เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 303 ปราณกระบี่ขั้นสาม
ตอนที่ 303 ปราณกระบี่ขั้นสาม
ฟ้าดินมืดครึ้ม ตะเกียงกระดาษมันที่ลอยอยู่หลังหญิงทะเลตะวันตกเปล่งแสงจันทร์อ่อนๆ นี่คือต้นแสงเพียงหนึ่งเดียวในระยะหลายลี้รอบแม่น้ำหลีเจียง
ฉาวลู่เหยียบบนคลื่นน้ำขึ้นลง ใบหน้าสุขุม ด้วยพลังที่ตะเกียงกระดาษมันดูดซับมาทำให้นางเข้าไปอยู่ขอบเขตที่สิบ พลังบำเพ็ญระดับนี้…หลังเฉาหลันกับเยี่ยหงฝูประกาศทะลวงพลัง ในรุ่นเยาว์ต้าสุยก็ไม่มีผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบบนเวทีอีก
นางกำหมัดยกแขนขึ้น
น้ำในแม่น้ำหลีเจียงก่อเป็นพายุหมุนน้ำขึ้นตามการควบคุมของนาง สอดคล้องกับระดับการยกแขน น้ำนิ่งลูกใหญ่รวมเป็นหยดน้ำยักษ์ ข้างในนั้นมีเด็กหนุ่มชุดขาวใบหน้าหล่อเหลาแต่ซีดเซียวลอยอยู่
กอบกุมฟ้าดิน
ฉาวลู่มีสีหน้าเฉยเมย ชุดคลุมใหญ่สีขาวที่ถอดออกนั้นลอยไปไม่รู้ที่ใดบนแม่น้ำหลีเจียง ตอนนี้สวมผ้าคลุมตัวเล็ก หรืออาจจะเรียกว่าชุดนอกสีขาวดูจะเหมาะสมกว่า ชุดนอกสะบัดไปตามลมแม่น้ำดังพึ่บพั่บ
นางเพ่งมองคนคลั่งกระบี่หลิ่วสืออีที่กำลังหมดสติ พลังทั่วทั้งตัวเหือดแห้ง หลับตา ลอยขึ้นลงอยู่ในหยดน้ำกลางมือ…ศึกนี้จบลงแล้ว
ฉาวลู่พูดเสียงเบา เอ่ยนิ่งๆ “อาจารย์ จบแล้ว”
เสียงลอยล่องออกไป เข้าไปในตะเกียงกระดาษมัน ไฟตะเกียงแกว่งไกว ตัวตะเกียงสั่นไหวเบาๆ
วิชาพันโชคฉายภาพบนแม่น้ำหลีเจียงไปอีกด้านของแดนเทวายอดเหมันต์ตำหนักทะเลสาบกระบี่
สวีไหลมองศิษย์พี่ของตนเงียบๆ
ในแดนเทวายอดเหมันต์ โซ่สี่เส้นตรึงหลิ่วสือในอาภรณ์ฟ้าเข้มไว้ ตรงคิ้วและหนวดของบุรุษเกาะตัวเป็นน้ำแข็งเพราะความหนาวสุดขั้ว เขาเห็นการต่อสู้บนแม่น้ำหลีเจียงตั้งแต่ต้นจนจบ…
ในสีหน้าหลิ่วสือมีความเจ็บปวด มีการดิ้นรน ที่มากกว่านั้นคือความชื่นชม
ตอนนี้ร่างเงาชุดขาวผอมแห้งที่ลอยอยู่ในหยดน้ำยักษ์…ก็คือศิษย์รักของเขา ออกจากตำหนักทะเลสาบกระบี่ไป เติบโตขึ้นมากจริงๆ
หลิ่วสือมองเด็กหนุ่มชุดขาวที่หมดสติไม่รู้เรื่องราวพลางยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “ตั้งแต่ไล่เจ้าลงเขาก็ไม่เคยให้กระบี่ดีสมกับฐานะเจ้าเลย…”
เป็นความผิดอาจารย์เอง
ศึกกับวิมานเทพทะเลตะวันตก เจ้าไม่มีกระบี่ถนัดมือ
เขาเห็นกระบี่ยาวของหลิ่วสืออีที่ถูกฟันกระเด็น
นั่นคือกระบี่มีชื่อของเขาเชียงซาน มีชื่อว่าปราณนิรันดร์ เซียนกระบี่น้อยเขาเชียงซานหวังอี้แบกไว้ สุดท้ายก็แพ้ให้หนิงอี้แห่งเขาสู่ซานที่หุบเขานิรันดร์
กระบี่ยาวนั้น แม้จะมีระดับอยู่สี่อันดับแรกของเขาเชียงซานซึ่งเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา แต่ก็ไม่เข้ากับวิชาของทะเลสาบกระบี่เลย หากหลิ่วสืออีถือล่าวารี ก็จะใช้อานุภาพได้แค่ครึ่งหนึ่งกระทั่งต่ำกว่านั้น…
กระบี่ที่เหมาะกับหลิ่วสืออีที่สุดจะต้องเร็วพอ คมพอ เบาพอ
ในตำหนักทะเลสาบกระบี่ก็มีกระบี่เช่นนั้นอยู่พอดี…
