เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 93 เฉียวเหลียนเฉิงกลับมา เขาจะเชื่อเธอไหม
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 93 เฉียวเหลียนเฉิงกลับมา เขาจะเชื่อเธอไหม
บทที่ 93 เฉียวเหลียนเฉิงกลับมา เขาจะเชื่อเธอไหม?
คืนนั้นมีอาหารเย็นมาส่งให้ แต่เจียงหว่านไม่มีอารมณ์ที่จะกิน
แม้เธอจะค่อนข้างมองโลกในแง่ดี และไม่ได้กังวลอะไรนัก แต่สุดท้ายแล้วก็ยังกินไม่ลงอยู่ดี
เมื่อเห็นอาหารที่อยู่ตรงหน้าของเจียงหว่านไม่ถูกแตะต้อง เจวียนจือที่หลบอยู่มุมห้องเงียบ ๆ ก็คืบคลานเข้าไปใกล้ และพยายามเอื้อมมือมาที่ถาดอาหารของเจียงหว่าน
ก่อนที่นิ้วของเธอจะสามารถเกี่ยวเอาถาดอาหารไปได้ เจียงหว่านก็คว้าข้อมือของเธอเอาไว้เสียก่อน
“อะไร?” เจียงหว่านหันมองเจวียนจืออย่างหงุดหงิด
“เห็นว่าเธอไม่กิน ฉันเลยจะช่วยกินให้ไงล่ะ เสียดายของ” เจวียนจือกล่าวเสียงเบา
เจียงหว่านเย้ยหยันก่อนจะสบถด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไสหัวไปซะ ก่อนที่ฉันจะอารมณ์ไม่ดี”
คำพูดนั้นน่าขนลุกจนเจวียนจือต้องกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ
หล่อนตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ฉันออกไปจากที่นี่ไม่ได้!”
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้อีกสองคนในห้องขังประหลาดใจ ทั้งสองหันมองเจียงหว่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลังจากถูกเจวียนจือรบกวนอย่างนั้น เจียงหว่านก็รู้สึกหิวขึ้นมา เธอไม่รู้เลยว่าต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน จึงต้องกินอาหารตุนพลังไว้ก่อน แม้จะไม่อยากกินก็ตาม
เธอหยิบถาดอาหารขึ้นมาก่อนจะเริ่มกิน
หลังจากกินเสร็จ เธอวางมันไว้ใกล้ ๆ ที่นี่ไม่มีน้ำ และไม่มีที่สำหรับล้างจาน
ผ่านไปไม่นาน ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ทำความสะอาดก็เดินเข้ามา และหันมองเจียงหว่าน ก่อนจะเก็บถาดอาหารออกไป
“คุณมีลูกชายชื่อผิงอันหรือเปล่า?”
เจียงหว่านหันมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ จากนั้นผู้หญิงตรงหน้าก็เอ่ยปาก
“ลูกชายของคุณรออยู่ด้านนอก เขาขอให้ฉันมาบอกคุณว่าเขาขอโทษ”
เจียงหว่านเงียบ
ขอโทษ? ขอโทษเรื่องอะไร? เสียใจที่พาเธอไปที่นั่น หรือว่าเสียใจที่ทรยศเธอกันแน่?
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ตอนนี้เจียงหว่านก็ไม่คิดสนใจมันอีกแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นหยิบถาดอาหารออกไปหลังทำหน้าที่ส่งสารเสร็จ
ทว่าหัวใจของเจียงหว่านกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรในตอนนี้
ห้องกลับมามืดครึ้มอีกครั้ง ภายในห้องขังเต็มไปด้วยเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นจากทุกทิศ
เสียงคนพูดคุย เสียงคนถูกกลั่นแกล้ง เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
เจียงหว่านรำคาญมากจึงจ้องมองไปในความมืดด้วยสีหน้าเย็นชา
ปกติแล้วเธอต้องถูกสอบปากคำเมื่อถูกพามาที่นี่ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครมาเลย
มันทำให้เธอไม่แน่ใจเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของหน่วยรักษาความปลอดภัยนี้
หลังจากไตร่ตรองสักพัก เธอหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งเธอกลับรู้สึกถึงบางสิ่ง จึงลืมตาขึ้น
ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาเธอเห็นร่างสีดำกำลังพุ่งเข้าหาเธอ
เจียงหว่านตื่นเต็มตา สมองของหญิงสาวยังไม่พร้อมใช้งานเท่าไหร่นัก และไม่สามารถเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนองได้รวดเร็วเท่าเวลาปกติ
เจียงหว่านเห็นว่าเงาดำกำลังจะฟาดบางอย่างเข้าที่ศีรษะตน ทันใดก็มีหมัดถูกเหวี่ยงออกมาจากอีกมุมหนึ่งจัดการเงาดำนั้นให้เธอ
“อ๊ะ… ปัง!”
