เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 84 เฉียวเหลียนเฉิงผู้น่าสงสาร
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 84 เฉียวเหลียนเฉิงผู้น่าสงสาร
บทที่ 84 เฉียวเหลียนเฉิงผู้น่าสงสาร
ต้องยอมรับว่ากลิ่นนี้ของเฉียวเหลียนเฉิงทำให้เธอเคลิ้มอย่างบอกไม่ถูก
เจียงหว่านร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด เฉียวเหลียนเฉิงก็หันหลังกลับมาคว้าตัวเธอไว้ แล้วดึงเข้าไปด้านในด้วยกัน
“นี่! ทำอะไรของนายน่ะ ฉันจะไปซื้อเนื้อ!”
ทว่าเฉียวเหลียนเฉิงพูดขึ้นมาอย่างเฉยเมย “มากินข้าวเถอะ เดี๋ยวผมไปซื้อเนื้อให้เอง”
“นายรู้เหรอว่าต้องไปซื้อเนื้อที่ไหน?” เจียงหว่านเริ่มโกรธขึ้นมาจริง ๆ
“ผมรู้ ในตำบลไม่ได้มีร้านขายเนื้อมากสักหน่อย ทั้งตำบลมีขายอยู่ร้านเดียวเอง เอาล่ะ ผมจะไปเอาเนื้อมาให้ ส่วนคุณก็กินข้าวซะ ผมจะรีบไปรีบกลับ”
ก่อนเจียงหว่านจะได้ปฏิเสธอะไร เฉียวเหลียนเฉิงก็เปิดประตูเดินออกไปเสียแล้ว
เจียงหว่านมองกล่องอาหารตรงหน้าด้วยความสับสน ก่อนจะเปิดมันออก และเห็นว่าด้านในมีซาลาเปากับซุปผัก
มันคืออาหารในโรงอาหารของกองทัพ
เธอเองก็รู้สึกหิวอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน จึงหยิบมันขึ้นมากินอย่างไม่เหนียมอาย
หลังทานอาหารเสร็จแล้ว เฉียวเหลียนเฉิงก็กลับมา
“ผมเอามาให้แล้ว แต่ผมจัดการมันไม่ได้ คุณช่วยสอนผมหน่อยสิ”
เจียงหว่านยิ่งประหลาดใจมากขึ้น เธอยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายพร้อมขมวดคิ้วมุ่น ราวกับไม่รู้จักชายตรงหน้า
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ตอบ เฉียวเหลียนเฉิงก็จ้องมองเธอกลับ “อะไรเหรอ? ผมแค่อยากรู้ว่าต้องจัดการกับมันยังไง”
เจียงหว่านหรี่ตาลงเล็กน้อย เธอถามเขาว่า “นายไปสร้างปัญหาอะไรในกองทัพมาใช่ไหม?”
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายศีรษะ “เปล่านะ”
เจียงหว่านยังคงถามต่อ “แล้วทำไมถึงอยากจะรู้ล่ะ? นายไม่เคยสนใจมาก่อนด้วยซ้ำ”
เฉียวเหลียนเฉิงก้มศีรษะมองหัวหมูตรงหน้าด้วยใบหน้าจริงจัง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“ผมอยากรู้ว่าคุณจัดการกับมันยังไง”
“ผมรู้ว่าคุณกำลังหาเงิน และพวกเราคือครอบครัวเดียวกัน ผมก็ควรต้องช่วยเหลือคุณสิ”
ความประหลาดใจถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้ง โลกทั้งใบเปลี่ยนแปลงไปในชั่วข้ามคืน
เจียงหว่านหันมองเฉียวเหลียนเฉิงที่พยายามดึงขนหมูออก แต่ดูเหมือนเขาไม่รู้จะทำยังไง จนเธอไม่สามารถทนมองได้อีกต่อไป จึงรีบผลักเขาออก
เฉียวเหลียนเฉิงที่นั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น โซเซไปเล็กน้อยเพราะถูกผลัก ก่อนจะรีบยืนขึ้น
เมื่อหันกลับมา เขาก็ได้ยินเจียงหว่านตวาด “นายเป็นบ้าอะไร? ใครอยากจะให้นายมาช่วยกัน”
“ฉันไม่ได้ทำเพื่อครอบครัวของเราเลยสักนิด ฉันทำเพื่อตัวฉันเอง”
“ตอนนี้เราหย่ากันแล้ว หยุดคิดว่าตัวเองเป็นสามีของฉันได้แล้ว”
“ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ บ้านของฉันไม่ต้อนรับนาย”
เธอรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย ไม่… เธอหงุดหงิดมากต่างหาก
ทำไมเขาถึงคิดว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วทำไมเขาต้องเอาศีลธรรมสูงส่งพวกนั้นมากดดันเธอด้วย
ทำไมเขาถึงคิดว่าหลังจากทำร้ายเธอขนาดนั้นแล้ว แค่เพียงหันกลับมาทำดีกับเธอให้มาก แล้วจะได้รับการให้อภัย?
เธอไม่คิดจะให้อภัยเขา ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ตาม เธอจะไม่มีวันให้อภัย!
