เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 87 ผิงอันรู้ความจริง
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 87 ผิงอันรู้ความจริง
บทที่ 87 ผิงอันรู้ความจริง
เจียงหว่านรู้สึกสะเทือนใจเมื่อเด็กชายทำตัวเหมือนเด็กชนบท เธอจึงหยิบซาลาเปาขึ้นมาแล้วยัดมันใส่มือเขา
“นี่ทำจากแป้งขาว เรียกว่าหมั่นโถว อร่อยนะ”
ผิงอันคว้ามันไว้ก่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แต่เขาก็ยังหันมองเฉียวเหลียนเฉิง
“พ่อ ผมกินได้ไหม?”
เฉียวเหลียนเฉิงพยักหน้า
เด็กน้อยมีความสุขมากเมื่อได้เห็นอย่างนั้น และอ้าปากกัดหมั่นโถวเข้าไปคำโต
รสหวานและนุ่มนิ่มทำให้เด็กชายรู้สึกมีความสุขมาก
เมื่อครู่นี้สภาพของเขาไม่ต่างจากทหารที่ใกล้ตายในสนามรบ แต่ตอนนี้ดูเหมือนพลังกายใจของเขาจะฟื้นคืนกลับมาแล้ว
เขาไม่จำเป็นต้องกินผักตามด้วยซ้ำ เขากัดหมั่นโถวคำใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะหันมาถามเฉียวเหลียนเฉิง
“พ่อครับ แล้วหลังจากนี้ผมจะได้กินหมั่นโถวอร่อย ๆ นี่อีกไหม?”
เฉียวเหลียนเฉิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพียงหันมองเจียงหว่านด้วยสายตาอ้อนวอน
“การที่ลูกจะได้กินของอร่อยแบบนี้หรือไม่ขึ้นอยู่กับน้าอ้วนของลูก ถ้าเธอไม่อยากจะเลี้ยงดูลูก ลูกก็ต้องตามพ่อกลับไปกินซาลาเปาในกองทัพ”
ผิงอันเข้าใจว่าพ่อของเขาหมายถึงอะไร ตอนนี้เขาก้มศีรษะลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แล้วมองเจียงหว่านด้วยแววตาออดอ้อนราวกับหมาน้อย
“น้าอ้วนครับ ผมอยู่ด้วยได้ไหม?”
เจียงหว่านตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เด็กน้อยตรงหน้าถึงเชื่อฟังเสียอย่างนั้น
แต่ไม่นาน เธอก็สงบสติอารมณ์ลง เพราะเฉียวเหลียนเฉิงยังอยู่ที่นี่ไงล่ะ เจ้าเด็กนี่คงเรียนรู้ทักษะมาจากเจียงเสวี่ย ตราบใดที่เฉินเหลียงเฉิงอยู่ด้วย เด็กนี่ก็จะทำตัวเป็นเด็กดีแบบนี้แหละ
รอเมื่อไหร่ที่เฉียวเหลียนเฉิงจากไปสิ เขาจะกลายเป็นปีศาจทันทีแน่นอน
“ไม่ นี่คือบ้านของฉัน ไม่ใช่บ้านของพ่อเธอ อีกอย่างฉันต้องขายเนื้อด้วย กลับไปซะ”
เจียงหว่านปฏิเสธทันที
เธออยากจะกำจัดพวกเขาออกไป และต้องการอยู่คนเดียวสักที จะไม่ดูแลหรือบริการใครทั้งนั้น
เฉียวเหลียนเฉิงเองไม่คิดว่าเจียงหว่านจะปฏิเสธ
เมื่อเห็นแววตาผิดหวังของลูกชาย เขาก็รีบพูดต่อว่า
“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจสิ สองวันนี้ผมได้หยุด รอจนวันหยุดหมดลงก่อนแล้วค่อยคุยกันดีกว่านะ”
เจียงหว่านกลอกตามองผิงอันที่กำลังถือหมั่นโถวที่ถูกกัดไปแล้วครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนเด็กนี่จะไม่กล้ากินมันต่อ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความลังเล และความหิว
เมื่อเห็นภาพนั้น หัวใจของเธอก็อ่อนลง
“งั้นรีบกินซะ ตอนนี้มันเป็นของเธอแล้ว มื้อนี้เธอสามารถกินได้เพราะพ่อของเธอจ่ายเงินแล้ว เข้าใจมั้ย!”
