เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 99 ดังคำที่ว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 99 ดังคำที่ว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
บทที่ 99 ดังคำที่ว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
เสียงกรีดร้องโหยหวนของฮวาจือ ทำให้หม่าต้านต้องย้ายเธอไปอยู่ห้องขังอื่น
เจียงหว่านจึงกลายเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องขังนี้ เธอรู้สึกสบายหูขึ้นมากจริง ๆ
ส่วนหม่าต้านก็เข้าใจแล้วว่า อู่หยางคนนั้นพยายามจะช่วยเขาอยู่!
อีกด้าน เฉียวเหลียนเฉิงกลับไปที่บ้านพักครอบครัวทหาร ก่อนจะแยกกับเจียงเฉิง
ทว่าชายหนุ่มกลับตรงไปหาหลี่ซิ่วจือแทนที่จะกลับเข้าบ้านตน
“เมื่อวานคุณได้ยินสิ่งที่น้องสาวของคุณพูดใช่ไหมครับ”
หลี่ซิ่วจือหน้าซีด ลดศีรษะลงต่ำ ก่อนจะพยักหน้า
“ถ้าคุณอยากให้ฉันรายงานเรื่องของน้องสาว ฉันขอโทษด้วย ฉันทำไม่ได้จริง ๆ” หลี่ซิ่วจือพูดออกไป ทั้งที่ในใจรู้สึกผิด
เรื่องที่หลี่ซิ่วหลันพูดก่อนหน้านี้ก็ไม่ผิด ฉินฮั่นถูกแนะนำให้หลี่ซิ่วหลันเป็นคนแรก เพราะทั้งสองคนอายุเท่ากัน
ส่วนหลี่ซิ่วจือตอนนั้นมีคนมาดูตัวไปก่อนแล้ว เขาเป็นช่างไม้ในหมู่บ้าน
ทั้งสองได้พบกันหนึ่งครั้งและไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ ต่อกัน มันเป็นการพบเจอผ่านแม่สื่อด้วยซ้ำ แต่เพราะนิสัยของทั้งสองฝ่ายดูเข้ากันได้ ทั้งคู่จึงยอมตอบตกลง
แต่ว่าเวลาที่พวกเขาได้รู้จักกันน้อยเกินไป จึงยังต้องใช้เวลาทำความรู้จักกันให้มากขึ้นเสียก่อน
แต่ฉินฮั่นก็เข้ามา แล้วฉินฮั่นกับหลี่ซิ่วจือก็ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น แค่พบกันครั้งเดียวทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันโดยสมบูรณ์ ในตอนนั้นหัวใจของเธอสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม สายตาของทั้งสองมีเพียงกันและกันเท่านั้น
ฉินฮั่นชัดเจนว่าเขาต้องการพูดคุยกับหลี่ซิ่วจือ
ตอนนั้นหลี่ซิ่วหลันยังไม่ยินดี เพราะเธอเองก็พึงพอใจในตัวของพี่เขยคนนี้ แม้จะไม่ใช่รักแรกพบก็ตาม
แต่แล้วความรักระหว่างพี่น้องนั้นลึกซึ้งยิ่งกว่าหนุ่มสาว พอเธอเห็นว่าพี่สาวชอบเขามาก เธอจึงยอมถอยให้
ท้ายที่สุด ฉินฮั่นกับหลี่ซิ่วจือก็ได้แต่งงานกัน
หลี่ซิ่วจือบอกกับน้องสาวของตนเองว่าจะแนะนำให้เธอรู้จักกับเพื่อนของฉินฮั่น
แต่ไม่คาดคิดว่าหลี่ซิ่วหลันจะตกหลุมรักเฉียวเหลียนเฉิงตั้งแต่แรกเห็น
มาตอนนี้หลี่ซิ่วหลันตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชถึงขนาดนั้น พี่สาวอย่างเธอจึงรู้สึกผิดต่อหล่อนมาก แล้วแบบนี้จะกล้ารายงานความผิดของน้องได้ยังไง!
เฉียวเหลียนเฉิงเข้าใจความอึดอัดของอีกฝ่ายดี “ผมไม่ได้มาขอให้คุณเป็นพยาน แต่ผมแค่หวังว่าคุณจะช่วยอะไรได้บ้าง”
หลี่ซิ่วจือตกตะลึงก่อนจะหันมองชายหนุ่มอย่างสงสัย
ความจริงแล้วเธอละอายใจต่อเจียงหว่านกับเฉียวเหลียนเฉิงมาก ตราบใดที่มันไม่ใช่การทรยศต่อน้องสาว เธอก็สามารถทำตามสิ่งที่พวกเขาขอได้ทุกอย่าง!
เฉียวเหลียนเฉิงกล่าวต่อ “ตอนนี้เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว คุณลองคิดดูแล้วกันว่า น้องสาวของคุณจะได้รับประโยชน์อะไรจากการใส่ร้ายภรรยาผม?”