ยอดเหมันต์
หลิ่วสือยิ้มเยาะตัวเอง เดิมทีเขาอยากรอให้หลิ่วสืออีกลับมาจากข้างนอก แล้วจึงจะนำยอดเหมันต์ออกมามอบให้เขา
ตอนนี้ดูท่า…คงไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว
บุรุษชุดคลุมเต๋าสีฟ้าเข้มขมวดคิ้ว กระแอมไอเบาๆ หลายที เขาก้มหน้ามองจุดเลือดเล็กๆ ตรงอกเสื้อที่ไอออกมา ตนถูกขังอยู่ในแดนเทวา เพลิงมรรคลุกไหม้ สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิดไว้มาก
สถานการณ์แย่มาก
มีสิ่งเดียวที่เขาปลื้มใจคือศิษย์ของตนเป็นอย่างที่เคยสอนจริงๆ ออกจากตำหนักทะเลสาบกระบี่ก็ไปพบชาวต้าสุย ดูภูเขาแม่น้ำทะเล ตระหนักทุกสรรพสิ่งเป็นหนึ่งกระบี่…นี่คือหลักการฝึกบำเพ็ญของหลิ่วสือ และเป็นหลักการของเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่คนก่อน มรดกสืบทอดต่อกัน หลักการนี้ ตอนนี้อยู่กับคนคลั่งกระบี่หนุ่มหลิ่วสืออี
ภาพจากวิชาพันโชค…แทบจะรู้ผลแพ้ชนะแล้ว
หลิ่วสือมองศิษย์น้องในชุดคลุมดำที่โดดลงมาจากแท่งน้ำแข็ง
เขาพ่นลมหายใจขุ่นยาว ในความคิดซับซ้อนไปหมด
หรือว่าสิ่งที่ศิษย์น้องตนบอกจะถูกต้องจริงๆ?
ความหวังของตำหนักทะเลสาบกระบี่แพ้ให้กับวิมานเทพ…นี่ถือว่ายืนยันหรือไม่ว่าความยึดมั่นของตนกับอาจารย์ตลอดหลายปีมานี้ผิดทั้งหมด?
หลิ่วสือหน้าซีดเล็กน้อย
เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับสีหน้าเฉยชาของศิษย์น้อง
……
ศิษย์ของตนฉาวลู่ใช้พลังกำราบหลิ่วสืออี มอบชัยชนะครั้งนี้ให้วิมานเทพ…แต่สวีไหลกลับไม่มีสีหน้าดีใจเลยสักนิด
หรืออารมณ์อื่นที่คล้ายๆ กันก็ไม่มีเลย
สงบนิ่ง
นิ่งถึงที่สุด
นิ่งจน…หลิ่วสือเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง เหมือนว่าสวีไหลจะรู้บทสรุปของวันนี้ก่อนแล้ว
ศิษย์ของสวีไหลจะต้องชนะศิษย์ของหลิ่วสือแน่นอน
ชายหนุ่มชุดดำเพ่งมองศิษย์พี่ที่ถูกขังในแดนเทวายอดเหมันต์เช่นนี้ จากนั้นพูดสิ่งที่อัดอั้นใจมาตลอดหลายสิบปี
สวีไหลเอ่ยเสียงแหบแห้ง “ศิษย์พี่ ข้าพิสูจน์ตัวข้าเองแล้ว”
ตอนหนุ่ม เพราะไม่ฝึกตามหลักการจึงถูกอาจารย์กดดันทุกทาง สวีไหลที่ไม่กดพลังบำเพ็ญฝึกฝนตามทะเลสาบกระบี่ สุดท้ายเลือกทรยศออกจากทะเลสาบกระบี่ ซ้ำยังขโมยชีวิตนิรันดร์ไป หลังจากออกไปก็ไม่กดพรสวรรค์ของตัวเองไว้อีก…น่าเสียดายที่เขากับหลิ่วสือไม่อยู่ใต้ฟ้าเดียวกันอีก การจะพิสูจน์ตัวเองก็ต้องรออีกหลายปี
อย่างเช่น…วันนี้
ศิษย์ของเขาเอาชนะศิษย์ของศิษย์พี่ นี่ไม่ใช่การพิสูจน์ที่ดีที่สุดรึ
สวีไหลมีใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ลึกๆ ในแววตาเขาซ่อนความเร่าร้อนไว้
เขารอวันนี้มาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว
สวีไหลเอ่ยเนิบๆ “ข้าต้องการกระบี่นั่น…ยอดเหมันต์”
คำพูดนี้ดังในหู หลิ่วสือที่จ้องภาพแม่น้ำหลีเจียงในตะเกียงกระดาษมันลมหายใจหยุดนิ่ง ดวงตาหรี่แคบลง
…………….
