เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1933 เขากล่าวอะไรอีกบ้าง
ตอนที่ 1,933 เขากล่าวอะไรอีกบ้าง
และด้วยความยอดเยี่ยมของท่านแม่ทัพใหญ่ ผู้คนจึงเชื่อมั่นว่ากองทัพเป่ยเฉินจะสามารถทำสงครามได้อีกร้อยปีโดยไม่พบกับความพ่ายแพ้ เพราะท่านแม่ทัพใหญ่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้นับครั้งไม่ถ้วน ท่านแม่ทัพใหญ่เปลี่ยนแปลงกองกำลังของดาวเคราะห์เล็ก ๆ ให้กลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งและขยายอิทธิพลไปทั่วเส้นทางดาราจักรได้อย่างน่าเกรงขาม
บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาจึงเชื่อฟังคำสั่งจากท่านแม่ทัพใหญ่เป็นอย่างดี แม้แต่สลัดอวกาศบางกลุ่มก็ยังกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีและมาถวายตัวรับใช้ท่านแม่ทัพใหญ่ด้วยความซื่อสัตย์
แม้จะไม่มีผู้ใดทราบชาติกำเนิดที่แท้จริงของท่านแม่ทัพใหญ่
แต่ทุกคนล้วนเคารพนับถือท่านแม่ทัพใหญ่หมดหัวใจ
ท่านแม่ทัพใหญ่กลายเป็นเสาหลักแห่งอาณาจักรเทียนอวี่
ท่านแม่ทัพใหญ่เป็นตัวแทนแห่งความหวัง
ท่านแม่ทัพใหญ่เป็นตัวแทนแห่งแสงสว่าง
ดังนั้น กลุ่มองครักษ์ที่อยู่ข้างกายจึงไม่เคยเห็นท่านแม่ทัพใหญ่มีอาการเช่นนี้มาก่อน
ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใด ใบหน้าของท่านแม่ทัพใหญ่ก็จะมีเพียงความเย็นชาอยู่เสมอ ต่อให้รู้ข่าวว่ากองกำลังของตนเองต้องเสียชีวิตไปหลายพันคนในพริบตาเดียว แต่สีหน้าของท่านแม่ทัพใหญ่ก็ยังคงนิ่งเฉยดุจทะเลสาบน้ำแข็งพันปี
แต่บัดนี้ ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่ากระดาษแผ่นนั้นมีข้อมูลใด ท่านแม่ทัพใหญ่จึงตัวสั่นเทาถึงเพียงนี้
หัวใจขององค์รักษ์และบรรดานายทหารผู้ติดตามเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความลุ้นระทึก
ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่ ๆ
หรือว่าสถานการณ์ในสมรภูมิรบจะเปลี่ยนไปแล้ว?
บัดนี้ ห้องบัญชาการอยู่ในความเงียบ หากมีเข็มหล่นสักเล่มหนึ่งก็ต้องได้ยินเสียงอย่างแน่นอน
สายตาของทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่ท่านแม่ทัพใหญ่ด้วยความตึงเครียด
“พวกเจ้าไปเชิญตัวนายทหารเซี่ยอู๋มาเดี๋ยวนี้…”
ท่านแม่ทัพใหญ่พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ซึ่งเป็นเสียงเดียวกับที่เคยพูดปลุกใจให้นายทหารทุกคนมีความกล้าหาญและเชื่อมั่นในตนเอง
แต่ทันใดนั้น ท่านแม่ทัพใหญ่ก็รีบเปลี่ยนคำสั่งว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าไปหาเขาเองดีกว่า”
หลังจากนั้น กระแสลมก็พัดวูบ แล้วร่างของท่านแม่ทัพใหญ่ก็หายวับไปจากห้องบัญชาการทันที
“พวกท่านทำหน้าที่ของตนเองต่อไปเถอะ”
เสียงของท่านแม่ทัพใหญ่ดังกังวานในอากาศ “ดำเนินการตามแผนเดิม สงครามยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
คำพูดในประโยคหลังของท่านแม่ทัพใหญ่ทำให้นายทหารทุกคนต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ‘ในเมื่อไม่ใช่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการทำสงคราม แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ตกใจเรื่องอะไรกันนะ?’
