เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 597 องค์หญิงอย่ามองข้าเช่นนี้
- Home
- All Mangas
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 597 องค์หญิงอย่ามองข้าเช่นนี้
บทที่ 597 องค์หญิงอย่ามองข้าเช่นนี้
ทันทีที่เขาเข้าไปในกระโจม เซี่ยวั่งซูก็ตกตะลึง
การตกแต่งของที่นี่เหมือนกับตำหนักของนางเป็นอย่างมาก
กระโจมราชาแตกต่างจากกระโจมเล็กทั่วไป โดยกระโจมราชามีขนาดใหญ่พอที่จะกั้นเป็นห้องนอน ห้องรับแขก และมีห้องน้ำในตัวด้วย
แม้จะเทียบกับตำหนักของนางไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกับกระโจมเล็กเมื่อคืนนี้แล้ว ที่นี่ก็ถือว่าใหญ่กว่าไม่รู้ตั้งเท่าใด
บนโครงเตียงแกะสลักถูกเปลี่ยนเป็นม่านสีแดงขนาดใหญ่และมีรูปยวนยาง* ว่ายอยู่ในน้ำ บนที่พักเท้าปูด้วยผ้ามงคลคู่เพื่ออวยพรให้มีลูกในเร็ววัน บนตู้ลงรักด้านข้างเป็นรูปเทพเจ้า แจกันหยกที่วางอยู่ด้านบนก็เหมือนกับในตำหนักของนาง
* ยวนยาง (鸳鸯) หมายถึง เป็ดแมนดาริน
แม้แต่หนังสือหลายเล่มที่เอามาจากบนโต๊ะในตำหนักของนางก็ยังถูกวางไว้ตรงนั้น
ชางฉีอุ้มนางเอาไว้ตลอด จนกระทั่งวางนางลงบนเตียง
“ท่านข่าน” นางอยากถามจริง ๆ ว่าเหตุใดที่นี่ถึงมีการตกแต่งคล้ายกับตำหนักในวังหลวงของนางเพียงนี้ เขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
ชางฉีมองหน้านางแล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ “ถูกใจหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าตำหนักของเจ้าก็ตกแต่งเช่นนี้”
นางพยักหน้ารับ “ข้า…ข้าประหลาดใจมาก”
เขาให้เกียรตินางมากจริง ๆ และเคารพต้าจิ้นด้วย
ชางฉียกชายเสื้อขึ้นก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ นาง
“ลองเลิกผ้าห่มดูสิ”
นางทำตามที่เขาบอก โดยยกมุมหนึ่งของผ้านวมหนาหนักขึ้น ก่อนจะพบว่าด้านในถูกปูด้วยลำไย ถั่วลิสง พุทรา…
เห็นดังนั้นใบหน้าของเซี่ยวั่งซูก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ เพราะนางรู้ว่านี่หมายถึงอะไร
ชางฉีมองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนาง ริมฝีปากก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ข้าได้ยินชาวต้าจิ้นบอกว่า หากทำเช่นนี้จะเป็นการขอพรให้มีลูกในเร็ววัน และที่นี่ข้าก็เป็นคนตกแต่งด้วยตัวเองทั้งหมด”
“ด้วยตัวเอง?” เซี่ยวั่งซูพึมพำ
ชางฉีพยักหน้ารับ “ข้าไม่ชอบให้มีคนมาปรนนิบัติมากมาย ต่อไปกระโจมนี้ข้าจะยกให้เจ้าเป็นคนดูแล หากมีอะไรไม่พอใจ เจ้าสามารถบอกข้าได้ทันที”
เซี่ยวั่งซูจัดผ้าห่มให้เรียบ มือที่ขาวผ่องเมื่อวางอยู่บนผ้าห่มสีแดงสดนั่น ก็ยิ่งขับให้ดูกระจุ๋มกระจิ๋มและเนียนนุ่มมากยิ่งขึ้น
“ดวงจันทร์น้อย” เขาเรียกชื่อของนาง
เซี่ยวั่งซูเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางราวกับดวงดาวที่ระยิบระยับที่สุด
“เหตุใดถึงไม่เอาพัดลงเล่า?” เขากลืนน้ำลายลงคอ เพราะวันนี้ทุกครั้งที่เขามองนาง นางก็มักจะยกพัดขึ้นมาบังเสมอ ประกอบกับไข่มุกที่ห้อยลงมาจากมงกุฎหงส์อันงดงามนั่น ทำให้เขามองเห็นหน้านางไม่ชัด
เซี่ยวั่งซูกะพริบตาปริบ ๆ “นี่ต้องให้เจ้าบ่าวเป็นคนเอาลงเอง”
เซี่ยวั่งซูไม่รู้ว่าชางฉีท่องกลอนเปิดพัดเป็นหรือไม่ ดังนั้นนางจึงแค่บอกให้เขาเป็นคนเอาพัดลง
“อย่างนั้นหรือ?” เขาเข้าใจแล้ว ที่แท้เขาก็ต้องเป็นคนเอาลงเอง
