เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 86 เฉียวเหลียนเฉิงพาครอบครัวไปอยู่กับภรรยา
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 86 เฉียวเหลียนเฉิงพาครอบครัวไปอยู่กับภรรยา
บทที่ 86 เฉียวเหลียนเฉิงพาครอบครัวไปอยู่กับภรรยา
เมื่อเห็นความเศร้าสร้อยของผิงอัน เจียงเสวี่ยรีบลบสิ่งที่คิดในใจ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อย่างนั้นวันเลี้ยงส่งน้า เธอต้องมานะ แล้วก็อย่าบอกพ่อเชียว เขาไม่อยากให้เธอมายุ่งกับน้าแล้ว”
“แต่เธอพาแม่เลี้ยงมาด้วยล่ะ น้าอยากให้ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน มานั่งกินข้าว และคุยกันดี ๆ”
“นับตั้งแต่วันนี้ ความแค้นและความบาดหมางก่อนหน้าจะถือว่าสิ้นสุดไง”
ผิงอันไม่เข้าใจประโยคสุดท้ายนัก แต่เขาก็เข้าใจว่าตัวเองต้องพาเจียงหว่านมาที่นี่ เพื่อกินเลี้ยงกับเจียงเสวี่ย
เด็กชายพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
เจียงเสวี่ยกล่าวต่อ “มีบางอย่างที่น้าต้องขอความช่วยเหลือจากผิงอันด้วย”
ผิงอันเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว
เจียงเสวี่ยกล่าวต่อว่า “ที่ข้างกำแพงในสวน ใต้ต้นมะเดื่อ น้าซ่อนถุงบางอย่างเอาไว้ นั่นคือของขวัญที่น้าอยากจะมอบให้พ่อของเธอ”
“ไปขุดมันออกมาให้น้าหน่อยนะ แต่อย่าบอกใครหรือให้ใครเห็นเข้าล่ะ”
ผิงอันไม่เข้าใจ “ทำไมต้องซ่อนไว้ใต้ต้นไม้ด้วยล่ะฮะ?”
เจียงเสวี่ยคิดคำแก้ตัวไว้แล้ว เธอเพียงยกยิ้ม และอธิบาย
“น้าตั้งใจว่าจะเตรียมของขวัญให้กับพ่อของเธอ แต่หลังจากแม่เลี้ยงเธอมาที่นี่ น้าก็เสียใจมากเลยไม่ได้ให้ของขวัญนี้กับเขาน่ะ”
“หลังจากมองดูสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นไป น้าก็เสียใจมากเลยต้องฝังมันไว้ใต้ต้นไม้”
“ตอนนี้น้ากำลังจะจากไปแล้ว แต่น้าอยากจะให้ของขวัญชิ้นนั้นก่อนจะออกเดินทาง จะได้ไม่ต้องนึกเสียใจทีหลังอีก แล้วพ่อของเธอก็จะได้คิดถึงน้าบ้างถ้าเขาเห็นของขวัญนี้”
ผิงอันพึมพำรับคำ ก่อนจะลุกขึ้น แล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เขารีบไปขุดกล่องใต้ต้นมะเดื่อ และเป็นเพราะมันถูกฝังมานานแล้ว กล่องใบนี้จึงมีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างผุพังและเก่ามาก
ผิงอันไม่ได้ตั้งใจจะเปิดกล่องดู แต่เพราะกล่องมันหนักเกินไป เมื่อเขาหยิบขึ้นมา เดินต่อไม่กี่ก้าวก็ทำมันหล่น จนฝากล่องเปิดออกเอง
ผิงอันก้มลงเก็บกล่องขึ้นมา และเห็นว่าข้างในมีเลื่อยกับกระดาษทรายอยู่
เขาเกาหัวแกรก ๆ ได้แต่สงสัยว่า ของขวัญอะไรกันนะที่ใช้ใบเลื่อยกับกระดาษทราย…?
แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก ผิงอันเก็บข้าวของทั้งหมด แล้วปิดฝากล่อง ก่อนจะนำกลับมาส่งให้กับเจียงเสวี่ยโดยไม่คิดอะไร
เจียงเสวี่ยยกยิ้มอ่อนโยนหลังจากได้รับของ “ผิงอันเก่งมากเลยจ้ะ แล้วนับจากนี้ไปต้องเชื่อฟังพ่อให้มากนะ”
ผิงอันพยักหน้ารับหนักแน่น แต่ขณะที่กำลังจะพูดบางอย่าง เด็กชายได้ยินเสียงของเฉียวเหลียนเฉิงดังขึ้นจากด้านนอก
ผิงอันหันกลับมามองเธออีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูแล้วออกไป
เจียงหว่านยังอยู่ในตัวตำบล วันนี้เธอขายเนื้อได้ค่อนข้างขายดี
เจียงหว่านคิดว่าเป็นเพราะเธอตัดสินใจละทิ้งชีวิตแต่งงาน และทุ่มเทให้กับอาชีพการงาน ชีวิตของตนถึงดีขึ้น
เจียงหว่านเชื่อว่าผู้หญิงที่ทุ่มเทให้กับการงานจะไม่มีวันพบเจอโชคร้าย
สำหรับผู้ชายที่เกียจคร้าน และยังอยู่ในบ้านคนนั้น เธอไม่คิดสนใจเขาอีกต่อไป เพราะเธอรู้สึกว่าเขาเพียงแค่รู้สึกผิด และใช้ความผิดเหล่านั้นทำตัวเองให้น่าสงสาร
หลังจากนี้ไม่กี่วัน เขาก็ต้องกลับไปทำงานอยู่ดี
และคงไม่มีเวลามานั่งคิดถึงเธออีก
คนหนึ่งอยู่ในตัวตำบล คนหนึ่งอยู่ในค่ายทหาร เมื่อวันเวลาผ่านไป พวกเขาทั้งสองก็จะลืมเลือนซึ่งกันและกันไปเอง
ไม่ว่าความสัมพันธ์จะลึกซึ้งเพียงใด แต่สุดท้ายมันจะอ่อนแอลงเมื่อมีระยะห่างมาขวางกั้น ไม่ต้องพูดถึงความรักที่พวกเขาไม่ได้มีต่อกันเลย
ตอนนี้เจียงหว่านยอมเลื่อนการหย่าร้างออกไปจนถึงสิ้นปี แต่ถ้าหากเธอโชคดี เธออาจจะหย่าได้ภายในสองสามเดือนข้างหน้านี้
ช่วงกลางวัน วันนี้มีอาหารเหลือมากมายในโรงอาหารตำรวจ แต่เจียงหว่านกลับลังเลว่าจะเอากลับดีไหม ทว่าสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจจะเมินเฉย
แต่ผ่านไปไม่นานเธอก็ฉุกคิดว่า ยังไงหมอนั่นก็ทำงาน เธอก็ควรจ่ายค่าจ้างเป็นอาหารหรือเปล่า จะได้ไม่เป็นการติดค้างบุญคุณต่อกัน
ยิ่งกว่านั้น เมื่อก่อนเฉียวเหลียนเฉิงก็มักจะนำอาหารมาให้เธอเสมอด้วย
แค่จ่ายค่าแรงให้กับเขาเล็ก ๆ น้อย ๆ คงไม่เป็นไรมั้ง?
คิดได้อย่างนั้น เธอจึงขอยืมกล่องอาหารสองสามกล่องจากอู่หยาง แล้วเอาข้าวที่เหลือกลับไป
วันนี้มีซาลาเปาเหลือแปดชิ้น และเธอหยิบมันไปทั้งหมด
แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอกลับไม่เจอเฉียวเหลียนเฉิงแล้ว
เจียงหว่านมองดูทั้งในและนอกบ้าน เมื่อตระหนักได้ว่าเขาไม่อยู่ หญิงสาวก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“นึกว่าจะอยู่สามวัน เฮอะ! นี่อยู่ไม่ถึงสองวันด้วยซ้ำ”
เจียงหว่านรู้สึกแปลก ๆ เมื่อมองอาหารกลางวันทั้งสองกล่องที่ตนนำกลับมาด้วย …หึ กลับไปก็ดี อย่ากลับมาอีกก็แล้วกัน!
