่ำแล้วจะดีได้อย่างไร อีกอย่างเผ่าวารีในทะเลล้วนได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน หากเผ่ามังกรทะเลอุดรมาถามความ ข้าควรตอบไปอย่างไร”
เหตุผลเป็นชุดพรั่งพรู ลายแสงสามสายสำแดงอภินิหารคุ้มกัน เข้าใกล้บริเวณใกล้เคียงทั้งสองฝ่ายอย่างละมัดระวัง โชคยังดีที่พูดคุยกันอยู่นานแล้ว สุดท้ายลมก็ค่อยๆ สงบลง
ขอทานชราหัวเราะฮ่าๆ ก่อนกล่าวกับจี้หยวน
“เห็นทีพวกเราไม่จำเป็นต้องลงมือแล้ว หึ เขาเก้ายอดตอนนี้ยังใจกว้าง อีกไม่นานก็จะรู้ว่าเหตุใดจวนเซียนสำนักที่เคยจัดงานชุมนุมเซียนพเนจรครั้งแรกถึงไม่จัดอีกเป็นครั้งที่สอง”
เดิมทีจี้หยวนยังจมอยู่กับความรู้สึกอัศจรรย์ใจในวิชาคุมวาโยนับไม่ถ้วน พอฟังขอทานชราพูดแล้วจึงหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้
“ข้าคนซาจี้พอเข้าใจบ้างแล้ว”
ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดโน้มน้าวทั้งสองฝ่ายได้แล้ว พวกเขาปลดปล่อยไฟโทสะออกไปบ้างแล้วในหลายวันมานี้ ด้านหนึ่งเข้าใจถึงความอัศจรรย์และความแข็งแกร่งของวิชาคุมวาโยอีกฝ่าย อีกด้านหนึ่งขวัญกำลังใจหดหายอยู่บ้างเพราะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้