ผิงอันเงยหน้ามองเจียงหว่าน และเมื่อได้ยินว่าพ่อจ่ายเงินแล้ว เขาก็รีบยัดหมั่นโถวนี้เข้าปากอย่างรวดเร็ว จนแก้มน้อย ๆ พองออกมาเหมือนหนูแฮมสเตอร์
หลังจากพักผ่อนในช่วงเที่ยง เจียงหว่านก็ออกไปขายของอีกครั้ง
ส่วนเฉียวเหลียนเฉิงยังคงฉาบผนังบ้านต่อไป
เขาคิดจะให้ผิงอันออกไปกับเจียงหว่านด้วย
“ตามน้าอ้วนออกไปขายเนื้อสิ ถือว่าเป็นการออกกำลังกายด้วยไง”
ผิงอันติดตามเจียงหว่านไปอย่างเชื่อฟัง
ปกติแล้ว แผงลอยของเธอจะเปิดในช่วงบ่ายสามหรือสี่โมงเย็น
ทว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนมากนัก หากเป็นเวลาที่ขายดีจริง ๆ จะอยู่ในช่วงห้าถึงหกโมงเย็น
หลังจากขายไปสักพัก เจียงหว่านก็หยุดพักผ่อนเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าผิงอันไปยกหินก้อนใหญ่จากไหนมานั่ง ด้วยความที่เด็กชายไม่รู้จะทำอะไร
เจียงหว่านสงสัยจึงถามขึ้นว่า “พ่อของเธอชอบฉาบผนังเหรอ? ทำไมถึงได้พยายามจะฉาบผนังนั่นนัก?”
ผิงอันหันกลับมาทองเธอ เดิมทีเขาไม่คิดตอบคำถาม แต่ผ่านไปสักครู่ ก็เปิดปากอธิบาย
“ผมได้ยินว่าย่าทวดถูกกำแพงทับตาย เพราะบ้านเก่ามาก”
เจียงหว่านตกตะลึงไปชั่วขณะ ไม่แปลกใจเลยที่ตอนเขาพูดถึงย่าที่ชอบฟักไข่ไม่เท่าไหร่ก็หยุดเล่าถึง
ท่านตายไปแล้วสินะ
แต่เธอเองก็จับประเด็นสำคัญของประโยคได้อย่างรวดเร็ว
“ถูกกำแพงทับตายเหรอ?”
ผิงอันพึมพำ “ผมได้ยินมาจากป้าเฉินกับลุงเฉิน”
เขาควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าสะใภ้เฉิน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผู้หญิงทุกคนยกเว้นเจียงเสวี่ยกับเจียงหว่านจึงกลายเป็นป้า และผู้ชายทุกคนก็กลายเป็นลุง
แต่ยังไงแล้วเขาก็ยังเด็ก ไม่มีใครสนใจคำพูดเด็กหรอก
หลังจากเงียบไปสักครู่ ผิงอันพูดต่อว่า “ผมได้ยินมาว่าตอนนั้นฝนตกหนัก แล้วก็ตกนาน จนผ่านไปเป็นสัปดาห์ก็ยังไม่หยุด และในบ้านมีหลายจุดที่น้ำรั่วเข้ามา เลยไม่มีใครอยากจะเข้าไปอยู่เลย”
“ตอนนั้นพ่อป่วยหนัก และย่าทวดต้องกลับบ้านไปเอายามาให้พ่อ แต่บ้านพังลงมาแล้วย่าทวดก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย”
เจียงหว่านตระหนักได้ถึงบางอย่าง
การตายของย่ากลายเป็นหนามแทงใจเฉียวเหลียงเฉิง ทำให้เขากลายเป็นคนหวาดกลัวบ้านที่ไม่แข็งแรงไปแล้วเหรอ?
หมอนั่นกลัวว่าบ้านจะพังแล้วทับเธอตายอยู่ด้านในงั้นเหรอ?
ตอนนี้เจียงหว่านรู้สึกว่าในใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
นอกจากสับสนแล้ว ก็ยังมีความอบอุ่นอยู่ในใจเล็กน้อย
ขณะที่เธอกำลังนิ่งเงียบ ผิงอันหันกลับมามองเธอด้วยสายตาจริงจัง
“นี่ ยัยอ้วน! น้าอ้วน!”
เจียงหว่านทั้งประหลาดใจและหดหู่ใจเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเอง
“อะไรอีก?”
เธอตอบกลับอย่างหงุดหงิด
ผิงอันเม้มปากก่อนจะพูดต่อ “จริง ๆ แล้วน่ะพ่อเก่งมากเลยนะ”
เจียงหว่านถึงกับสับสน
“หมายความว่ายังไง?”
ผิงอันพยายามกล่าวอย่างใจเย็น “พ่อเป็นคนดี หน้าตาก็ดีมาก แล้วเป็นคนเก่งมาก”
“ดูเหมือนว่าเขาจะห่วงใยน้ามากด้วย งั้นต่อจากนี้น้าช่วยดูแลเขาให้ดีได้ไหม?”