“ผู้ใดคือเซี่ยอู๋?”
ใครคนหนึ่งส่งเสียงถามขึ้นมา
กลุ่มองครักษ์และนายทหารระดับสูงหันมองหน้ากันอย่างไม่ทราบคำตอบ
“หรือคนที่มีนามว่าเซี่ยอู๋จะเกี่ยวข้องกับจดหมายฉบับนั้น?”
ใครอีกคนหนึ่งถามต่อ
ทว่ายังคงไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามได้
และในกลุ่มนายทหารเหล่านั้น นายทหารระดับสูงผู้หนึ่งซึ่งมีผู้ติดตามนามว่าจ้าวเฉียง ซึ่งในขณะนี้ จ้าวเฉียงกำลังประหลาดใจและสงสัยมากพอ ๆ กัน
ไม่มีทาง…
ท่านแม่ทัพใหญ่หมายถึงเซี่ยอู๋สหายของเขาอย่างนั้นหรือ?
ทันใดนั้น จ้าวเฉียงก็จำขึ้นมาได้ว่าเซี่ยอู๋ขอให้เขาช่วยส่งมอบจดหมายให้แก่ทางกองทัพ
น่าจะใช่
ว่าแต่จดหมายที่ถูกส่งให้แก่ท่านแม่ทัพใหญ่นั้นมีข้อมูลอะไรอยู่กันแน่?
ข้อมูลอะไรที่จะสามารถทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่เสียอาการได้ถึงขนาดนี้?
จ้าวเฉียงพยายามทบทวนถึงคำพูดของเซี่ยอู๋ที่ตนเองเคยรับฟังก่อนหน้านี้ เมื่อจำได้ว่าไม่น่าจะมีเรื่องราวใดร้ายแรงหรือจะเป็นไปในแง่ร้าย เขาก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น
“ฮ่า ๆๆ พวกท่านสงสัยกันใช่หรือไม่?”
จ้าวเฉียงส่งเสียงกระแอมไอขึ้นเล็กน้อย “ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ข้าพอจะรู้เรื่องราวอยู่บ้าง”
เขาจะปล่อยให้โอกาสที่ตนเองได้รับความสนใจหลุดมือไปได้อย่างไร?
ไม่มีสิ่งใดน่าตื่นเต้นมากไปกว่าการทำตัววางท่าใหญ่โตต่อหน้าสหายร่วมรบอีกแล้ว
เป็นไปตามคาด…
ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!
สายตาของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนหันมาจ้องมองที่จ้าวเฉียงเป็นตาเดียว
“เจ้ารู้หรือ?”
“รีบบอกมา”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย?”
บรรดานายทหารต่างก็เข้ามาห้อมล้อมจ้าวเฉียงด้วยความตื่นเต้น
“อะแฮ่ม… เฮ้อ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกคอแห้งจังเลยแฮะ”
จ้าวเฉียงยิ้มด้วยความกระตือรือร้น
“พี่จ้าว ข้าเพิ่งชงชาสมุนไพรร้อยปีเสร็จพอดี เชิญดื่ม”
“พี่จ้าว คืนนี้ออกเวรแล้ว พวกเราไปกินเลี้ยงกันที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงดีหรือไม่? ข้าจะขอร้องให้แม่นางเซียงเซียงขับกล่อมบทเพลงให้พวกเราฟังเอง”
กลุ่มนายทหารที่อยู่ในลำดับชั้นเดียวกับจ้าวเฉียงรีบเข้ามาประจบเอาใจเขาอย่างไม่รอช้า
“ฮ่า ๆๆ ในเมื่อพวกเจ้าขอร้องถึงขนาดนี้ ข้าก็คงต้องขอรับน้ำใจไว้ล่ะนะ”
จ้าวเฉียงรับถ้วยน้ำชาสมุนไพรร้อยปีไปถือ ยิ้มกว้างและกล่าวว่า “เซี่ยอู๋เป็นสหายของข้าเอง พวกเราจบมาจากการฝึกนักรบรุ่นที่สิบเอ็ดของกองทัพเป่ยเฉิน เขาเพิ่งจะแต่งงานไปเมื่อสองวันก่อน เขาเคยขอร้องให้ข้าช่วยส่งมอบจดหมายให้แก่ท่านแม่ทัพใหญ่ก่อนหน้านี้ ฮ่า ๆๆ …ส่วนเนื้อหาในจดหมายมีอะไรบ้าง ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”
“แค่นี้เองหรือ?”
