เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 85 เจียงเสวี่ยล่อลวงผิงอัน
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 85 เจียงเสวี่ยล่อลวงผิงอัน
บทที่ 85 เจียงเสวี่ยล่อลวงผิงอัน
เนื้อหมูกำลังถูกตุ๋นอยู่ในหม้อทั้งที่ยังไม่เที่ยง คงเป็นเพราะมีเฉียวเหลียนเฉิงช่วยเหลือ เจียงหว่านจึงทำสิ่งต่าง ๆ ได้เร็วกว่าเดิมมาก
แต่เธอไม่คิดขอบคุณเขาสักคำ ทั้งยังทำหน้าเย็นชาก่อนจะจากไป
“นายกลับไปซะ อย่ามาก่อผนังปูนในบ้านหลังนี้อีกล่ะ ฉันกำลังจะเปลี่ยนที่อยู่ในเร็ว ๆ นี้แล้ว มันจะเสียเปล่า!”
เฉียวเหลียนเฉิงตกตะลึง แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร เจียงหว่านก็ลากรถเข็นออกไปแล้ว
และเธอก็ไม่ลืมเอากล่องไข่ไปด้วย
เมื่อมองเตียงว่างเปล่าตรงหน้า เฉียวเหลียนเฉิงรู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องสนใจกล่องไข่มากขนาดนั้น
มันก็แค่ฟักไข่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงทำเหมือนกับกลัวว่าเขาจะขโมยมันไปล่ะ?
เฉียวเหลียนเฉิงออกจากลานบ้านเช่าหลังจากเจียงหว่านไปแล้ว นึกไปถึงสิ่งที่เจียงหว่านบอกเมื่อคืนนี้ ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้
เมื่อก่อนเขาคิดว่าหากปล่อยให้เด็กเล็กอยู่ในสถานที่ปลอดภัย พวกเขาก็จะเติบโตต่อไปได้
แต่ตอนนี้ลูกชายของเขาเริ่มดื้อแล้ว และนี่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาจึงต้องจับตามองอีกฝ่ายให้ดี
เขาคิดที่จะสั่งสอนผิงอัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไร จึงวางแผนว่าจะกลับไปคุยกับเจียงเฉิงก่อน
ในห้องทำงานของหัวหน้ากองพันที่ 1
“นายพูดเรื่องอะไร? อยากจะให้ผิงอันเข้าโรงเรียนงั้นเหรอ? เขาเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง!” เจียงเฉิงตะโกนออกมาด้วยความตกใจหลังได้ยินความคิดของเฉียวเหลียนเฉิง
“ถึงเขาจะอายุแค่ห้าขวบ แต่ตอนนี้เขาตัวโตเหมือนกับเด็กหกขวบแล้ว ฉันอยากจะส่งเขาเข้าโรงเรียนอนุบาล!”
“ก่อนหน้านี้เจียงหว่านสอนหนังสือให้เขา เขาอ่านออก คิดเลขได้ และยังสามารถพูดสนทนาภาษาอังกฤษง่าย ๆ เป็นด้วย”
เจียงเฉิงตกใจมาก “อะไรนะ? เจียงหว่านสอนหนังสือ? ไม่ใช่ว่าเธออ่านไม่ออกหรือไง?”
เฉียวเหลียนเฉิงถอนหายใจ “ฉันถูกเธอหลอกซะได้น่ะ เธอไม่ใช่แค่อ่านออกเขียนได้นะ แต่ยังเขียนนิยายได้ด้วย”
เดิมทีเขาวางแผนจะเอานิยายที่ภรรยาของตนเขียนให้เจียงเฉิงดู เพราะเขารู้สึกว่ามันดีมาก!
