เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 601 เช่นนั้นพี่สาวข้าที่ตายไปเล่า
- Home
- All Mangas
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 601 เช่นนั้นพี่สาวข้าที่ตายไปเล่า
บทที่ 601 เช่นนั้นพี่สาวข้าที่ตายไปเล่า
อาเอ่อร์ไท่มองขนมสวย ๆ ที่ตกเกลื่อนพื้นด้วยความปวดใจ
เมื่อครู่เขาไม่กล้ากิน เพราะอยากเอาไปให้ท่านแม่กับพี่หญิงกินก่อน!
“ซูตี๋หย่า! เจ้าทำเกินไปแล้ว! เจ้าจะต้องชดใช้กับความเย่อหยิ่งของเจ้า!” ในถู่เจียเนื่องจากสภาพแวดล้อมเลวร้าย ดังนั้นจึงต้องหวงแหนอาหารทุกชิ้น
ซูตี๋หย่าไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เพราะอะไรที่นางอยากได้ก็ต้องได้
นางไม่เชื่อว่าองค์หญิงแห่งต้าจิ้นนั่นจะเต็มใจมีลูกให้กับชางฉี
“อาเอ่อร์ไท่ คนที่เลอะเลือนก็คือเจ้า! ชาวต้าจิ้นจะไม่ดูถูกพวกเราชาวถู่เจียอย่างนั้นหรือ? ความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อเราล้วนปลูกฝังกันมานานแล้ว! หลังจากที่ชางฉีได้เป็นข่าน เขาก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอ ไม่มีอำนาจของราชาหมาป่าอีกต่อไป ก่อนหน้านี้ยังได้สั่งปราบปรามชนเผ่าอื่นไม่ให้พวกเขาเดินทัพเข้ารุกรานต้าจิ้นอีก!
ผู้หญิงที่คู่ควรจะอยู่เคียงข้างเขา ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอที่สูงส่งของต้าจิ้น แต่เป็นผู้หญิงที่ฉลาด แข็งแกร่ง และกล้าหาญอย่างข้า ข้าจะพิสูจน์ให้พวกเจ้าเห็นว่าข้าต่างหากคือคนที่เหมาะสมกับชางฉีที่สุด”
อาเอ่อร์ไท่เม้มริมฝีปาก ก้มตัวลงไปเก็บขนมเหล่านั้น “ตามใจเจ้า!”
ซูตี๋หย่ามองดูเขาจากไปด้วยความโกรธ และยิ่งเกลียดเซี่ยวั่งซูมากขึ้นไปอีก
นางจึงหันหลังกลับและขึ้นม้าจากไปทันที
อาเอ่อร์ไท่มองดูแผ่นหลังที่ไกลออกไปของนาง ในใจก็รู้สึกเหมือนกำลังจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น เช่นนั้นเขาต้องบอกท่านข่านว่าอย่าให้ซูตี๋หย่ามายุ่งวุ่นวายที่นี่อีก องค์หญิงอ่อนโยนเพียงนั้น นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูตี๋หย่าที่หยิ่งผยองนั่นเลย
…
จื่อฮุ่ยกลับมาที่กระโจมด้วยความโมโห เซี่ยวั่งซูกำลังคุยกับเหล่าสาวทอผ้าอยู่
เห็นนางสะบัดผ้าม่านก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “อารมณ์เสียเช่นนี้ ใครทำเจ้าโกรธกัน?”
จื่อฮุ่ยเพิ่งจะเห็นว่าเซี่ยวั่งซูก็อยู่ด้วย นางจึงรีบคารวะหนึ่งครั้งแล้วพูดว่า “องค์หญิง เมื่อครู่หม่อมฉันเอาเครื่องปรุงไปให้เหล่าพ่อครัวหลวง ทันเห็นคนผู้หนึ่งใช้แส้ฟาดกล่องขนมที่พระองค์ทรงมอบให้อาเอ่อร์ไท่ร่วงเกลื่อนพื้น ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่เข้าใจว่านางพูดอะไร แต่เห็นนางโวยวายไม่หยุด ดูท่าแล้วต้องเป็นคนนิสัยไม่ดีอย่างแน่นอน แต่ที่หม่อมฉันโมโหก็คือ จะพูดก็พูดไป เหตุใดต้องทำลายอาหารด้วย!”