“แค่นี้แหละ”
“รู้ข้อมูลเพียงเท่านี้ ยังจะกล้าโกหกให้ข้าพาเจ้าไปกินเลี้ยงที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงได้อย่างไร?”
“เจ้าเป็นคนบอกว่าจะพาข้าไปเองนะ ข้าไม่ได้โกหกเจ้าสักหน่อย”
“ไร้ยางอาย พวกเราจัดการมัน”
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
จ้าวเฉียงยังคงถูกห้อมล้อมด้วยสหายร่วมรบเช่นเดิม
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเขาถูกห้อมล้อมด้วยบาทาของทุกคน
ทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังขึ้นด้านในห้องบัญชาการ เมื่อพวกเขาชะโงกหน้าเข้ามาดูและเห็นการสหบาทาที่เกิดขึ้น ทหารยามเหล่านั้นก็ล่าถอยกลับไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เพราะถึงจะได้ชื่อว่าเป็นนายทหารผู้ติดตามของท่านแม่ทัพใหญ่ แต่หลายคนก็เคยเป็นจอมโจรและอดีตอันธพาลมาก่อน ดังนั้น การทะเลาะวิวาทเช่นนี้จึงถือเป็นเรื่องปกติยิ่งนัก
…
“ข้าน้อยเซี่ยอู๋ สังกัดหน่วยสืบสวนพิเศษที่ 67 ขอคารวะท่านแม่ทัพใหญ่”
เซี่ยอู๋ตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าท่านแม่ทัพใหญ่ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรจะมาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าตนเอง
“พี่เซี่ย ลุกขึ้นเถอะ”
ท่านแม่ทัพใหญ่เป็นคนไม่ถือตัวและยึดถือทุกคนเป็นเหมือนพี่น้องของตนเองเสมอ “ข้าเพิ่งทราบข่าวว่าท่านแต่งงานไปเมื่อสองวันก่อน... ขอแสดงความยินดีด้วย นี่คือของขวัญจากข้า”
ท่านแม่ทัพใหญ่ส่งมอบตุ๊กตาหยกแกะสลักออกมาตัวหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ของขวัญที่มีค่ามีราคาอันใด แต่เป็นท่านแม่ทัพใหญ่แกะสลักด้วยตนเอง
ทุกคนในกองทัพเป่ยเฉินล้วนทราบดีกว่าท่านแม่ทัพใหญ่มักจะใช้เวลาว่างหมดไปกับการแกะสลักตุ๊กตาหยกเช่นนี้
“ขอบคุณท่านแม่ทัพใหญ่มากขอรับ”
เซี่ยอู๋พอจะคาดเดาเหตุผลได้อยู่แล้วว่าท่านแม่ทัพใหญ่มาหาตนเองด้วยเรื่องอันใด จึงถามว่า “ท่านแม่ทัพคงมาที่นี่เพื่อถามเกี่ยวกับหลินเป่ยเฉินกระมัง?”
“เขาบอกว่าตนเองชื่อหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ?”
ดวงตาของท่านแม่ทัพใหญ่เป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความตื่นเต้น เสียงสั่นเล็กน้อยขณะถามว่า “เขากล่าวอะไรอีกบ้าง? โปรดบอกข้ามาให้หมด”