หลี่ซิ่วจือสับสน หันมองเฉียวเหลียนเฉิงด้วยความสงสัย
ทว่าเฉียวเหลียนเฉิงกลับหน้าแดงก่ำ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องทำแบบนี้
เขาเงียบก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว “ภรรยาของผมมาจากชนบท ไม่มีอำนาจหนุนหลังหรือการสนับสนุนพิเศษใด ๆ”
“ถ้าหลี่ซิ่วหลันยังคงดื้อดึงทำแบบนั้น ภรรยาของผมก็คงจะไม่มีปัญญาที่จะชดใช้ให้ ถึงจะบังคับกันแต่เราก็คงทำไม่ได้”
“ส่วนที่เลวร้ายที่สุดคือผมกับภรรยาจะเป็นบุคคลล้มละลาย ภรรยาของผมต้องอยู่ในคุก ส่วนผมตอนนี้ก็มีเงินฝากอยู่แค่พันกว่าหยวนเท่านั้น”
“และนั่นคือเงินเก็บจากการทำภารกิจเสี่ยงตายมาหลายครั้งของผม”
“ต่อให้ผมจะยอมให้พวกคุณทุกอย่างแล้ว แต่พวกคุณก็จะได้เพียงเท่านั้น”
หลี่ซิ่วจือเข้าใจสิ่งที่เขาพูด แต่เธอยังคงเงียบ และรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
เฉียวเหลียนเฉิงรู้สึกพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่เขากลับนึกถึงคำของเจียงหว่าน
‘หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง’
เฉียวเหลียนเฉิงไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร และเขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่อยากทำเลย แต่เจียงหว่านคือคนสำคัญของเขา
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หันมองหลี่ซิ่วจือแล้วพูดต่อว่า
“แต่ถ้าน้องสาวคุณเต็มใจที่จะพูดความจริง และโยนความผิดทั้งหมดให้เจียงเสวี่ย ทุกอย่างจะแตกต่างออกไป”
“หากเธอบอกว่าเจียงเสวี่ยจงใจเลื่อยราวบันไดไว้ล่วงหน้า เจียงเสวี่ยจะกลายเป็นคนผิดทันที และพวกคุณจะได้รับเงินชดเชยมากมาย ตระกูลเจียงร่ำรวย แล้วยังมีเส้นสายมากอีกด้วย”
“หลังจากนั้น ชีวิตของหลี่ซิ่วหลันจะดีขึ้นแน่นอน หากพวกคุณเจรจากับตระกูลเจียง แล้วตั้งเงื่อนไขบางอย่าง ไม่ว่าจะอะไร หรือกระทั่งให้ช่วยหางาน ทุกอย่างจะง่ายดายไปหมด”
“ต่อให้เธอจะเกลียดภรรยาของผมมาก แต่ผมคิดว่าการคว้าผลประโยชน์ให้ตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้นะ”
“ยังไงแล้วเธอก็ต้องเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต การใช้ชีวิตต่อจากนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ควรละเลย”
เฉียวเหลียนเฉิงพูดทุกอย่างตามที่เจียงหว่านบอกไม่พลาดแม้แต่คำเดียว พอพูดไปหมดแล้ว เขาก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนยวบจนพร้อมจะล้มลงได้ทุกขณะเลย
คำพูดพวกนี้ไม่สมกับเป็นเขาสักนิด
มันไม่ใช่นิสัยเขา และยังคิดว่าวิธีแบบนี้เป็นการแทงข้างหลังชัด ๆ
ส่วนคนที่ถูกแทงก็คือ ตระกูลเจียง
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถตอบคำถามเจียงเฉิงได้หลังจากที่ไปพบเจียงหว่าน
ตอนนั้นที่เจียงเฉิงถามว่าเป็นยังไง เขาพูดไม่ออกแม้แต่นิดเดียว บอกแผนของเจียงหว่านให้เจียงเฉิงฟังไม่ได้เลย
หลี่ซิ่วจือเงียบไปเมื่อรับฟังทุกถ้อยคำของเฉียวเหลียนเฉิง
เฉียวเหลียนเฉิงรู้ว่าหล่อนกำลังลำบากใจ เพราะนี่เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากจริง ๆ “ผมจะออกไปก่อน คุณลองคิดทบทวนให้ดีก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มหันหลังกลับ แต่เดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว จู่ ๆ เขาก็ตระหนักบางอย่างได้ เขาหยุดฝีเท้า หันกลับมาหาหลี่ซิ่วจือ แล้วพูดขึ้น
“ผมจะไม่แต่งงานกับหลี่ซิ่วหลันเด็ดขาด ทุกคนในกองทัพคงจะรู้ความสัมพันธ์ของผมกับภรรยาชัดเจนอยู่แล้ว เรากำลังจะหย่าร้างกันเพราะเราเข้ากันไม่ได้”
“อีกอย่างผมไม่มีวันเอาอิสรภาพและความสุขตลอดชีวิตของผมไปแลกอิสรภาพของเจียงหว่านหรอก ดังนั้นผมจะไม่มีวันแต่งงานกับหลี่ซิ่วหลันแน่นอน”
พอพูดจบ เฉียวเหลียนเฉิงก็เดินจากไป
คำพูดพวกนี้เขาไม่อยากพูดมันเลย แต่เพราะจำเป็น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถทำลายความหวังของหลี่ซิ่วหลันได้
แต่หวังว่าคำพูดเหล่านี้จะไม่ไปเข้าหูของเจียงหว่านนะ!
