เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 282 ข่าวกรองสำนักลับ
ตอนที่ 282 ข่าวกรองสำนักลับ
เส้นทางต่อจากนี้
พายุทรายยังคงรุนแรง เส้นทางยังคงมีอุปสรรค
แต่เหยียนซิ่วชุนใจสงบลงทีละนิดแล้ว
หลังม้าโคลงเคลง
ร่างกายปรับสภาพได้ทีละนิด กลับมาสงบนิ่ง
นางกอดกล่องเหล็กเลือดจิ้งจอกสวรรค์ไว้ หันไปมอง ชายชุดคลุมดำถูกลมพัดเป็นคลื่น ตอนนี้ข้างหลังมีเพียงทรายกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
ยันต์ของคุณชายหนิงคนนั้นดีมากจริงๆ
ยันต์ชื่อขนห่านผูกกับขาม้า เร่งความเร็วได้มาก
คนที่ไล่ตามมาข้างหลังถูกทิ้งห่างไปนานแล้ว หลายวันแรกที่ออกจากเมืองอาทิตย์อุทัย นางอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา กังวลว่าตนจะถูกตามทัน ถึงตอนนั้นคงเลี่ยงการนองเลือดรวมถึงปัญหามากมายไม่ได้
อีกไม่ไกลก็จะเป็นประตูหยกแล้ว
คาดได้ว่าเส้นทางที่เหลือจากนี้คงไม่มีเรื่องอะไรอีกแล้ว
กลุ่มคนเจ็ดคน พวกหนิงอี้สามคนอยู่ข้างหน้า พวกนางสี่คนตามหลัง
ควันไฟพวยพุ่งกลางทะเลทราย ตะวันตกดินริมแม่น้ำยาว
ภาพนี้ไม่ได้หาดูยาก ขบวนพ่อค้าดินแดนกลางออกเดินทางไปตะวันตกจะต้องผ่านด่านประตูหยก
‘ฮี่~’
ม้าหลังดำแผงคอแดงยกเท้าหน้าขึ้นสูง ขนแผงคอพลิ้วไหว
หนิงอี้ควบม้าหยุดลง หันไปโบกมือกลางพายุทราย ชี้ไปที่โรงเตี๊ยมข้างหน้า สื่อว่าถึงที่หมายแล้ว
ที่นี่คือรอยเชื่อมระหว่างแดนกลางกับแดนประจิม
“คุณชายหนิง ที่นี่คือประตูหยกแล้ว ตอนนี้ถึงอย่างปลอดภัย ก็ขอให้ม้าสองตัวนี้กับท่าน”
เหยียนซิ่วชุนพลิกตัวลงม้า นางกอดกล่องเหล็ก เพ่งสายตามอง พายุทรายแรงมาก ก่อนจะพูดจากใจจริง “เป็นน้ำใจเล็กๆ คุณชายรับไว้ด้วย”
“ตอนนี้แม้ข้าจะตาไม่ดี แต่ก็มองออกว่าคุณชายแบกเรื่องสำคัญอยู่…” เหยียนซิ่วชุนปรายตามองหญิงชุดครามและหลิ่วสืออี นางกอดกล่องเหล็กบรรจุเลือดจิ้งจอกสวรรค์ไว้พลางโค้งตัวลงเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้น พูดอย่างจริงจัง “แยกกันตรงนี้เถอะ”
หนิงอี้ถามด้วยรอยยิ้ม “แม่นางเหยียนจะเสริมพลังค่ายกลอย่างไรรึ”
เหยียนซิ่วชุนอึ้งงัน
“ก่อนหน้านี้อาจารย์ทั้งสองเคยสอนข้าแล้ว หลังนำเลือดจิ้งจอกสวรรค์ออกมาก็ให้ทาไปที่ค่ายกลคุกด่านประตูหยก” เหยียนซิ่วชุนคลึงแก้ม พูดเบาๆ ด้วยสีหน้าซับซ้อน “เรื่องสถานที่และขั้นตอนอย่างละเอียดเป็นความลับของกรมปราบปีศาจ ห้ามบอกใคร…อภัยให้ด้วยที่ตอบคำถามคุณชายหนิงไม่ได้”
หนิงอี้ก็แค่ถามไปอย่างนั้นเองเหมือนกัน เหยียนซิ่วชุนพูดจบเขาก็พยักหน้า เอ่ยเรียบๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้แม่นางเหยียนเดินทางปลอดภัย”
เหยียนซิ่วชุนพลิกตัวขึ้นม้าอีกครั้ง
คนกับม้าสองกลุ่มแยกกันตรงนี้
หนิงอี้ไปหาโรงเตี๊ยมหนึ่ง เปิดห้องกว้างห้องหนึ่ง
พายุทรายข้างนอกถาโถมเข้ามา เปิดหน้าต่างไม้ออกก็ยังเห็นร่างเงาของกลุ่มเหยียนซิ่วชุนเดินไกลออกไปเรื่อยๆ
“สองคำถาม”