แต่เมื่อคิดได้ว่าในนิยายของเจียงหว่านมีผู้หญิงเลวทรามชื่อเจียงเสวี่ยคอยวางแผนร้าย เขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
ก่อนเจียงเฉิงจะหายอึ้ง เฉียวเหลียนเฉิงก็พูดต่อว่า
“ไม่เป็นไร ยังไงก็ลองให้ไปโรงเรียนอนุบาลก่อนก็ได้”
“ถ้าเขาทำการบ้านไม่ได้ ฉันจะให้เจียงหว่านสอนเขาเพิ่ม เพราะเขายังเด็กมากด้วย มันคงไม่เป็นไรหรอกถ้าเขาจะเรียนชั้นอนุบาลซ้ำสักครั้ง”
“ก็ยังดีกว่าวิ่งเล่นไปวัน ๆ”
เจียงเฉิงคิดไตร่ตรองและรู้สึกว่าก็สมเหตุสมผลดี แน่นอนว่าเรื่องนี้สาเหตุหลักก็คือผิงอันตามติดเจียงเสวี่ยมากเกินไป และถูกผู้หญิงคนนั้นสั่งสอนเด็กชายจนเริ่มหลงผิด
เขาตบไหล่เฉียวเหลียนเฉิงก่อนจะพูดว่า “ตกลง ฉันจะเชื่อนาย”
“แต่เราตกลงกันไว้ว่าฉันจะเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับผิงอันด้วยครึ่งนึงนะ”
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายศีรษะปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก โรงเรียนอนุบาลน่ะไม่เท่าไหร่ ถ้าอยากจะแสดงความรับผิดชอบก็เก็บเงินไว้ส่งเขาเรียนมหาวิทยาลัยเถอะ”
“อนุบาล ประถม และมัธยมต้น ไม่ได้แพงอะไร นายอย่าขัดฉันเลยน่า”
เจียงเฉิงไม่ได้โต้แย้ง และรู้ว่าการเลี้ยงดูเด็กสักคนจำเป็นต้องใช้เงินมากแค่ไหน!
ขณะที่เฉียวเหลียนเฉิงกับเจียงเฉิงกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับอนาคตของผิงอัน ตอนนี้ผิงอันก็เริ่มไปหาเจียงเสวี่ยอีกแล้ว
“น้าเจียงเสวี่ย ผมช่วยป้าเฉินทำงานจนได้ไข่มาด้วยแหละ ผมให้”
ผิงอันกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส
ทว่าเจียงเสวี่ยกลับรู้สึกงุนงง ไม่ได้รับมันมาในทันที
ผิงอันเองก็สับสนว่าทำไมเจียงเสวี่ยไม่รับ แต่เขาก็ยังคงยื่นไข่ให้ และมองเธออย่างสงสัย
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงเสวี่ยรู้สึกตัวขึ้นมา และดวงตาของเธอกำลังมองผิงอันตรงหน้าอย่างนึกคิด
“ผิงอัน น้าไม่กินไข่นี้หรอกจ้ะ เธอเอาไปกินเถอะ”
ผิงอันส่ายศีรษะก่อนจะวางไข่ลงบนฝ่ามือของเจียงเสวี่ย
“ผมกลัวว่าอากาศหนาวจะทำให้ไข่นี้เสีย ผมเลยพกมันติดตัวไว้ อยากจะเอามาให้น้าตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว”
“แต่เมื่อคืนผมมาที่นี่ และเห็นว่าลุงเจียงเฉิงก็อยู่ด้วย ผมเลยไม่ได้เข้ามา”
“น้าไม่ต้องกังวลนะ ผมเก็บมันไว้ในอ้อมแขนอุ่น ๆ ของผมตลอดทั้งคืนเลย ไม่เย็นแน่นอน”
หลังพูดอย่างนั้น เขายัดไข่ใส่มือของเจียงเสวี่ยก่อนจะลอบมองมันอย่างเสียดาย แต่สุดท้ายก็ละสายตา แล้วเบือนหน้าหนีด้วยใจที่มั่นคง
ไข่ใบนี้ เขาก็อยากจะกินมันเหมือนกัน
แต่ไม่ได้ ๆ เขากำลังพยายามเพื่อให้คุณน้าเจียงเสวี่ยหายจากอาการป่วย
เจียงเสวี่ยก้มมองไข่ในมือ ตอนแรกเธอไม่ได้ต้องการมัน และยิ่งได้ยินว่ามันเป็นไข่ที่เด็กน้อยกอดเอาไว้ทั้งคืน เธอยิ่งรู้สึกไม่อยากกิน
แม้แต่มือที่เธอกำลังถือไข่เอาไว้ก็สั่นสะท้านเล็กน้อย ราวกับสิ่งที่ถือนี้ไม่ใช่ไข่ แต่เป็นเชื้อโรคที่ไม่ควรเข้าใกล้
แต่สุดท้าย เธอก็ไม่สามารถทิ้งสิ่งที่ผิงอันมอบให้ได้ จึงทำได้เพียงวางมันใกล้ ๆ
“ผิงอัน เช้านี้น้ากินข้าวแล้วล่ะ จะเก็บไว้กินทีหลังนะ ขอบคุณจ้ะ”
ใบหน้าของผิงอันแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ใจอุ่นวาบขึ้นมา
เขาเองก็อยู่บ้านใกล้ ๆ กับเจียงเสวี่ย แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกับเธอมากนัก การได้อยู่กับเธอตามลำพังอย่างนี้จึงทำให้เขารู้สึกดี
ทว่าวันนี้เจียงเสวี่ยค่อนข้างเฉื่อยชา ดูเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างในใจ แต่สายตาของเธอยังคงจับจ้องที่ผิงอัน
ซิ่วเฟินที่เห็นว่าผิงอันอยู่ที่นี่ด้วย จึงหยิบเสื้อผ้าลงไปซักที่ชั้นล่าง
เจียงเสวี่ยจ้องมองเด็กชายครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจพูดขึ้นว่า
“ผิงอัน อีกหกวันน้าก็ต้องไปแล้ว น่าอยากจะกินของอร่อย ๆ กับเธอก่อนออกเดินทาง เธอพาพ่อของเธอมาด้วยได้ไหม?”