เฉียวเหลียนเฉิงชะงักงันทำอะไรไม่ถูก และไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงอารมณ์
เขายืนอยู่ที่ประตูบ้าน หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่พูดอะไรสักคำ และไม่ว่าเจียงหว่านจะดุด่าเขาแค่ไหน เขาก็ไม่มีความคิดที่จะออกไป
หลังจากเจียงหว่านดุด่าจนเหนื่อยแล้ว เฉียวเหลียนเฉิงแค่ก้มหน้าลงพลางคิดเพียงว่าควรจัดการกับหัวหมูพวกนี้ยังไงต่อ
เขาจำได้ว่าเจียงหว่านต้องก่อไฟเพื่อปรุงอาหาร ดังนั้นเขาจึงไปจุดไฟ และวางหัวหมูลงในหม้อเพื่อต้มมัน
หัวหมูขนาดใหญ่ถูกหยิบจับอย่างง่ายดายด้วยมือหนาของเขา มันดูเบาราวกับเป็นนกกระทา
ตอนนี้เจียงหว่านกลับกลายเป็นเมือนคนโง่ที่ทำอะไรไม่ถูก!
ไม่… สิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่นี้รุนแรงมากเลยนะ คงไม่มีใครไม่โกรธหากได้ฟัง แต่หมอนี่ไม่สนใจสักนิดเลยเหรอ?
เจียงหว่านเดินไปหาเฉียวเหลียนเฉิงก่อนจะถามด้วยความขุ่นเคือง
“เฉียวเหลียนเฉิง นี่นายยังมีศักดิ์ศรีอยู่ไหม? เมื่อกี้ที่ฉันพูดไป ไม่ได้ยินเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว “ผมเองก็เคยดูหมิ่นคุณเหมือนกัน แต่คุณก็ไม่เคยจากไปไหนนี่”
“อีกอย่าง ผมเคยทำผิดกับคุณมาก่อน คำพูดพวกนั้นผมสมควรได้รับแล้ว”
“คุณต่อว่าผมได้ตามสบายเลย”
หลังพูดจบ เขาก็ก้มศีรษะลงจัดการกับหัวหมูต่อไป
เจียงหว่านอดไม่ได้ที่จะประทับใจ เธอจ้องมองชายที่กำลังจัดการกับหัวหมูตรงหน้าอย่างขะมักเขม้น และทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ถึงคำพูดที่ว่าชกหมัดใส่ใยฝ้ายนุ่ม ๆ
หญิงสาวทำได้เพียงเม้มปากแน่นเพื่อระงับความโกรธ ในเมื่อเขาต้องการทำงานอย่างหนัก อย่างนั้นเธอจึงคิดว่าจะใช้เขาเป็นคนงานของตัวเองซะเลย
อยากจะรู้เหมือนกันว่าหมอนี่จะอดทนได้สักเท่าไหร่กันเชียว
“ทำผิดแล้ว นายต้องใช้ไฟเผาขนมันก่อนไม่ใช่ย่างแบบนี้ ไม่อย่างนั้นเนื้อพวกนี้ก็จะเสียเปล่าหมด”
“เอาหัวหมูขึ้นมาแล้วเผาขน”
แม้จะกล่าวแนะนำ แต่น้ำเสียงก็ยังติดฉุนเฉียว
เฉียวเหลียนเฉิงเองก็รับฟังอย่างตั้งใจ พร้อมกับทำตามอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองมือที่ยุ่งเป็นพัลวันและค่อนข้างคล่องแคล่วของเขา เจียงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เฉียวเหลียนเฉิง ดูเหมือนนายจะทำอาหารเป็นอยู่นี่ ก่อนหน้านี้นายบอกว่าทำทุกอย่างในบ้านด้วยตัวเองด้วยใช่ไหม? แต่ไม่เคยย่างหัวหมูเนี่ยนะ?”
เฉียวเหลียนเฉิงเงียบไปสักพัก
หลังจากนั้นเขาจึงอธิบายออกมา “ครอบครัวของผมยากจนมาก ไม่มีเงินซื้อเนื้อหรอก”
เจียงหว่านนึกประหลาดใจ “ครอบครัวของนายไม่มีเนื้อสัตว์กินเลยเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉินหยุดคิดสักพัก ก่อนจะตอบกลับเสียงแผ่วเบา “ครอบครัวของผมได้กิน แต่ผมไม่เคยหรอก”
“ตอนที่ผมเด็ก ๆ ครอบครัวของผมยากจนมาก ผมมีน้องชายสองคน น้องสาวหนึ่งคน พ่อเป็นคนทำงานหนักที่สุดในบ้าน แม้ครอบครัวจะพอมีเงินใช้บ้าง แต่ก็ไม่ใช่สำหรับผม”
“ตอนอยู่ที่บ้านผมได้กินแค่ซุปผัก กับซาลาเปาเหนียว ๆ”
เจียงหว่านถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่คิดเลยว่าเฉียวเหลียนเฉิงจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเหมือนกัน!