มือของเซี่ยวั่งซูชะงักลงทันที “เจ้าช่วยเล่ารายละเอียดท่าทางของนางให้ข้าฟังอีกที”
“เพคะ!” เดิมจื่อฮุ่ยก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว จึงแสดงเป็นซูตี๋หย่าได้เหมือนมากจริง ๆ
ที่นี่ล้วนมีแต่คนกันเอง เซี่ยวั่งซูจึงไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด
พวกเขาล้วนติดตามนางมาถึงถู่เจีย สัญญาซื้อตัวของคนในครอบครัวก็ล้วนอยู่ในมือของนาง หากมีคนคิดทรยศ นางจะไม่ปล่อยพวกเขาเอาไว้แน่
หลังจากฟังจื่อฮุ่ยเล่าจบ จื่อหลันก็เริ่มครุ่นคิดถึงบางอย่าง เซี่ยวั่งซูเองก็คิดมากเช่นกัน
จากนั้นนางก็ลุกขึ้นและเดินออกไปนอกกระโจม ข้างกายจึงเหลือเพียงสาวใช้คนสนิทสองคนเท่านั้น ก่อนจะเดินอ้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ใกล้กับราชสำนักอย่างช้า ๆ มองแล้วเหมือนนางกำลังเดินเล่นอยู่
“ช่วงนี้พวกเจ้าต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้หญิงที่อยู่ใกล้ ทำความเข้าใจกับเรื่องภายในของราชสำนักให้มาก”
“เพคะองค์หญิง พวกหม่อมฉันทราบแล้ว”
เซี่ยวั่งซูมองไกลออกไปแล้วถอนหายใจออกมา “ในเมื่อมาแล้วพวกเจ้าต้องเข้าใจว่าภาระของเรานั้นหนักหนาเพียงใด”
“ท่านข่านดีต่อองค์หญิงมาก องค์หญิงมีอะไรอยากถาม ก็สามารถถามท่านข่านได้ตรง ๆ นี่เพคะ?”
เซี่ยวั่งซูหลุบตาลง “ระหว่างสามีภรรยา ไม่มีใครติดค้างใคร ข้ากับเขารู้จักกันเพียงสองสามวันเท่านั้น ความแปลกใหม่ในวันแรก ๆ พวกเจ้าอยู่ในวังยังเห็นไม่มากพออีกหรือ ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเขา แต่ไม่ว่าจะอยู่ในความสัมพันธ์ใดล้วนต้องมีการวางแผนให้ดีทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งที่เขาและข้ากำลังแบกรับอยู่นั้นคือสันติภาพของทั้งสองแคว้น”
นางอยู่ที่นี่ ไม่มีสิทธิ์ทำตัวเย่อหยิ่ง
จื่อหลันและจื่อฮุ่ยสบตากัน แววตาเผยความกังวลออกมา
ใช่แล้ว ท่านข่านจะดีกับองค์หญิงหรือไม่ การจะตัดสินตอนนี้ยังเร็วเกินไป
…
‘ฟิ้ว!’ ธนูดอกหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าราวกับสายฟ้า
เหล่านักรบของถู่เจียที่ตามหลังมา ก็ได้มีคนเข้าไปมัดเหยื่อที่ยิงได้เอาไว้
“พักสักเดี๋ยวเถอะ” ชางฉีลงจากหลังม้าแล้วเข้าไปอยู่ใต้ร่มไม้ที่พวกเขามักจะใช้หลบแดด ซึ่งในถ้ำนี้ก็สามารถพักผ่อนได้
และเขาก็ได้อธิษฐานกับถ้ำหลายแห่ง นี่ก็เป็นธรรมเนียมของพวกเขาด้วยเช่นกัน
“ท่านข่าน พวกเราย่างกระต่ายเหล่านี้กินกันก่อนเถอะขอรับ!”
ชางฉีหันกลับมา บนใบหน้าที่หล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “เก็บตัวเล็กสุดเอาไว้สองตัว ข้าจะเอากลับไปให้องค์หญิง”
พวกผู้ชายต่างก็หัวเราะเสียงดัง รู้สึกว่าวันนี้ท่านข่านอ่อนโยนเป็นพิเศษเมื่อเขาพูดถึงองค์หญิง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ปิดไม่มิด
ชางฉีนั่งยอง ๆ อยู่ข้างกองเหยื่อและเลือกกระต่ายน้อยมาสองตัว ให้คนมัดพวกมันไว้ จากนั้นก็มองไปที่ลูกกวางที่ล่ามาได้
“ตัวนั้นก็เก็บไว้ให้ข้าด้วย”
ดวงจันทร์น้อยของเขาเดินทางจากต้าจิ้นมาไกล ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนตอนอยู่ต้าจิ้นวัน ๆ นางทำอะไรบ้าง หากมีสัตว์ตัวเล็ก ๆ คอยอยู่เป็นเพื่อน นางก็จะได้ไม่เหงา
“ท่านข่าน องค์หญิงต้าจิ้นดีเพียงนั้นเชียวหรือขอรับ ดีกว่าหญิงงามอันดับหนึ่งของเราหรือไม่ขอรับ?” พวกผู้ชายต่างเอ่ยหยอกล้อ
ชางฉีหันหน้าไปมองเขา แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “องค์หญิงไม่ใช่คนที่ใครจะสามารถเทียบได้”
ทันใดนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นมาทำความเคารพ “ขอรับ!”