เงาดำกระเด็นไปกระแทกเข้ากับกำแพงก่อนล้มลงที่พื้น
เมื่อได้ยินเสียงเงาดำร้องออกมา เจียงหว่านจึงรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือเจวียนจือ
ตอนนี้เจียงหว่านได้สติ เธอเห็นว่าคนที่ปล่อยหมัดชกเจวียนจือเมื่อครู่คือผู้หญิงร่างผอมสูง
“นังบ้านั่นอยากจะลอบทำร้ายเธอตอนหลับ ฉันเกลียดพวกลอบกัดแบบนี้ที่สุด ไม่ต้องห่วง เธอปลอดภัยแล้ว ตราบใดที่ฉันอยู่ นังนั่นจะไม่มีวันทำอะไรเธอได้หรอก”
เมื่อมองดวงตาจริงใจตรงหน้า เจียงหว่านเม้มปากแน่น ก่อนจะกล่าวอย่างจริงใจ
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงร่างสูงเกาหัวอย่างเขินอาย “เอาหน่า อย่าพูดอะไรแบบนั้นเลย ฉันไม่ค่อยชินเท่าไหร่”
“ฮ่า ๆ” เจียงหว่านหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย
“พี่สาว แล้วทำไมพี่ถึงเข้ามาอยู่ที่นี่ได้เหรอ” ผู้หญิงอีกคนที่มีรูปร่างเตี้ยกล่าวถาม
เจียงหว่านเหลือบมอง แต่มองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนนัก อีกทั้งในช่วงกลางวัน เธอก็ไม่ได้สังเกตใครเป็นพิเศษด้วย
“ฆ่าคนน่ะ”
เจียงหว่านไม่อยากสร้างปัญหา จึงจงใจกล่าวออกไปอย่างนั้น
“ตายเลยเหรอ?” หญิงสาวถึงกับเผยน้ำเสียงประหลาดใจ
เจียงหว่านส่ายศีรษะ “ไม่รู้สิ คงมีคนพยายามช่วยชีวิตยัยนั่นอยู่มั้ง”
ผู้หญิงคนนั้นรีบขยับเข้าใกล้เจียงหว่านอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ต้องคิดมากไปหรอก ผู้หญิงบางคนสมควรถูกสั่งสอนเสียบ้าง ถ้าคนพวกนั้นตายไปก็นับว่าคุณโชคดี”
เจียงหว่านประหลาดใจ “เธอหมายความว่ายังไง? ถ้าหล่อนตาย ฉันก็จะถูกประหารด้วยนะ”
ผู้หญิงคนนั้นยกยิ้ม “โทษประหารชีวิตน่ะไม่เลวร้ายหรอก เพราะอีกยี่สิบปีต่อมา ฉันก็จะกลับมาเป็นผู้หญิงสารเลวอีกครั้งอยู่ดี”
เจียงหว่านหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้
แต่อีกฝ่ายกลับพูดออกมาอย่างจริงจัง “หัวเราะทำไมล่ะ ฉันพูดความจริง! ถ้าหล่อนพิการ พี่ไม่เพียงแต่ต้องติดคุก แต่ยังต้องจ่ายเงินชดเชยด้วย และเมื่อพี่ถูกปล่อยตัวออกไป ชีวิตของพี่ก็จะจบลงเลยนะ”
“ที่สำคัญคือหลังจากนั้นทุกคนจะมองพี่ด้วยสายตารังเกียจ แม้แต่สามีก็จะทิ้งพี่ไปด้วย”
“แบบนี้ให้ตายยังดีซะกว่า”
เจียงหว่านเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงตัวเองอยู่
หลังพูดคุยกันสักพัก เธอก็ได้รู้ว่าผู้หญิงสองคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
คนสูงคือน้องสาว ส่วนคนเตี้ยคือพี่สาว
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่มีประวัติที่ไม่ดีนัก พวกเธอต้องมาอยู่ในนี้เพราะความรุนแรงในครอบครัว
พวกเธอไม่ได้ถูกทารุณจากคนที่บ้าน แต่กลับถูกสามีและแม่สามีทุบตีอย่างหนัก