หลังจากล้างมือเสร็จแล้ว เธอนั่งกินข้าวบนตอไม้เพียงลำพัง
ขณะกินซาลาเปาอยู่ เสียงของเฉียวเหลียนเฉิงก็ดังขึ้นด้านนอกประตูรั้ว
“หว่านหว่าน เปิดประตูหน่อย”
เจียงหว่านเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเห็นว่าเฉียวเหลียนเฉิงมายืนอยู่หน้าประตู และแบกผ้านวมผืนใหญ่มาด้วย
คล้ายกับ …กำลังย้ายบ้านไม่มีผิด
เจียงหว่านรู้สึกโง่งมเมื่อเห็นเฉียวเหลียนเฉิงตรงหน้า แต่เสียงตะโกนของชายหนุ่มก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เปิดประตูสิ มัวยืนทำอะไร? มือของผมไม่ว่าง ถ้าไม่เปิดประตูผมจะถีบมันนะ แต่ถ้าประตูพังแล้วก็ต้องซ่อมอีก”
เจียงหว่านฟื้นคืนสติกลับมา ก่อนจะรีบถามออกไป “ฉันเพิ่งบอกไปว่ากำลังจะย้ายออกจากที่นี่ แล้วทำไมนายถึงยังย้ายของมาอีก?”
เธอบ่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยังไปเปิดประตูอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อประตูเปิดออก เธอก็เห็นว่ามีผิงอันยืนอยู่ข้างเฉียวเหลียนเฉิงด้วย
ผิงอันก็ถือผ้าห่มไว้ด้วยเหมือนกัน แต่เพราะตัวเล็กและประตูบังเอาไว้จนมิด เจียงหว่านจึงไม่เห็นในตอนแรก
จากนั้นสองพ่อลูกก็เดินเข้ามาในบ้าน
เจียงหว่านที่เห็นยิ่งไม่เข้าใจ เธอวิ่งตามไปถามเฉียวเหลียนเฉิง
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่? แล้วทำไมผิงอันถึงมาที่นี่ด้วย?”
“นายคิดจะให้เขามาอยู่ในลานพัง ๆ แบบนี้กับฉันงั้นเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงยิ้ม “ใช่ ผมว่าจะให้ผิงอันเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลในตัวตำบลน่ะ”
“แล้วถ้าย้ายมาอยู่ด้วยกัน เขาก็จะไปโรงเรียนง่ายขึ้น”
เจียงหว่านหันมองผิงอัน
วันนี้ผิงอันคล้ายอารมณ์ไม่ดี จึงหันหน้าหนีเธอ
เจียงหว่านพูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “เฉียวเหลียนเฉิง นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง เขาเพิ่งอายุห้าขวบนะ!”
“ถ้านายต้องการให้ฉันดูแลเขา ฉันบอกเลยว่านายคิดผิดแล้ว ฉันต้องขายเนื้อ จะเอาเวลาไหนมาดูแล!”
เฉียวเหลียนเฉิงกล่าวออกมาอย่างสบาย ๆ “ใช่ ปกติแล้วคุณต้องขายเนื้อ เพราะฉะนั้นผมเลยอยากให้เขาช่วยคุณทำงาน นี่จะเป็นการฝึกให้เขารับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ วันได้ไง”
“นักวิชาการ ชาวนา งานโรงงาน พ่อค้า อาชีพเหล่านี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่คนจะนึกถึง นายต้องการให้เด็กเรียนรู้วิธีตั้งแผงขายของจริงเหรอ? นายไม่อายหรือไง?”
เฉียวเหลียนเฉิงกล่าวโต้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่! คนที่พูดว่าพ่อค้าคืออาชีพสุดท้ายที่ควรนึกถึงน่ะไร้สาระ การมีชีวิตที่มีเกียรติที่สุด คือการไม่ขโมยหรือปล้นชิงใคร ยืนหยัดด้วยขาของตัวเอง ไม่ว่าทำอาชีพใดขอแค่สุจริต ก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว”
“ดังนั้น ตราบใดที่เขาเป็นคนดี ผมก็ไม่สนใจทั้งนั้นว่าเขาจะทำอาชีพอะไร”
เจียงหว่านถึงกับพูดไม่ออก
ถ้าเขาพูดอย่างนี้แล้ว เธอจะพูดอะไรได้อีก
เจียงหว่านโบกมืออย่างจนปัญญา อยากจะทำอะไรก็ทำเลย!