หลิ่วสืออีพิงขอบหน้าต่าง ละสายตามองทอดไกลกลับมา “ส่งพวกนางเพียงเพื่อม้าสองตัวรึ เจ้าไม่สนใจยอดปีศาจจิ้งจอกสวรรค์นั่นที่ถูกขังใต้ด่านประตูหยกเลยรึ”
เขานิ่งไปก่อนจะพูดต่อ “บางทีอาจเป็นเพียงคำถามเดียว…พวกเราจะเอาอย่างไรต่อไป”
หนิงอี้นั่งยองข้างเด็กสาว
เด็กสาวกำลังเช็ดคราบฝุ่นที่เกาะบนใบต้นครามหมื่นปี
“ตั้งแต่ตอนนั้นที่เจอกันและยันต์ด้ายทองดังขึ้น…” เผยฝานเพ่งมองใบยาวของต้นครามหมื่นปี หลังผ่านอุปสรรคในช่วงนี้มา ใบเขียวสั่นไหว ถูกพายุทรายชะล้างก็ยังมั่นคง นางยืนตัวตรง ก่อนจะพูดต่อ “ก็มีคำถามพวกนี้อยู่แล้ว”
จะทำอะไร
จะไปที่ใด
“หลิ่วสืออี เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำว่าข่าวกรองหมายถึงอะไร”
…..
ข่าวกรองเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยที่สุดในโลก
มันเป็นสายลมได้ เป็นสายฝนได้ เป็นคำพูด เป็นจดหมายได้
มันเป็นได้ทุกอย่าง
และคนที่หาข่าวกรอง คนที่มีเครือข่ายมากที่สุด ใหญ่ที่สุดในใต้ฟ้าต้าสุยก็คือกรมข่าวกรองของเมืองหลวง
ทูตผู้ถือคำสั่งของกรมข่าวกรองมีอยู่ทั่วทั้งต้าสุย
นอกจากกรมข่าวกรองแล้ว…ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ก็สร้างหน่วยข่าวกรองขึ้นเช่นกัน
และหน่วยข่าวกรองของเขาสู่ซานก็มีชื่อว่า ‘สำนักลับ’
สำนักลับหมายเลขสามสองเจ็ด
หมายเลขสามสองเจ็ดได้รับคำสั่งมาเมื่อสามวันก่อน เขาได้รับภารกิจที่เดินทางไปไกลโพ้น ผู้บำเพ็ญของสำนักลับเขาสู่ซานด้อยกว่ากรมข่าวกรองเมืองหลวงขั้นหนึ่ง แต่ก็มีอิทธิพลในแดนประจิมมากกว่า
ในตัวหมายเลขสามสองเจ็ดแบกคำสั่งลับไว้สองอย่าง
ต้องส่งให้คนคนเดียว
‘เหตุการณ์ที่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ กรมปราบปีศาจกำลังวางแผนปราบปรามอยู่ใต้ประตูหยก’
การส่งต่อความลับสองอย่างนี้ไม่ใช่การส่งเอกสารปกติ แต่ส่งผ่านการผสมระหว่างวาจาและเอกสาร…เพราะความลับของสองข่าวนี้อยู่ในระดับที่สูงมาก ห้ามส่งผ่านมือเดียว หมายเลขสามสองเจ็ดเป็นคนที่ไว้ใจได้ที่สุดในสำนักลับเขาสู่ซาน สิบปีมานี้ทำภารกิจส่งข่าวทุกครั้งสำเร็จทั้งหมด
ท่านพันกรแห่งเขาสู่ซานมอบหมายภารกิจให้เขาด้วยตัวเอง
หมายเลขสามสองเจ็ดไม่รู้ว่าตนจะไปเจอใคร เขาออกเดินทางจากอารามเพรียกหาในเมืองสันติแดนประจิม ไม่เคยหยุดม้า เร่งเดินทางไปด่านประตูหยกแดนกลาง ความจริงระหว่างทางก็เดาได้แล้ว
คนที่มีคุณสมบัติส่งสารลับหาท่านพันกรเพื่อขอความช่วยเหลือได้ ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญบนเขาสู่ซาน…
เด็กหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งลอยขึ้นมาในความคิดหมายเลขสามสองเจ็ดช้าๆ
ในคำสั่งลับนัดแนะเวลาและที่หมายไว้อย่างดี เขาเองก็มาถึงด่านประตูหยกได้ในสามวันตามที่ตั้งเป้าไว้
เคาะประตูเบาสามครั้ง เคาะหนักหนึ่งครั้ง ทำซ้ำสามครั้ง
“เข้ามา”
หมายเลขสามสองเจ็ดมีสีหน้าปล่อยวางเล็กน้อย
เป็นเสียงคุ้นหู
เขาผลักประตูห้องก็เห็นเด็กหนุ่มที่เคยเจอหน้ากันที่อารามเพรียกหาคนนั้นจริงๆ
“เจ้า…เจ้าคือ”