แต่สองคนนี้ไม่ได้พูดเหตุผลอะไรชัดเจนนัก อีกอย่างเจียงหว่านก็ไม่ได้ถาม
เธอรู้แค่ว่าสามีของพวกเธอขาหัก ส่วนแม่สามีก็ซี่โครงหัก
เท่านี้ก็โหดแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น อู่หยางเข้ามาพร้อมบอกข่าวล่าสุดของหลี่ซิ่วหลัน
“เธอไม่ตาย แต่เป็นอัมพาต”
“ตอนนี้เธอรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทหาร ผลการเอ็กซเรย์บอกว่ากระดูกสันหลังหัก เส้นประสาทกดทับ ร่างกายส่วนล่างเลยเป็นอัมพาต”
เจียงหว่านประหลาดใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น หลี่ซิ่วหลันคิดทำร้ายเธอ แต่ยัยนั่นกลับกลายเป็นอัมพาตเสียเอง
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หลี่ซิ่วหลันย่อมจะไม่พูดความจริงแน่นอน
มีแต่จะกล่าวโทษว่าเธอคือคนผลักหล่อนลงไปเสียมากกว่า
สถานการณ์นี้มันเสี่ยงมากจริง ๆ
“อ้อ มีข่าวดีด้วยครับ เฉียวเหลียนเฉิงกลับมาแล้ว”
เจียงหว่านนิ่งไปชั่วครู่ และแอบคาดหวังอยู่ในใจ ทว่าก็ยังแอบกลัวว่าเฉียวเหลียนเฉิงจะไม่เชื่อเธอ
“ฉันขอพบเขาได้ไหม?” หลังจากครุ่นคิดสักครู่ เธอก็เอ่ยปาก
อู่หยางส่ายศีรษะ “ไม่ได้ครับ คดีของคุณยังไม่ถูกพิจารณา ซึ่งมันจะถูกจัดการโดยศาลทหาร คุณคงไม่ได้รับอนุญาตให้พบเขาแน่นอน”
“พวกเขาจะสอบปากคำนักโทษด้วยตัวเอง แม้แต่ผมก็เข้าไปยุ่งไม่ได้”
เจียงหว่านก้มหน้าอย่างผิดหวัง ไม่อยากให้อู่หยางต้องเห็นความอับอายมากไปกว่านี้
“ไม่ต้องห่วง ไข่ของคุณยังอยู่ดี อีกไม่กี่วันพวกมันจะฟักแล้วล่ะ”
เจียงหว่านยิ้มออกเมื่อได้ยินเรื่องไข่
แต่อู่หยางกลับหดหู่ ผู้หญิงอ้วนตรงหน้านี่ตลกเสียจริง เธอไม่ได้ห่วงใยความปลอดภัยของตัวเองเลยสักนิด แต่กลับสนใจเพียงไข่แผงนั้น
ขณะเดียวกัน ในบริเวณลานบ้านของค่ายทหาร
เฉียวเหลียนเฉิงกับเจียงเฉิงยืนคุยอยู่บนทางเดิน มองจุดที่ราวบันไดหักอย่างเงียบงัน
“เหล่าเฉียว นายคิดยังไง?” เจียงเฉิงถามเสียงแผ่ว
เฉียวเหลียนเฉิงตอบกลับ “นายก็เห็นมันเหมือนกันใช่ไหม?”
เจียงเฉิงยกยิ้ม “อื้ม ร่องรอยชัดเจนขนาดนี้ จะมองไม่เห็นได้ยังไง?”
“เหล่าหลัวจากแผนกรักษาความปลอดภัยเป็นที่รู้จักในเรื่องดวงตาที่เฉียบแหลม เขาจะต้องเห็นมันแน่นอน!”
“เหลือก็แค่หาว่าใครเป็นคนพังราวบันไดนี้!”
ราวบันไดถูกทาสีไว้อย่างลวก ๆ ท่อเหล็กไม่ได้หนามาก และมีรอยเลื่อยเพื่อให้มันหักได้ง่ายขึ้นอย่างชัดเจน
แม้ว่าจะหักไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความจริงที่ว่ามันถูกเลื่อยไว้ตั้งแต่แรกได้ เมื่อถูกกระแทกแม้เพียงเล็กน้อยมันก็สามารถหักลงได้อย่างง่ายดาย
แม้แต่สะใภ้เฉินก็ยังมองออก แล้วเหล่าทหารที่ผ่านการฝึกฝนมาทั้งสามคนจะไม่เห็นได้อย่างไร?
สิ่งที่พวกเขายังสับสนและคับข้องใจที่สุดคือ ‘ใครกันเป็นคนเลื่อยราวบันไดนี้?’