เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 604 ข้าจะมีเจ้าเพียงคนเดียว
- Home
- All Mangas
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 604 ข้าจะมีเจ้าเพียงคนเดียว
บทที่ 604 ข้าจะมีเจ้าเพียงคนเดียว
ชางฉีหันหน้ามา “หลังจากนั้นมาข้าก็ได้ฝากอาฉื่อน่าหลู่ไว้กับหญิงชราในเผ่าคนหนึ่งที่สูญเสียลูกไป ให้นางคอยอบรมสั่งสอนเขา เขายังคงเป็นลูกชายของข้า ข้าเคยเชื่ออูหลุนจูเช่นนั้น แต่ข้าคงทำได้เพียงเท่านี้”
ผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกทรยศ เขาจึงไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเด็กคนนั้นเช่นไร
แต่ก็ไม่อยากไปสืบหาว่าอาฉื่อน่าหลู่เป็นลูกชายของเขาหรือเป็นลูกของพี่ชายเขากันแน่ อย่างไรเสียก็เป็นครอบครัวของเขาอยู่ดี และเด็กก็ไร้เดียงสา
ชางฉีพูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ ก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ดวงจันทร์น้อย เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่เต็มใจปกป้องศักดิ์ศรีและรักษาเกียรติให้ข้า ผู้ชายคนหนึ่งที่เจ้าไม่เคยเจอมาก่อน ในขณะที่ตกอยู่ระหว่างความเป็นความตาย หัวใจของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกนับถือและทำให้ข้าหวั่นไหวในเวลาเดียวกัน”
ดังนั้นนางที่เป็นคนล้ำค่าเช่นนี้ จึงทำให้เขามีความหวังกับการแต่งงานเพื่อสงบศึกในครั้งนี้
และตั้งแต่ตอนนั้น นางก็ได้เดินเข้ามาในหัวใจของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ชางฉีผู้ที่ในชีวิตนี้เจอแต่คนโกหกหลอกลวง ในที่สุดวันหนึ่งก็มีคนคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าเขา นางยอมตายดีกว่ายอมให้คนอื่นเหยียดหยามเขา
เขา…จะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?
“ดวงจันทร์น้อยรับปากข้าสิ หากวันใดวันหนึ่งมีคนเอาชีวิตข้ามาข่มขู่เจ้า เจ้าไม่ต้องคิดถึงข้า เพราะข้าแค่อยากให้เจ้ามีชีวิตที่ดี”
เซี่ยวั่งซูไม่ได้รับปากเขา แต่กลับพูดอย่างหนักแน่นว่า “ชางฉี ข่านที่เคารพของข้า เรื่องของอูหลุนจูไม่ใช่ความผิดของเจ้า และข้าก็ไม่สามารถอภัยให้พวกเขาได้ เพราะพวกเขาได้ทำร้ายจิตใจที่บริสุทธิ์ที่สุดดวงหนึ่งไป ข้าแค่ต้องการให้สามีของข้ามีความสุข ใครก็ตามที่ทำร้ายเขาหรือทำให้เขารู้สึกไม่ดี ก็ล้วนเป็นศัตรูของข้าด้วย
โปรดยกโทษให้ข้าด้วยที่ไม่สามารถรับปากเจ้าได้ นับตั้งแต่วันที่ข้าแต่งงานกับเจ้า ข้าก็เป็นภรรยาของเจ้าตลอดไป ข้าจะให้ความสำคัญกับเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด เจ้าเป็นราชาแห่งราชสำนักถู่เจีย ไม่ใช่ราชาของข้าแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นการปกป้องเจ้าจึงเป็นหน้าที่ของข้าในฐานะภรรยาและเค่อตุน”
เซี่ยวั่งซูเป็นฝ่ายสวมกอดเขาก่อน ร่างบอบบางซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนแข็งแรง
“ข้าเพิ่งจะรู้จักเจ้าตอนอายุสิบหก แต่ข้าเชื่อว่าอูหลุนจูที่เจ้าพูดถึงเป็นคนอ่อนโยน น้ำใจที่นางดูแลเจ้านั้นล้ำค่าอย่างมาก ข้าจึงไม่อยากให้เจ้าลืมนาง หรือแม้แต่ทำอะไรกับลูกของนาง การที่เจ้ารู้จักคุณคน ในสายตาของข้านั่นคือหัวใจที่ดีงาม
