เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1984 กำลังเสริม
ตอนที่ 1,984 กำลังเสริม
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงว่า “ข้าขอถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าต้องการกำลังเสริมหรือไม่?”
“ต้องการสิ”
หลินเป่ยเฉินรีบตอบรับเร็วไว “แต่ท่านคงไม่ได้ช่วยเหลือข้าโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนหรอกกระมัง?”
“แหม เจ้านี่รู้จักข้าดีจริง ๆ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะด้วยความชอบใจ “แต่ครั้งนี้ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน”
หลินเป่ยเฉินประหลาดใจไม่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น และในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็ยิ่งตึงเครียดมากกว่าเดิม “ท่านกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”
มีหรือที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะยอมช่วยเหลือเขาโดยไม่หวังผลตอบแทน?
หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า “ข้องใจนักก็ไม่ต้องเอากำลังเสริมแล้ว”
“แต่ท่านรับปากว่าจะช่วยเหลือข้าแล้วนี่นา”
หลินเป่ยเฉินบ่น
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเปิดเผยสาเหตุที่ช่วยเหลือเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เหตุผลที่ข้าช่วยเหลือเจ้านั้นเป็นเพราะว่า หากพวกเจ้าพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้ กองทัพอสูรก็จะขยายอิทธิพลในเส้นทางดาราจักร เช่นเดียวกับพวกเผ่ามนุษย์ทะเลทราย และนั่นก็จะเป็นการขัดขวางความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจของข้า ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องช่วยเหลือเจ้าอย่างไม่มีทางเลือก”
หลินเป่ยเฉินรับทราบเหตุผลดังนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรอีก นอกจากกล่าวว่า “บัดนี้ท่านอยู่ที่ใด?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบว่า “อยู่ในที่ที่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้ตลอดเวลา”
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบใช้ความคิดอย่างหาได้ยากยิ่ง
“ท่านต้องปิดบังตัวตนของตนเองให้ดี กำลังเสริมที่ท่านจะส่งมาช่วยเหลือข้าก็เช่นกัน หากผู้คนรู้ว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ ภาพลักษณ์ของข้าอาจจะเสื่อมเสียเอาได้…”
“แล้วเจ้าคิดว่าภาพลักษณ์ของตนเองดีนักหรือไง?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกดวางสายทิ้งไปทันที
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าฮันปู้ฟู่และกล่าวว่า “ดูเหมือนว่า… ข้าคงไม่ต้องส่งผู้ติดตามออกไปแล้วขอรับ”
ดวงตาที่อยู่ภายใต้หมวกเหล็กของฮันปู้ฟู่แสดงออกถึงความสงสัย
หลินเป่ยเฉินชี้มือไปทางสังเวียนประลอง
ซึ่งขณะนี้ได้เกิดแสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับ
บนสังเวียนประลองปรากฏร่างของสตรีที่สวมใส่ชุดขาวผู้หนึ่ง
นางมีความสง่างามไม่ต่างจากดวงจันทร์ ชุดเกราะสีเงินสะท้อนแสงเป็นประกายแวววาว มันเป็นชุดเกราะขนาดพอดีตัว ห่อหุ้มหน้าอก อวดเอวคอดกิ่วและสะโพกผายเข้ารูปสมบูรณ์แบบ สองเท้าของนางสวมใส่รองเท้าบูทโลหะสีเงิน ผมสีดำยาวสยายราวกับน้ำตกปกคลุมไปจนถึงส่วนบั้นท้ายอันกลมกลึง
สตรีผู้นี้สวมหน้ากากสีขาวปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริง
ลักษณะของหน้ากากคล้ายคลึงกับหน้ากากของราชันจอมโจรเงา
แต่วัสดุที่นำมาทำเป็นหน้ากากมีพื้นผิวแวววาวมากกว่ากันหลายเท่า หน้ากากของนางจึงเป็นเหมือนกระดูกขัดเงาผสมผลึกน้ำแข็งพันปี
“จอมเทพอนันต์หญิง? นี่หรือคือตัวแทนของเจ้า?”
ฮันปู้ฟู่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชายวัยกลางคนจึงกลั้นหายใจและหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึง “แม้แต่จอมเทพอนันต์หญิง… จริงด้วยสินะ ข้าควรจะนึกออกตั้งนานแล้ว ในโลกใบนี้ คงไม่มีสตรีผู้ใดที่ไม่หลงเสน่ห์เจ้าใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งด้วยความพิศวง รีบปฏิเสธว่า “ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะศิษย์พี่ ได้โปรดฟังข้าอธิบายก่อน ระหว่างข้ากับนางไม่มีความผูกพันใด ๆ กันทั้งสิ้น”
ฮันซางเซียงยืนเบิกตาโตอยู่ตรงนั้น
หากไม่ได้มีความผูกพันอันใดกัน แล้วทำไมจอมเทพอนันต์หญิงถึงยอมช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน?
ช่วยเหลือเพราะเป็นสหายกันเท่านั้นหรือ?