หลี่ซิ่วจือตัวแข็งทื่อ ไม่คิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เลวร้ายอย่างนี้น้องสาวของเธอจะยังคงคิดถึงเฉียวเหลียนเฉิงอยู่ตลอด
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ในใจเจ็บปวดเพราะความขุ่นเคือง
หลังจากกลับมาแล้ว เธอบอกกับหลี่ซิ่วหลันถึงสิ่งที่เฉียวเหลียนเฉิงกล่าวทั้งหมด
ตอนแรกหลี่ซิ่วหลันปฏิเสธที่จะรับฟัง ถึงกับก่นด่าพี่สาวอย่างบ้าคลั่งว่าเข้าข้างคนนอก
แต่หลังจากหลี่ซิ่วจือถูกดุด่ามาก ๆ เข้า เธอก็โต้กลับอย่างอดไม่ได้
“ถ้าจะพูดเรื่องพี่เขยของเธอ ฉันก็เป็นหนี้เธอจริง ๆ แต่ว่าตั้งแต่พวกเรายังเด็ก อาหารอะไรอร่อย ๆ เธอก็เป็นคนได้กินก่อนไม่ใช่เหรอ”
“อีกอย่างเธอก็มาอยู่ในบ้านของฉันนานกว่าหนึ่งปี คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าสายตาที่เธอมองพี่เขยของตัวเองเป็นแบบไหน?”
หลี่ซิ่วหลันตกตะลึงเมื่อความลับของเธอถูกเปิดเผย ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำ
หลี่ซิ่วจือถอนหายใจ พูดต่อด้วยดวงตาที่แดงก่ำเช่นกัน
“ฉันรู้ว่าเธออยากแต่งงานกับเฉียวเหลียนเฉิง แต่เฉียวเหลียนเฉิงบอกว่าเขาจะไม่ยอมสละอิสรภาพตลอดชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่เขากำลังจะหย่าร้างหรอก”
“ถ้าเจียงหว่านต้องเข้าคุก เขาก็ไม่ต้องหาเหตุผลมาหย่าร้างอีก แล้วเธอคิดว่าเขาจะมาแต่งงานกับเธอเพราะเจียงหว่านงั้นเหรอ”
หลี่ซิ่วหลันเงียบ
“พอได้ยินอย่างนั้นฉันก็คิดได้ ตระกูลเจียงกว้างขวางมากในเหยียนจิง ถ้าเธอมั่นใจว่าเธอตกบันไดเพราะเจียงเสวี่ยเลื่อยราวบันไดไว้ก่อนหน้า เราจะได้รับค่าชดเชยอย่างถูกต้องตามกฎหมายนะ”
“แล้วนี่ไม่ใช่การโยนความผิด เพราะเจียงเสวี่ยเป็นคนเลื่อยราวกั้นบันไดไว้เอง ถ้าเธอไม่ได้ทำอะไรไม่ดี เราก็คงไม่สามารถทำอะไรเธอได้!”
“ตอนนี้เธอกลายเป็นคนพิการแล้ว การใช้ชีวิตที่เหลือของเธอต่อจากนี้สำคัญที่สุด”
ประโยคสุดท้ายนี้ทำให้หลี่ซิ่วหลันยอมรับฟัง และคิดตาม
เธอเม้มปากแน่น แม้จะเกลียดชังเจียงหว่านมาก แต่ตอนนี้เธอไม่อาจบีบอีกฝ่ายให้ตายคามือได้
“พี่ออกไปก่อนเถอะ ฉัน… ขอคิดดูก่อน”
หลี่ซิ่วหลันพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก
เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงเฉิงขับรถจี๊ปไปที่สถานีรถไฟ เพื่อไปรับผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในชุดเดรสสีเขียวอ่อนที่ตัดเย็บอย่างประณีต เผยให้เห็นถึงสรีระและความสง่างามของเธอได้เป็นอย่างดี
ผ้าไหมที่พันเกี่ยวอยู่รอบเอวยิ่งทำให้เธอดูดีมากขึ้น
เธอมีผ้าบางเบาผืนใหญ่สีชมพูปกคลุมศีรษะเอาไว้ บดบังแทบทั้งใบหน้า ยกเว้นช่วงดวงตาที่สวมแว่นกันแดดปกปิดอยู่
ผู้หญิงคนนี้แต่งกายมิดชิด แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด
ขณะที่กำลังเดินออกมา ทุกสายตาล้วนจับจ้องเธออย่างช่วยไม่ได้
ป้าถังมาถึงแล้ว!