ข้ามาช้าเกินไป ข้าจึงไม่ได้สัมผัสช่วงเวลาในวัยเยาว์ของเจ้า พวกเราห่างกันสิบสองปี ข้าจึงรู้สึกขอบคุณนางมากที่ช่วยดูแลเจ้าอย่างดีในช่วงเวลาที่เจ้ายากลำบากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเพราะแผนการหรือมาจากใจจริง อย่างน้อยชางฉีที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้ ก็กล้าหาญและเด็ดเดี่ยว เป็นข่านที่ฉลาดที่สุดของถู่เจีย ผู้คนที่นี่รักและเคารพเจ้า นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะหล่อหลอมได้ในชั่วข้ามคืน”
“ดวงจันทร์น้อย” ชางฉีกอดนางเอาไว้แน่น “เจ้าช่างเป็นคนดีจริง ๆ”
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้สึกว่าการเล่าเรื่องอดีตของตัวเองให้นางฟังจะสำคัญอะไร แต่เมื่อนางได้พบกับเด็กคนนั้นแล้ว ชางฉีจึงอยากเล่าสิ่งที่ตัวเองพบเจอมาให้นางได้รู้ ให้นางรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
ว่าชางฉีแท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไร
เขาไม่ได้กล้าหาญและไร้พ่ายอย่างที่ใคร ๆ พูดกัน เขาก็เคยเกือบตายเพราะถูกคนทำร้ายมาก่อน
สามารถเดินมาถึงวันนี้ได้ ก็ต้องเสียสละอะไรไปมากมาย
แต่คำพูดที่นางบอกกับเขานั้น ก็ยังทำให้เขาซาบซึ้งใจอยู่ดี
“ดวงจันทร์น้อย ขอเพียงเจ้าต้องการ ขอเพียงข้าสามารถทำให้ได้ ข้าจะมอบทั้งร่างกายและจิตใจให้กับเจ้า ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขไปตลอดชีวิต! ระหว่างเราจะไม่มีผู้หญิงคนอื่นอีก!”
เซี่ยวั่งซูตื่นตระหนก “ชางฉี ในวังเสด็จพ่อข้าก็มีนางสนมหลายสิบคน เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำพูดนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
แม้นางจะมีฐานะเป็นองค์หญิงใหญ่ แต่สิ่งที่ได้รับการอบรมสั่งสอนตั้งแต่เด็ก ก็ไม่มีใครเคยบอกนางว่าห้ามให้ผู้ชายมีอนุ
นางแต่งงานมาอยู่ที่ถู่เจีย วังหลวงก็ได้เลือกหญิงสาวที่งดงามให้ตามนางมาด้วย เหตุผลก็เพื่อรักษาตำแหน่งของนางให้มั่นคง และมีลูกให้ชางฉีหลาย ๆ คน
ก่อนมาที่นี่นางก็รู้ว่าเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุนและแคว้นเล็ก ๆ ตามชายแดน รวมถึงชนเผ่าใหญ่ ๆ ของถู่เจีย ล้วนส่งหญิงสาวสูงศักดิ์มาให้ชางฉี โดยต้องการใช้การแต่งงานเพื่อบรรลุจุดประสงค์ทางการเมือง
ตอนนี้เขาบอกนางว่าจะมีนางเพียงคนเดียว
นี่ต้องถูกคัดค้านจากผู้อื่นอย่างแน่นอน
“ข้ารู้ ดวงจันทร์น้อย เจ้าปฏิบัติต่อข้าด้วยใจจริง เจ้าเป็นคนที่ดีกับข้าที่สุดรองจากท่านแม่ของข้า ข้าจึงไม่อยากให้เจ้าเสียใจและเจ็บปวดเพราะผู้หญิงคนอื่น ชีวิตนี้ข้าจะมีแค่เจ้า หากผิดคำสาบานนี้ ขอให้ข้าไม่ตายดี”
เซี่ยวั่งซูร้อนใจขึ้นมา “คำพูดนี้พูดส่งเดชได้อย่างนั้นหรือ!?”
ชางฉีก้มหน้าลง “ดวงจันทร์น้อย ชีวิตนี้ข้ามีเพียงเจ้าก็พอแล้ว”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น เซี่ยวั่งซูค่อย ๆ ยกแขนของเขาออกอย่างระมัดระวัง แล้วจึงลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา
เมื่อหันหน้าไปก็เห็นเขาใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ ร่างกายท่อนบนยังไม่ได้สวมเสื้อผ้า และจ้องมองนางด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยวั่งซูใบหน้าแดงเรื่อ “เจ้ายิ้มอะไร?”