…
“เจ้าเป็นใคร?”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาของป่าเต๋อเล็กน้อย
เท่าที่มันทราบ กองทัพเป่ยเฉินไม่มีจอมเทพอนันต์หญิง
วันนี้ ป่าเต๋อเตรียมใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้อยู่ส่วนหนึ่ง แต่มันไม่ได้เตรียมใจที่จะพ่ายแพ้ให้แก่สตรีผู้หนึ่งมาก่อน
หากป่าเต๋อพ่ายแพ้ให้แก่คู่ต่อสู้ที่เป็นสตรี แล้วหลังจากนี้มันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
ป่าเต๋อเกิดความลังเลเล็กน้อย หากมันไม่สามารถชนะในการประลองครั้งนี้ได้ ผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่ก็จะไม่มีโอกาสแสดงฝีมือในการต่อสู้คู่ถัดไป เพราะว่ากองทัพเป่ยเฉินจะได้รับชัยชนะครบสามคู่เป็นที่เรียบร้อย… ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกมันวางแผนเอาไว้
แต่ปัญหาก็คือแผนการในครั้งนี้…
ไม่ใช่แผนการที่พวกมันวางกันเอง
แต่นี่เป็นแผนการของท่านราชันอสูรเทพ
หากพวกมันปฏิบัติตามแผนการไม่สำเร็จ นี่ก็เท่ากับเป็นการทำให้ท่านราชันอสูรเทพผิดหวัง และป่าเต๋อก็ทราบชะตากรรมดีว่าตนเองอาจจะต้องตายโดยไร้แผ่นดินกลบฝัง
ป่าเต๋อรู้สึกพะอืดพะอมและปั่นป่วนมวนในท้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน
…
บนเรือเหาะลำใหญ่ของกองทัพอสูรโลหิต ดวงตาของราชาหยกขาวกำลังมองมาอย่างสงสัย
นับว่ากองทัพเป่ยเฉินมีขุมกำลังไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
แม้ว่าผู้เข้าร่วมการประลองที่เตรียมเอาไว้จะไม่สามารถลงสู่สังเวียนได้อีก แต่พวกเขาก็มีกำลังเสริมคอยสำรองเอาไว้รองรับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา
และสตรีชุดขาวผู้ปรากฏตัวบนสังเวียนประลองนั้น นางย่อมเป็นจอมเทพอนันต์โดยไม่ต้องสงสัย
แต่คำถามสำคัญก็คือกองทัพเป่ยเฉินไปนำกำลังเสริมเหล่านี้มาจากที่ใด?
พวกเขาไม่ควรมีขุมกำลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ราชาหยกขาวยังคงไม่พูดคำใด แต่ในดวงตาปรากฏความอำมหิตขึ้นมาแล้ว
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่ว่าผลการประลองในวันนี้จะออกมาเป็นอย่างไร แต่บรรดาผู้นำของกองทัพเป่ยเฉินจะต้องกลายเป็นซากศพให้หมด
ไม่ว่ากองทัพเป่ยเฉินจะมีขุมกำลังแข็งแกร่งเพียงใด แต่เมื่อพบกับผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากกว่า สุดท้ายก็ไม่มีทางต่อกรได้อยู่ดี
…
สตรีชุดขาวผู้นั้นเป็นใครกันหรือ?
ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากเงินของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกำลังแสดงออกถึงความอึดอัดใจ
กล่าวกันตามความจริง นางเป็นผู้ชื่นชอบการสวมเสื้อผ้าบางเบา บางครั้งก็ถึงกับเปลือยกาย เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจึงแทบไม่เคยสวมใส่ชุดเกราะเหล็กรัดรูปถึงเพียงนี้มาก่อน
แต่นางก็ต้องทำเพื่อเด็กหนุ่มผู้นั้น
ชุดเกราะที่นางสวมใส่ช่วยปิดบังพลังปราณปีศาจในร่างกายและเปลี่ยนพวกมันเป็นพลังปราณของมนุษย์
อย่างน้อยผู้คนจำนวนมากก็มองไม่ออก
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงลอบสบถสาบานอยู่ในใจ จากนั้นค่อย ๆ ยกมือขึ้นมากระดิกนิ้วเรียกฝ่ายตรงข้ามและกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขวัญว่า “ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองไม่มีวันดับสิ้น แสงสว่างที่แท้จริงกำลังจะเจิดจ้า ในท้องนภาอันกว้างใหญ่ ผู้คิดคดทรยศจะต้องตกลงสู่นรกไร้ก้นบึ้งตลอดกาล… เจ้าคือป่าเต๋อใช่หรือไม่? จงนำขวานทองคำของเจ้าออกมาและเตรียมตัวรับมือการโจมตีให้ดีเถอะ”
ป่าเต๋อตัวสั่นเทาไปทั้งร่างกาย
เป็นนางอย่างนั้นหรือ?
ที่แท้ก็เป็นนางนี่เอง
ทันใดนั้น ดวงตาของมันปรากฏความตื่นกลัวขึ้นมา!