เจียงหว่านจงใจเมินถ้อยคำเหล่านั้น แต่ก็ยังมีเรื่องที่อยากจะรู้ “แล้วหลังจากได้กินเนื้อสัตว์ครั้งแรกนายรู้สึกยังไง?”
เฉียวเหลียนเฉิงนิ่งคิดครู่หนึ่ง “ผมอ้วก”
เจียงหว่านอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “ทำไมล่ะ? ไม่ชินกับรสชาติของมันเหรอ?”
ว่ากันว่าคนที่ไม่เคยกินเนื้อสัตว์จะพะอืดพะอมมากเมื่อได้ลองชิมเป็นครั้งแรก
แล้วพวกเขาก็ไม่ใช่จะกินมันได้บ่อย ๆ
เฉียวเหลียนเฉิงเม้มปากราวครุ่นคิดบางอย่าง เส้นเลือดบนใบหน้าของเขาปูดโปนขึ้นมา พลางพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งทว่าจริงใจ
“ครั้งแรกที่ผมได้กินเนื้อสัตว์คือตอนอยู่ในสนามรบ เพิ่งเข้าทำงานในกองทัพ และได้เจอกับศัตรูขณะทำภารกิจ”
“แล้วนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้ฆ่าใครสักคน เพราะผมตื่นเต้น ผมเลยแทงเขาจนเนื้อหนังฉีกขาดและปลิ้นออกมาหมด”
“ตอนนั้นผมกลัวมาก แต่ขณะที่ในใจกำลังสับสน ผมก็คิดได้ว่าทางเดียวที่ผมจะอยู่รอด คือต้องฆ่าคนอื่น”
“หลังจากผมมีสติขึ้นมา ผมรู้สึกหดหู่นิดหน่อยหลังจากเห็นสภาพน่าสังเวชของคน ๆ นั้น”
“รอยมีดที่ท้องของเขาค่อนข้างใหญ่ แผลเปิดกว้าง และลำไส้ทะลักออกมา”
“วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้ว่าลำไส้ของมนุษย์เป็นสีชมพู ไม่ใช่สีเดียวกับของเสีย”
“หลังจากเรากลับมาที่กองทัพ ผู้บัญชาการอยากเลี้ยงฉลองให้กับชัยชนะของพวกเรา เขาใช้เงินของตัวเองซื้อไส้หมูกับขาหมูจากชาวบ้าน จากนั้นก็เริ่มตุ๋นเนื้อหมูให้พวกเราหนึ่งหม้อใหญ่”
“พอผมกินเนื้อเข้าไป แผลของศัตรูที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของผมก็ผุดขึ้นมาในหัว ตอนนั้นแหละที่ผมอ้วกออกมาไม่หยุดเลย”
เจียงหว่านสนใจกับเรื่องเล่านี้มาก เธอเองเป็นนักเขียนนิยาย และสนใจเรื่องสภาพจิตใจของผู้คนในสนามรบเป็นพิเศษ
เธอหยุดดุด่าเขาก่อนจะนั่งยอง ๆ ลงข้าง ๆ แล้วเอ่ยปากถาม
“แล้วหลังจากนั้นนายเอาชนะความพะอืดพะอมได้ยังไงเหรอ? ฉันเห็นว่าตอนนี้นายกินเนื้อสัตว์ได้ตามปกติแล้วนี่”
เฉียวเหลียนเฉิงยังคงเล่าต่อ และมือก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว “วันรุ่งขึ้น ผมพยายามกินมันอีกครั้ง ผมไม่ได้รับรสอะไรนักหรอก แค่ไม่อ้วกแล้ว”
“แต่ผมรู้สึกว่าไส้หมูมีกลิ่นประหลาด ๆ กลืนไม่ลงเลยล่ะ”
หลังจากหยุดพัก เขาหันมองเจียงหว่าน “และมันไม่อร่อยเหมือนอาหารที่คุณทำ”
เจียงหว่านนิ่งไปสักพักเพราะคำพูดนั้น “ครั้งแรกที่กิน นายอาเจียนออก แล้วทำไมวันรุ่งขึ้นถึงลองกินมันอีกล่ะ?”
คนทั่วไปคงไม่อยากแตะต้องเนื้อสัตว์อีกแน่ในเมื่อสภาพจิตใจเป็นแบบนั้น
ตอนนี้เฉียวเหลียนเฉิงหยุดจากทุกสิ่งที่ทำอยู่ และกล่าวอย่างจริงจัง
“เพราะผมมาจากครอบครัวยากจนในชนบท ผมรู้ว่ายิ่งไม่ชอบมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องปรับตัวให้ได้”
“สุดท้ายแล้วเราคือมนุษย์ การฝึกฝนอย่างหนักจะทำให้เราสามารถผ่านพ้นมันไปได้”
แค่พยายามอย่างหนัก ก็จะผ่านพ้นทุกอย่างไปได้
มันเป็นถ้อยคำที่เรียบง่าย แต่กลับทำให้เจียงหว่านรู้สึกประทับใจมาก
เธอรู้สึกเสียใจที่ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต
ไม่รับรู้คงจะดีกว่า เพราะเมื่อได้ฟังแล้วก็อดไม่ได้ที่จะโศกเศร้าไปกับเขาด้วย