มือใหญ่ของชางฉีจับมือเล็กของนางเอาไว้ เมื่อเขาเริ่มขยับ ใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวก็เผยออกมาทีละน้อย วันนี้นางแตกต่างไปจากเมื่อวานอย่างมาก
เพราะนางทาปากด้วยสีชาดที่สวยสด ภายใต้แสงเทียนสลัว ริมฝีปากเล็กนั่นดูราวกับกลีบดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานก็มิปาน รูปปากงดงาม อวบอิ่มน่าดึงดูด ทำให้คนมอง…รู้สึกคอแห้งผากอย่างมาก
อยากลิ้มลองสักครั้ง
ลองชิมดูว่าจะหวานล้ำเพียงใด
การเคลื่อนไหวของเขาหยุดลงเพียงครู่เดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ได้เอาพัดลงทันที
การเคลื่อนไหวที่เร็วเช่นนี้ ทำให้เซี่ยวั่งซูไม่ทันระวังตัว นางจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตื่นตระหนก ขนตางอนยาวของนางกระพือขึ้นมาทันที และเผลอกลั้นหายใจตามไปด้วย
ข้างนอก งานเลี้ยงฉลองแต่งงานยังคงดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน วิธีการแสดงความยินดีของชาวถู่เจียนั้นง่ายมาก มีเพียงการร้องเพลง เต้นรำ และเสียงหัวเราะที่มีมาไม่ขาด
ทว่าภายในกระโจม เซี่ยวั่งซูกลับตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
อย่างไรเสีย…นี่ก็เป็นคืนแต่งงานของนาง
ทว่ามันกลับแตกต่างจากที่นางจินตนาการไว้
สิ่งที่แม่นมเคยสอนเรื่องเข้าหอ เวลานี้ในหัวของนางกลับจำไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
เดิมทีประสาทสัมผัสของนางก็ตึงเครียดมากอยู่แล้ว แต่ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้ากลับโน้มตัวเข้ามาใกล้หูของนาง เงาสะท้อนจากแสงเทียนดูคล้ายกับยวนยางที่ซุกไซ้คอกันบนม่านสีแดงผืนใหญ่นั้นเป็นอย่างมาก
ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาเป่ารดลงมา ทำให้ผิวบริเวณข้างใบหูของนางร้อนขึ้นตามไปด้วย
เมื่อมองดูใกล้ ๆ ชางฉีก็รู้สึกว่าผิวขององค์หญิงน้อยของเขา ราวกับเครื่องลายครามหยกชิ้นหนึ่งก็มิปาน ดวงตาสีอำพันคู่นั้นพลันเริ่มฉ่ำน้ำขึ้นมาเล็กน้อย
ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือไปปิดตาของนางเอาไว้
บัดนี้นางมองไม่เห็นอะไรเลย ทว่าประสาทสัมผัสกลับชัดเจนและลึกล้ำยิ่งกว่าช่วงเวลาใด
กลิ่นเหล้าจาง ๆ ลอยมาจากลมหายใจของเขา
“ท่านข่าน?”
“อย่ามองข้าเช่นนี้” น้ำเสียงของเขาราวกับกำลังอดกลั้นต่ออะไรบางอย่าง
“ข้า…อยากรังแกเจ้า”
ริมฝีปากของเซี่ยวั่งซูที่เผยอน้อย ๆ ชางฉีเห็นแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอไปหนึ่งที ภาพเมื่อครู่ทำลายสติสัมปชัญญะของเขาไปจนหมด
ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าลง ประกบริมฝีปากของเขากับนางทันที
ลมหายใจอุ่นร้อนของผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยเป่ารดลงมา และช่วงชิงลมหายใจของนางไปด้วย
มือของนางอยากจะปัดป้องตามสัญชาตญาณ แต่เขาคือสามีของนาง และคืนนี้ก็เป็นคืนแต่งงานระหว่างนางกับเขา
เขาจะทำเช่นไรก็ล้วนสมเหตุสมผลแล้ว
แต่ตอนนี้นางเหมือนกับว่าร่างทั้งร่างมีกระแสบางอย่างไหลผ่านก็มิปาน ทำให้ใบหน้าแดงก่ำไปหมด
“องค์หญิง”
สมองของเซี่ยวั่งซูมึนงงไปหมดแล้ว นางจึงเอ่ยตอบเสียงเบา “อืม”
เขาหัวเราะเบา ๆ แม่นางน้อยช่างงามหยาดเยิ้ม ทั้งยัง…ดึงดูดใจเพียงนี้
“ชุดแต่งงาน…ยังจะสวมอยู่หรือไม่?”