ผิงอันตกตะลึง ยิ่งได้ยินว่าเจียงเสวี่ยกำลังจะจากไปแล้ว เขาก็รู้สึกลังเล
“น้าเจียงเสวี่ย น้าจะไปไหน แล้วเมื่อไหร่ถึงจะกลับเหรอ?”
หลังพูดจบ เขาก็หยุดชะงัก ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นผิงอันก็คงจะคิดถึงคุณน้ามากแน่”
เจียงเสวี่ยยิ้ม “ไม่หรอก หลังจากน้าหายแล้ว จะรีบกลับมาเลยนะ เธอก็เห็นขาของน้าแล้วนี่ น้าต้องกลับไปรักษามันให้หาย”
ผิงอันพยักหน้าพร้อมกับมองไปที่ขาของหญิงสาว
“อื้ม ผมมาที่นี่ได้เสมออยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าพ่อจะมาด้วยไหม”
เจียงเสวี่ยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเขาไม่มา เธอก็พาแม่เลี้ยงของเธอมาด้วยสิ”
ผิงอันขมวดคิ้วมุ่น “แต่ผู้หญิงคนนั้นหย่ากับพ่อแล้ว”
เจียงเสวี่ยเผยสีหน้าขมขื่น “ไม่เลย ผู้หญิงคนนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย พ่อของเธอตามไม่ทันหรอก”
“แต่ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวพ่อของเธอก็จะเห็นธาตุแท้ของหล่อนแน่”
ขณะพูดเจียงเสวี่ยก็ยื่นมือเรียวบางลูบศีรษะของผิงอัน ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“สิ่งที่น้าเป็นห่วงมากก็คือหลังจากน้าไม่อยู่ที่นี่แล้ว ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะรังแกเธอยังไงเนี่ยสิ”
ผิงอันที่ได้ยินอย่างนั้น แววตาของเขากลายเป็นหดหู่ แต่กลับพูดถ้อยคำที่เจียงเสวี่ยคาดไม่ถึงออกมา
“ผมไม่ใช่ลูกในสายเลือดของพ่อ ถ้าพ่อชอบเธอและอยากจะอยู่กับเธอในอนาคต ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
เจียงเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจ เธอไม่คิดมาก่อนว่าผิงอันจะเข้าใจเรื่องราวของผู้ใหญ่ได้ถึงขนาดนี้
ปีนี้ผิงอันอายุห้าขวบ พ่อแม่ของเด็กชายตายตอนเขาอายุได้เพียงสองขวบครึ่งเท่านั้น
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เขาอาศัยอยู่กับเฉียวเหลียนเฉิงมาตลอด ก่อนเธอจะมาอาศัยอยู่ที่นี่เด็กคนนี้ก็ได้ภรรยาของทหารภายในค่ายแวะเวียนมาช่วยดูแล
จนกระทั่งเธอเข้ามาอยู่ เธอจึงรับหน้าที่ดูแลเขาเอง
ซึ่งก็เป็นเพราะเธอต้องการเข้าใกล้เฉียวเหลียนเฉิง และตอบแทนที่พ่อของผิงอันช่วยชีวิตพี่ชายของเธอด้วย
ทุกคนมักจะพูดว่าเด็กอายุน้อยกว่าสามขวบไม่สามารถจดจำอะไรได้ เธอจึงคิดว่าเด็กคนนี้คงจะไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก
แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะรู้ทุกอย่างขนาดนี้