ชางฉีจึงลุกขึ้น “ข้ากำลังมองว่าปกติเจ้าแต่งหน้าเช่นไร”
ถึงได้งดงามยิ่งนัก
เซี่ยวั่งซูเขียนคิ้วตามปกติ
จะว่าไปแล้วนางไม่เคยเห็นผู้หญิงถู่เจียแต่งหน้าเลย แต่พวกนางมีสุขภาพดี มีชีวิตชีวา และมีเสน่ห์ตามธรรมชาติของพวกนาง
“วันนี้เจ้าจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ?”
ชางฉีตอบ “ต้องไปต้อนรับผู้นำของชนเผ่าอื่น ๆ หลังจากที่พวกเราแต่งงานกัน พวกเขาจะส่งของขวัญมาแสดงความยินดี และภรรยาของพวกเขาก็จะมาคารวะเจ้าด้วย”
เซี่ยวั่งซูมีฐานะสูงส่งมาตั้งแต่เกิด งานที่ต้องต้อนรับแขกเช่นนี้ นางไม่ประหม่าอยู่แล้ว
“ชางฉี เจ้าช่วยหาอาจารย์มาสอนภาษาถู่เจียให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
ชางฉีอุ้มนางมาไว้บนตักของตนเอง พลางศึกษาขวดโหลต่าง ๆ บนโต๊ะ “ข้าก็คืออาจารย์ของเจ้า เจ้าเรียนกับข้าก็ได้”
“แต่เจ้าไม่ได้ว่างอยู่สอนข้าทุกวันนี่นา”
“ผ่านช่วงนี้ไปพวกเราก็จะมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นแล้ว”
อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวอันยาวนาน ไม่ต่ำกว่าครึ่งปีดอกไม้จึงจะกลับมาบานสะพรั่งอีกครั้ง ถึงเวลานั้นโอกาสที่จะได้ออกไปข้างนอกก็จะน้อยลง
เซี่ยวั่งซูพยักหน้ารับรู้ “เช่นนั้นข้าจะรอเจ้าอยู่ที่บ้าน”
เขาชอบคำนี้ ชางฉีจึงพูดขึ้นมาอีก “วันนี้ข้าอาจจะกลับช้า หากพวกช่างฝีมือต้องการอะไรเจ้าก็สั่งการได้เลย ตอนที่ข้าไม่อยู่ ราชสำนักแห่งนี้เจ้ามีอำนาจมากที่สุด”
“อืม”
วันนี้เซี่ยวั่งซูออกมาส่งชางฉีขึ้นม้าด้วยตัวเอง โดยมีอาเอ่อร์ไท่คอยติดตามข้างกายนางเช่นเคย ก่อนออกเดินทางชางฉีก็ได้บอกกับเหล่านักรบในราชสำนักว่า ให้ฟังคำสั่งของเค่อตุนเท่านั้น
หลังจากที่เขานำกองทหารออกจากราชสำนักไปแล้ว เซี่ยวั่งซูจึงได้พาอาเอ่อร์ไท่ไปที่ค่ายทางตะวันตกเพื่อดูความคืบหน้าของวันนี้
ทว่ายังเดินไปไม่ถึงสองก้าว จู่ ๆ ก็มีหญิงสาวที่แต่งตัวงดงามคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ดูจากรูปร่างหน้าตา คาดว่าคงมีอายุยี่สิบกว่าแล้ว ใบหน้าที่งดงามนั้นค่อนข้างมีเสน่ห์ เพียงแต่สีหน้าดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าใดนัก “เจ้าคือองค์หญิงต้าจิ้นอย่างนั้นหรือ!?”
เซี่ยวั่งซูพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า จื่อฮุ่ยที่อยู่ด้านหลังก็ตะคอกขึ้นมา “บังอาจ! เหตุใดถึงกล้าเสียมารยาทเช่นนี้!”
ซูตี๋หย่าฟังไม่รู้เรื่องว่าจื่อฮุ่ยกำลังพูดอะไร แต่ก็ยังชักแส้ออกมา “ข้าพูดอยู่ เจ้ามีสิทธิ์พูดแทรกอย่างนั้นหรือ!?”
เอ่ยจบก็สะบัดแส้ใส่ทันที แต่จื่อฮุ่ยไม่กลัว ก่อนจะคว้าแส้นั่นไว้แล้วกระตุกหนึ่งทีก็แย่งแส้ของนางมาได้แล้ว จากนั้นก็หมุนกายฟาดใส่ใบหน้าของซูตี๋หย่า “บังอาจ! ไว้หน้าแล้วยังไม่รู้จักสำนึก! มาวางอำนาจต่อหน้าใครกัน!”
.