บนแม่น้ำหลีเจียง นักกระบี่หญิงทะเลตะวันตกที่มีดวงจันทร์อยู่ข้างหลังคนนั้นโบกแขนเสื้อเบาๆ ชุดคลุมตัดละอองน้ำของแม่น้ำหลีเจียงกลางสายลม หยดน้ำยักษ์ที่หุ้มหลิ่วสืออีไว้พลันพุ่งไปชนกลางหินผาข้างๆ
เศษหินแตกไปตามหยดน้ำกระจาย ตกลงบนแม่น้ำหลีเจียงพร้อมกัน
ฉาวลู่โบกแขนเสื้ออีกครั้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก สายน้ำรวมขึ้นเหมือนลำธารอีกครั้ง หุ้มคนคลั่งกระบี่ชุดขาวไว้ ก่อนจะข้ามสองฝั่งแม่น้ำหลีเจียงไปกระแทกกับหินผา
หลิ่วสืออีร้องออกมาในลำคอด้วยความเจ็บปวด หลังเขากระแทกกับหินผาอย่างแรง หินพลันแตกเป็นรอยใยแมงมุม
ตะเกียงกระดาษมันข้างหลังฉาวลู่รวมแสงดาราฟ้าดินอีกครั้ง กลายเป็นเม็ดกลมชัดเจนบนแม่น้ำ เศษหินและน้ำแข็งมากมายลอยขึ้น หันปลายแหลมเล็งไปยังคนคลั่งกระบี่ที่ถูกตอกบนหินผา
ชุดขาวไม่ใช่ชุดขาวอีกต่อไป
อาภรณ์ของหลิ่วสืออีส่วนใหญ่เปื้อนเลือด…เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญหลอมกายอย่างหนิงอี้ หากปราณกระบี่คุ้มกันถูกทำลาย ที่จริงกายจิตก็ไม่ถือว่าแกร่งอะไรมากนัก ต่อให้เป็นหนิงอี้ ถูกฉาวลู่ใช้พลังขอบเขตที่สิบฟาดใส่สองที กายจิตก็ไม่ไหวเหมือนกัน
หลิ่วสืออีที่หลับตาอยู่ขมวดคิ้วขึ้น ดูเจ็บปวดมาก…ถ้าไม่ใช่เพราะอาภรณ์เปื้อนเลือดเยอะมาก เขาก็คงดูเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงปัญหาวิถีกระบี่มากกว่า
ปราณกระบี่ในกายเหือดแห้งแล้ว
แสงดาราเหือดแห้ง
หมดทุกอย่างแล้ว
ตอนนี้ชีวิตของคนคลั่งกระบี่อยู่ในกำมือฉาวลู่
………..