หนิงอี้มีภาพจำอยู่นิดๆ
หมายเลขสามสองเจ็ดเตือนด้วยเจตนาดี “เรื่ององค์รัชทายาทต้าสุยลุ่มหลงในกามารมณ์ ข้ากลับมองว่า…”
หนิงอี้นึกออกในทันที
คนอ้วนคนนี้ ตอนนั้นอยู่ที่เมืองสันติ ตนกับเด็กสาวตามสวีจั้งไปรับข่าวที่อารามเพรียกหา คนที่รับผิดชอบส่งข่าวก็คือหมายเลขสามสองเจ็ดคนนี้
“ซูฝูรึ” เขาหยั่งเชิงเอ่ยนามนี้
“ถูกต้องแล้ว อาจารย์อาน้อย ข้าเอง” คนอ้วนยิ้มแย้ม
หนิงอี้เกาศีรษะ “เรื่ององค์รัชทายาทลุ่มหลงในกามารมณ์อะไรนี่…มันอะไรกัน เจ้าเป็นคนเขียนรึ”
เผยฝานที่ความจำดียิ่งมีสีหน้าเก้อเขิน นางพูดเตือนเสียงเบา “เป็นข่าวกรองที่ทับกันไว้ในหอสำนักลับ และยังมีข้อมูลขององค์ชายสามอีกเล่ม…ตอนนั้นเราเคยอ่านกัน”
นึกออกแล้ว
ตอนนั้นเคยไปที่หอสำนักลับ อยู่ใต้ดินอารามเพรียกหา…ซ่อนเอกสารสีเหลืองพวกนั้นไว้
ซูฝูปิดประตู “น่าอายแล้วๆ แม่นางเผยความจำดีจริงๆ เอกสารสองฉบับนี้ล้วนมาจากมือคนต่ำทราม”
ในเมืองหลวง ต่างเล่าลือกันว่าองค์รัชทายาทหลี่ไป๋เจียวเป็นคนไร้ความสามารถ
แต่หลังได้เจอกันที่ร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์ หนิงอี้ก็เชื่อว่าบุตรมังกรสามคนของราชวงศ์ต้าสุยล้วนไม่ใช่คนธรรมดา
องค์รัชทายาทซ่อนตัวไว้ลึกมาก
และใบหน้าจริงขององค์รัชทายาทตอนนี้ยังซ่อนอยู่ใต้ดินต้าสุย สามกรมสองราชสำนักต่างไม่เปลี่ยนความคิดเดิม ค่อยๆ ดันองค์รัชทายาทคนนี้ออก ลืมเลือนเขาไป
ตอนนี้ดูแล้ว เอกสารที่อารามเพรียกหานั้น คนหาข่าวมีสายตาที่เรียกว่าเข็มเดียวก็จี้ถูกจุด
หนิงอี้อดมองหมายเลขสามสองเจ็ดในมุมใหม่ไม่ได้
หลังคนอ้วนเข้ามาก็ไม่เกรงใจ ขยับม้านั่งมานั่งในห้อง พิงประตูไม้ ถอนหายใจ “ข้าจะบอกให้นะอาจารย์อาน้อย ข้าเดินทางจากแดนประจิมข้ามวันข้ามคืนมา เหนื่อยจะตายแล้ว…ท่านใช้ความลับระดับสูงสุดของเขาสู่ซาน ปกติจะต้องเป็นข้อมูลลับเกี่ยวกับเรื่องคอขาดบาดตายนะ”
เขานำเอกสารออกมาส่งให้
หนิงอี้แบ่งเอกสารออกมาฉบับหนึ่งส่งให้เผยฝาน อีกฉบับส่งให้หลิ่วสืออี
สามคนก้มหน้าหรี่ตาลง
อ่านเอกสาร
“ข้อมูลคำสั่งลับแบ่งเป็นเอกสารกับวาจา จุดสำคัญอยู่ตรงนี้” ซูฝูยื่นมือมาชี้ข้างหน้าผากตัวเอง “ทั้งสามท่านอ่านเอกสารจบแล้ว ข้าจะพูดต่อ”
เมื่อพูดจบ
คนอ้วนก็ชำเลืองตามองหลิ่วสืออีที่พิงหน้าต่างเป่าพายุทรายทีหนึ่ง ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านนี้คงจะเป็นคุณชายหลิ่วแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่กระมัง”
หลิ่วสืออีขมวดคิ้วมองหนิงอี้ การเจรจาก่อนหน้านี้ทำให้เขาวางจิตกระบี่ที่ถือไว้ลง มั่นใจได้ว่าสายสืบเขาสู่ซานคนนี้ไม่มีอันตรายอะไร
เขามีสีหน้าโอนอ่อนลง พยักหน้า
ซูฝูหัวเราะ “คุณชายหลิ่ว…ท่านยังมีชีวิตอยู่สินะ”
หลิ่วสืออีขมวดคิ้ว
หนิงอี้อดเงยหน้าขึ้นไม่ได้
คนอ้วนคนนี้พูดเช่นนี้ แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ดีเลย
หนิงอี้กลับรู้สึกคุ้นหูอย่างน่าประหลาด…
เหมือนเคยได้ยินคำพูดนี้จากที่ใดมาก่อน
…..