“หา?” เจียงหว่านอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเด็กชาย
เธอยกมือแตะหน้าผากของผิงอันอย่างเป็นห่วง
“ก็ไม่มีไข้นี่ แล้วทำไมพูดจาไร้สาระแบบนี้ล่ะ” เธอพึมพำ
ผิงอันโบกมือ “น้านั่นแหละป่วย ผมไม่ได้ป่วย!”
เจียงหว่านยิ่งไม่เข้าใจ “เธอเป็นอะไร? ไม่ได้เกลียดฉันแล้วเหรอ”
ผิงอันก้มศีรษะลงก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ผมไม่ใช่ลูกในสายเลือดของพ่อ”
เจียงหว่านรู้สึกกลัวขึ้นมา “แน่ใจนะว่าเธอไม่ได้ป่วย? ถ้าเธอป่วยฉันจะได้ไม่ขายเนื้อแล้วพาเธอไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย”
ผิงอันส่ายศีรษะก่อนจะทอดสายตาไปมองฝูงชนมากมายตรงหน้า
“ผมไม่ได้ป่วย แล้วผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนด้วย จนวันนั้นผมไปกินข้าวเย็นที่บ้านของป้าเฉิน”
“เพราะผมลืมของเลยกลับไปเอา แต่หลังจากเดินเข้าไป ก็ได้ยินป้าเฉินกับลุงเฉินคุยกัน”
ในใจของเจียงหว่านบีบรัดอย่างตื่นกลัว รู้สึกเจ็บปวดไปกับเขาด้วย
“พวกเขาคุยอะไรกัน?” เธอถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
ผิงอันตอบกลับว่า “พวกเขาบอกว่าพ่อดูเหมือนจะชอบน้า แล้วพวกเขาก็บอกว่าน้าเป็นคนดี แค่ทำสิ่งต่าง ๆ ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ เท่านั้น”
“แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง”
ผิงอันเล่าถึงตอนที่ได้ยินบทสนทนาของสะใภ้เฉินกับหัวหน้าหน่วยเฉินให้เจียงหว่านฟัง
“ตอนนั้นป้าเฉินพูดว่า จริง ๆ แล้วเจียงหว่านก็ไม่เลวเลยนะ เธอมีจิตใจที่ดี ไม่ใช่พวกหัวโบราณด้วย ถ้าผิงอันตามเจียงหว่านไป ชีวิตของเขาจะไม่หลงทางแน่นอน”
“แล้วลุงเฉินก็บอกว่า ใช่ ตราบใดที่ไม่ไปยุ่งกับเจียงเสวี่ยก็เป็นเรื่องดี เพราะเจียงเสวี่ยน่ะร้ายเกินไป”
“ป้าเฉินเลยถามอย่างตกใจว่า คุณก็รู้เรื่องของเธอด้วยเหรอ?”
“ลุงเฉินรีบตอบกลับว่า ‘พวกเราไม่ได้ตาบอดนะ แม้แต่พี่ชายของเธอก็ยังทนต่อการกระทำของเธอไม่ได้เลย เธอเลยเข้าหาผิงอันไง”
“แล้วป้าเฉินก็ถอนหายใจ แล้วบอก ใครก็รู้เรื่องที่ ‘ผิงอันไม่ใช่ลูกในสายเลือดของเฉียวเหลียนเฉิง’ แม้เฉียวเหลียนเฉิงจะเลี้ยงดูเขาเพื่อตอบแทนพ่อของผิงอันที่ช่วยชีวิตไว้ แต่เขาคงไม่ทำลายความสุขของตัวเอง เพียงเพราะเห็นแก่เด็กคนนี้หรอก”
“ตอนนั้นลุงเฉินเงียบไป ก่อนจะพูดขึ้นว่า เจียงเสวี่ยกำลังจะไปแล้ว เด็กจะได้รับการสั่งสอนดี ๆ สักที”
“ถ้าไม่ได้ผลจริง ๆ เดี๋ยวก็จะถึงเวลาที่เด็กนั่นต้องไปโรงเรียนแล้ว ฉันจะแนะนำให้เฉียวเหลียนเฉิงส่งเขาไปโรงเรียนประจำ ได้ยินมาว่ามีโรงเรียนประจำในเหยียนจิงอยู่ เขาจะได้ไม่สร้างปัญหาให้กับทั้งสองคนอีก”
“แล้วก็พูดอีกว่า พอพวกเขาสองคนมีลูกเป็นของตัวเองแล้ว บางทีความสัมพันธ์อาจจะดีขึ้นก็ได้”
“แต่ก็อดสงสารผิงอันไม่ได้”