สวีไหลที่ยืนอยู่ในแดนเทวายอดเหมันต์ เอ่ยกับศิษย์พี่หลิ่วสือทีละคำ “เอากระบี่มา”
พูดแค่นี้
หลิ่วสือพ่นลมหายใจยาว
เขาไม่บอก แต่สองคนก็เข้าใจความหมายดี
หนึ่งกระบี่แลกหนึ่งชีวิต
เขาจะปกป้องหลิ่วสืออี
สวีไหลพยักหน้า “ตกลง”
บุรุษชุดคลุมเต๋าสีฟ้าเข้มพูดอย่างเหนื่อยล้า “กระบี่ยอดเหมันต์อยู่ในวิหารผู้คุมกฎตำหนักทะเลสาบกระบี่ ต้องให้ข้าไปด้วยตัวเองถึงจะเปิดได้…ขังข้าไว้แดนเทวายอดเหมันต์ ต่อให้ข้าบอกตำแหน่งพวกเจ้า พวกเจ้าก็เอามันมาไม่ได้”
สวีไหลไม่พูดอะไร
สวีไหลในชุดดำแค่กดมือลงมา
กดผ่านอาภรณ์ เหมือนจะกดมาจนถึงสิ่งของเรียวยาวที่ซ่อนไว้ลึกมากข้างเอว
เป็นกระบี่
ฟันกระบี่ลง
กระบี่กลับเข้าฝักแล้ว
ท่าทางการซ่อนกระบี่ชักกระบี่นี้เร็วจนเหลือแค่เงา แม้แต่หลิ่วสือที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ยังมองเห็นไม่ชัด
แสงกระบี่สายหนึ่งฟันยาวออกไป
สายลมพัดผ่านข้างหู
พริบตาต่อมา หลิ่วสือรู้สึกตัวเบาขึ้น โซ่สองเส้นที่ทะลวงหัวไหล่แตกออกดังกึก ไอหนาวในแดนเทวายอดเหมันต์ถูกกระบี่นี้ฟันขาด หิมะโปรยปราย ในที่สุดบุรุษชุดคลุมเต๋าฟ้าเข้มก็เชื่อมกับแสงดาราในกายได้ เพลิงมรรคที่ลุกไหม้อยู่ดับลงช้าๆ…หากเพลิงมรรคลุกไหม้ต่อไป เขาไม่ถูกเผาตายก็ถูกกดดันให้ต้องจุดมรรคผลของนิพพาน ต้องเดินก้าวไปสู่ความตายและถือกำเนิดใหม่
โลกนี้คนที่เดินไปถึงราชันดาราได้มีน้อยมาก และคนที่มีความกล้าเดินก้าวนั้นก่อนมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
นอกจากท่านหญิงซูมู่เจอแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเมืองหลวงคนนั้น ต้าสุยก็ไม่เคยปรากฏบุคคลระดับขอบเขตนิพพานมานานมากแล้ว
หลิ่วสือรู้ดีว่าหากลองนิพพานในแดนเทวายอดเหมันต์…จะมีโอกาสล้มเหลวสูงมาก แทบจะตายสิบไม่มีรอดเลย
หลังจากเขาหลุดพ้นจากพันธนาการ สวีไหลก็เก็บภาพแม่น้ำหลีเจียงที่ฉายตรงหน้าเขาไป
สวีไหลที่ยื่นมือไปจะคว้าด้ามยาวของตะเกียงกระดาษมันหันมาพูดกับหลิ่วสือ “อย่าเล่นตุกติก”
ชายหนุ่มชุดดำถือตะเกียงกระดาษมัน ส่งกระแสจิตไป
“ไว้ชีวิตเขา”
คำพูดนี้ตั้งใจพูดต่อหน้าหลิ่วสือ จบทุกอย่างบนภาพ
สวีไหลเป็นคนค่อนข้างโอหัง
เขาไม่คิดจะใช้วิธีการเอาตัวรอดไปวันๆ อยู่แล้ว และไม่แยแสจะปลิดชีวิตของคนคลั่งกระบี่หนุ่มนั่นเช่นกัน
……
บนแม่น้ำหลีเจียง
เสียงอาจารย์สวีไหลดังวนเวียนข้างหูฉาวลู่เหมือนสายลม
“ไว้ชีวิตเขา”
ม้วนภาพวิชาพันโชคเก็บกลับมาช้าๆ
นักกระบี่หญิงทะเลตะวันตกเข้าใจคร่าวๆ ว่า…อาจารย์จะได้ยอดเหมันต์แล้ว
นางหันไปมองหินผาราบที่เหมือนถูกดาบฟันไม่ไกล เพราะนางใช้แรงมากเกินไป ตรงกลางใยแมงมุมนั่นจึงยุบลงไปลึกมาก
ฝุ่นดินกับหมอกแดงคละปนกัน
นางส่งกระแสจิตออกไปจะตรวจดู ดูว่าร่างชุดขาวที่ฝังในหินผายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่
พริบตาต่อมา
ฉาวลู่พลันหน้าเปลี่ยนสีไป
กระแสจิตของนางถูกปราณกระบี่ดับ
ฝุ่นดินกับหมอกแดงกระจายออกมาช้าๆ
ร่างสะบักสะบอมชุดขาวร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิลอยกลางอากาศ
น้ำในแม่น้ำหลีเจียงวนเวียนขึ้น แสงดาราแผ่ออกมาในสภาพอับจน
ไม่ใช่แสงดาราขอบเขตที่เจ็ดอีกต่อไป
ปราณกระบี่เหือดแห้งในตอนแรกกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง ใช้เวลาไปเพียงไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ
หลิ่วสืออีที่นั่งบนคลื่นแม่น้ำหลีเจียงคลายปมคิ้วออกช้าๆ
เขากำลังคิดถึงคำถามที่กวนใจเขามานานมาก
ตอนนี้เขานึกออกแล้ว
จึงเดินก้าวนั้นออกไป
ปราณกระบี่ขั้นสาม
………………………………