สองเรื่อง สำนักลับของเขาสู่ซานทำการตรวจสอบอย่างเต็มที่
ในเอกสารกล่าวไว้คร่าวๆ
สามคนแลกเปลี่ยนเอกสารกัน
เมื่ออ่านจบ ภายในห้องก็เงียบลง
หนิงอี้กับเผยฝานอ่านเอกสารจบก็มองหลิ่วสืออีโดยไม่ได้นัดหมาย
คนคลั่งกระบี่ชุดขาวเก็บเอกสารเงียบๆ อ่านคลื่นอารมณ์ในแววตาไม่ออกเลย
“นักกระบี่วิมานเทพสวีไหลกลับจากทะเลตะวันตกมาต้าสุย ท้าสู้กับหลิ่วสือ”
“จากนั้นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่หลิ่วสือก็ขาดการติดต่อ ไม่รู้เป็นอย่างไรอีก ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่หยวนฝูอินกุมอำนาจ ทั้งตำหนักทะเลสาบกระบี่รวมถึงเมืองน้ำหลากอยู่ในการควบคุมของเขา แม้จะยังไม่ประกาศเจ้าตำหนักคนใหม่…แต่ว่า”
“หลิ่วสืออีถูกไล่ออกจากตำหนักทะเลสาบกระบี่แล้ว เป็นคนบาปทะเลสาบกระบี่ มีโทษไล่ออกจากสำนัก”
หาเหตุผลต่างๆ มาใส่ร้ายกันชัดๆ
หลิ่วสืออีหน้านิ่ง เก็บเอกสารเข้ากระเป๋าเอวตัวเอง
“ประตูหยกขังยอดปีศาจไว้ตนหนึ่งจริงๆ ราชันปีศาจเจียหลัว ถูกแดนอุดรจับกลับมาเมื่อสองพันสามร้อยสิบสองปีก่อน เจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่เฝ้าไว้ด้วยตนเอง ขังไว้ในประตูหยก”
“ทุกปีจะมีกรมปราบปีศาจส่งคนมาใช้เลือดจิ้งจอกสวรรค์เสริมพลังค่ายกล…กันค่ายกลเกิดความผิดพลาด หากผนึกจุดที่ขังร่างราชันปีศาจหละหลวม พลังปีศาจปล่อยออกมา แสงดาราปั่นป่วน ในระยะหลายลี้โดยรอบจะได้รับผลกระทบ อย่างเบาก็เป็นแดนผนึกแสงดารา หากสถานการณ์ร้ายแรง ราชันปีศาจที่ถูกผนึกจะฟื้นคืนสติกลับมา แค่หลุดจากพันธนาการชั้นแรกของกรมปราบปีศาจได้ก็สูบกินสิ่งมีชีวิตจากในค่ายกลได้”
ซูฝูนั่งบนเก้าอี้
เขามองหนิงอี้ เผยฝานและหลิ่วสืออี
หนิงอี้เป็นอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซาน ใช้คำสั่งลับครั้งแรก
ท่านพันกรจึงค่อนข้างให้ความสำคัญ…ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ดังนั้นหมายเลขสามสองเจ็ดถึงเดินทางมาทางแดนบูรพา
มาถึงเขตแดนกลาง
เพียงบอกคำพูดนี้ด้วยตัวเอง
ซูฝูพูดอย่างจริงจังทีละคำ
“การเดินทางไปประตูของกรมปราบปีศาจปีนี้เกิดเหตุไม่คาดคิด หน่วยเล็กหกคนตายนอกเมืองอาทิตย์อุทัยทั้งหมด เลือดจิ้งจอกสวรรค์ที่ใช้เสริมพลังค่ายกลไม่รู้ไปอยู่ที่ใด และก็ยังไม่รู้มือสังหาร”
……………………….