หลังจากกลับมาที่ลานบ้านเช่า เธอมองกล่องข้าวตรงหน้าก่อนจะเอ่ยปากถาม
“นายกินข้าวหรือยัง?”
เฉียวเหลียนเฉิงรีบตอบ “ยัง เราออกจากบ้านมาตั้งแต่ช่วงประมานสิบเอ็ดโมงน่ะ” เขาพูด แต่แล้วก็หันไปถามผิงอันอีกที “ผิงอันลูกกินข้าวหรือยัง?”
ผิงอันตอบกลับอย่างหดหู่ “พ่อเรียกผมก่อนที่ผมจะได้ไปกินอาหารกับป้าเฉินซะอีก”
เขาถูกพ่อลากมาที่นี่ในตอนเที่ยง และเดินมานานมาก
เด็กชายต้องแบกผ้าห่มของตัวเอง และเดินเท้านานกว่าหนึ่งชั่วโมง หลังจากที่เขาวิ่งทำนั่นนี่มาทั้งวัน นี่มันทำให้เขาเหนื่อยมาก
เจียงหว่านก้มศีรษะกินอาหารอีกสองสามคำ และวางตะเกียบลง
“ฉันอิ่มแล้ว พวกนายกินข้าวไปเถอะ”
โชคดีที่วันนี้ที่เธอมีอาหารตกถึงท้องไปบ้างแล้ว
ความจริงเธอควรจะเย็นชาและไม่สนใจสองคนนี่ แต่เธอกลับไม่สามารถโหดร้ายขนาดนั้นได้
ถ้าหากผิงอันมาอยู่ที่นี่จริง ๆ เธอคงต้องเอาอาหารกลับมาเพิ่มอีกหนึ่งที่
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย เธออยากจะหนีออกจากบ้าน และหย่าร้างกับเฉียวเหลียนเฉิงไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไมถึงกลายเป็นลากทั้งครอบครัวออกมาอยู่ด้วยกันแบบนี้?
ถ้ารู้อย่างนี้ อยู่ในค่ายทหารคงจะดีกว่า
เมื่อนึกได้อย่างนั้น เธอหันมองเฉียวเหลียนเฉิงอย่างไม่พอใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ฉันไม่ได้ให้พวกนายกินเปล่า ๆ หรอกนะ จ่ายค่าอาหารด้วย”
“คนละสิบหยวน สองคนก็ยี่สิบหยวน”
“ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีข้าวให้กิน!”
เฉียวเหลียนเฉิงไม่ได้พูดอะไร เขาล้วงกระเป๋า ก่อนจะหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาให้เจียงหว่าน
“นี่เงินเดือนทั้งหมดของผมในเดือนนี้ ผมจะให้เป็นค่าอาหาร ถ้าไม่พอผมจะหามาให้อีก”
เจียงหว่านก้มมองดู เห็นเหรียญใหญ่ ๆ อยู่สองเหรียญ ที่เหลือเป็นเหรียญเล็ก ๆ รวมแล้วเป็นสี่สิบกว่าหยวน!
เธอรับมันไว้อย่างไม่เกรงใจ เพราะถือว่านี่คือค่าอาหารของพวกเขา และไม่ใช่การใช้จ่ายในครอบครัว ดังนั้นเธอจึงสามารถรับมันได้!
ผิงอันที่อารมณ์ไม่ดีในคราวแรก แต่เมื่อเห็นซาลาเปาสีขาวสองสามลูกในถุงกระดาษสีน้ำตาล ใบหน้าของเขากลายเป็นสดใสขึ้นมาทันที
“ทำไมซาลาเปาพวกนี้ขาวจัง?” เด็กชายเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น
ดวงตาสีดำคู่นั้นสดใสอย่างบอกไม่ถูก