นางงุนงง แต่เพราะถูกเขาปิดตาเอาไว้จึงรู้สึกตื่นตระหนก และฟังไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร
จนกระทั่งสายรัดเอวถูกชายหนุ่มดึงออกในคราเดียว นางจึงตระหนักได้ว่าเขาจะทำอะไร
ชุดแต่งงานที่เทอะทะและหนาหนัก แม้แต่ชุดด้านในก็ยังเป็นสีแดงสด
ท่ามกลางแสงสลัว ร่างกายของเด็กสาวกำลังอ่อนระทวย ราวกับเครื่องลายครามอันวิจิตรชิ้นหนึ่ง ขาวจนแทบจะส่องแสงออกมาได้ เขาจูบลงไปบนเรือนร่างของนางอย่างเทิดทูน ปลอบโยนนางที่กำลังหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา
แววตาของนางแม้จะดูหมดหนทาง แต่ก็ยังไม่ยอมโอนอ่อนให้เขา
“องค์หญิง อย่ามองข้า เจ้ามองข้าเช่นนี้ ข้ามีแต่ต้องการจะครอบครองเจ้ามากขึ้นไปอีก”
เซี่ยวั่งซูสงสัยในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน นางครวญครางเบา ๆ ราวกับลูกแมวน้อย
ต่อมาเขาก็ได้เอามือที่ปิดตาของนางออก แต่นางก็ยังไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมา
แต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นเวลารุ่งเช้าแล้ว
นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก็พบว่าร่างกายปวดร้าวเป็นอย่างมาก ในหัวของนางมีแต่ความเหนื่อยและความหิว
จากนั้นก็มีเงาเงาหนึ่งทาบทับลงมา เอวของนางถูกวงแขนแกร่งกอดเอาไว้แน่น
“องค์หญิง ให้ข้าดูหน่อย?”
นางมองเขาด้วยความงุนงง มองดูหน้าอกสีน้ำผึ้งที่แข็งแรงของเขา ก่อนจะเบนสายตาหนี
ชางฉีเห็นนางไม่พูด ก็ขมวดคิ้วแล้วเลิกผ้าห่มออก
“อ๊ะ!” นางคว้าผ้าห่มเอาไว้ แล้วหดตัวเข้าไปในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว
ชางฉีจึงอุ้มนางขึ้นมา “ข้าจะดูว่าเจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่”
เมื่อคืนเขาอ่อนโยนมากแล้ว
แต่นางก็ยังร้องว่าเจ็บอยู่ตลอดเวลา
“ข้าไม่เจ็บแล้ว” นางเอ่ยเสียงเบา
“จริงหรือ?” ชางฉีเลิกคิ้วขึ้น
เซี่ยวั่งซูพยักหน้า
“องค์หญิง อายอย่างนั้นหรือ?”
นางกัดริมฝีปาก ก่อนจะได้ยินชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ แล้วลุกจากเตียง “ข้ารู้แล้ว ข้าจะให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติเจ้าเข้ามา แต่หากจะทายาละก็ข้ารู้ดีกว่าพวกนาง ข้าคิดว่าเจ้าก็คงไม่อยากให้คนอื่นแตะต้องกระมัง”
หากไม่ใช่เพราะเขาคือท่านข่าน เซี่ยวั่งซูอยากจะเอาหมอนทุบเขาจริง ๆ และหวังว่าเขาจะปิดปากลง
แต่เขากลับพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย
ชางฉีหันหลังให้นางเพื่อแต่งตัว ทว่าเมื่อเซี่ยวั่งซูหันหน้าไปก็พบกับแผ่นหลังของชายหนุ่ม ด้านบน…มีรอยแผลเป็นและรอยสักมากมาย
“ไม่นอนต่ออีกหน่อยหรือ หิวหรือไม่?”
วันนี้เซี่ยวั่งซูต้องส่งพวกเสนาบดีจางกลับแล้ว แต่ชางฉีไม่มีพ่อแม่จึงไม่ต้องคารวะน้ำชา ดังนั้นนางจึงรู้สึกเหมือนไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องทำจริง ๆ
.