เวลานี้พวกเขาก็ได้ตระหนักถึงความสำคัญขององค์หญิงต้าจิ้นในหัวใจของท่านข่านอย่างแท้จริงแล้ว
ได้ยินว่าอาเอ่อร์ไท่ที่ติดตามข้างกายท่านข่านเป็นเงาตามตัว เขายังทิ้งเอาไว้ให้อยู่ดูแลองค์หญิงด้วย
ชางฉีตรงไปพักผ่อนในถ้ำ อีกสักพักเขาก็ควรพาคนกลับไปได้แล้ว ไม่รู้ว่าเวลานี้ดวงจันทร์น้อยของเขากำลังทำอะไรอยู่
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น ผู้ชายหลายคนที่กำลังย่างเนื้ออยู่จึงหันไปมอง ก็เห็นว่าซูตี๋หย่ากำลังขี่ม้าขาวตัวเล็กของนางมาทางนี้
“ซูตี๋หย่า!” พวกผู้ชายดวงตาเป็นประกาย เพราะทุกคนล้วนอยากสู่ขอผู้หญิงที่งดงามเช่นนี้กลับไปเป็นภรรยาทั้งนั้น
ซูตี๋หย่าเอ่ยถามขึ้นมา “ชางฉีเล่า!”
ซูตี๋หย่ากระโดดลงจากหลังม้า แล้ววิ่งเข้าไปในถ้ำอย่างรวดเร็ว
พวกผู้ชายต่างมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครรู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เพราะที่ถู่เจียถือเป็นเรื่องธรรมดาที่สาวงามจะเทิดทูนผู้ชายที่กล้าหาญที่สุด
มีเพียงนักรบเท่านั้นจึงจะสามารถได้ทรัพยากรมากกว่าใคร และกลายเป็นผู้นำ
ชางฉีกำลังใช้มีดด้ามเล็กแกะสลักไม้ในมือ นี่เป็นสิ่งที่เขาชอบทำยามที่ไม่มีอะไรทำ ไม่ต้องมีใครสอนเขาก็สามารถแกะสลักได้ และเหมือนของจริงอย่างมาก
ตอนที่ซูตี๋หย่าบุกเข้ามา ชางฉีกำลังคิดถึงเซี่ยวั่งซูอยู่ แต่กลับถูกนางขัดจังหวะอย่างกะทันหัน
ตอนที่เขาขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้นมอง ซูตี๋หย่าก็จ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ “ชางฉี! ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
“เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ได้?” เห็นได้ชัดว่าชางฉีไม่คิดจะสนใจนาง เขาลุกขึ้นและพูดว่า “ที่นี่อันตรายมาก และไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะสามารถมาได้ตามใจชอบ”
ซูตี๋หย่ากัดริมฝีปาก “เจ้ากำลังเป็นห่วงข้า”
ชางฉีพูดอย่างไม่แยแส “ข้ากำลังพูดเรื่องจริง ที่นี่มีสัตว์ป่าเข้าออกมากมาย ทั้งยังมีฝูงหมาป่าอาศัยอยู่ หากเจ้ากลายเป็นอาหารหมาป่า เช่นนั้นพวกเราก็ต้องลำบากตามหาร่างเจ้าอีก”
ซูตี๋หย่าเงยหน้าขึ้น “ไม่ ชางฉี!”
นางคว้ามือของเขาไว้ แล้วจะเอามาทาบลงบนตำแหน่งหัวใจของตัวเอง
ชางฉีจึงดึงมือกลับทันที “เป็นบ้าอะไรของเจ้าอีก?”
“ข้าไม่ได้เป็นบ้า ชางฉี เจ้ามีอะไรกับข้าเถอะนะ ข้าก็สามารถมีทายาทให้เจ้าได้ ข้ารอช่วงเวลานี้มานานแล้วเจ้าก็รู้!”
ซูตี๋หย่าไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ท่านข่านไม่มีทางมีผู้หญิงเพียงคนเดียว และลูกหลานของชาวถู่เจียก็ไม่ชอบคิดเล็กคิดน้อย
ชอบคนคนหนึ่งก็ต้องแสดงออกอย่างกล้าหาญ ให้กำเนิดทายาทนักรบ นั่นจึงถือเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ
ชางฉีผลักนางออก “ซูตี๋หย่า ข้าไม่คิดจะเลือกเจ้า ด้วยฐานะของเจ้าสามารถหาผู้ชายดี ๆ ในราชสำนักได้อีกตั้งมากมาย”
“ชางฉี! เหตุใดต้องปฏิเสธข้าด้วย หรือข้าสู้องค์หญิงต้าจิ้นผู้นั้นไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
ชางฉีปรายตามองนาง “ในใจของข้าไม่มีใครสามารถแทนที่นางได้”
“เช่นนั้นพี่สาวข้าที่ตายไปเล่า?”
.