เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 81 ภรรยาน้ำหนักลดจึงต้องชดเชยให้มาก
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 81 ภรรยาน้ำหนักลดจึงต้องชดเชยให้มาก
บทที่ 81 ภรรยาน้ำหนักลดจึงต้องชดเชยให้มาก
เจียงหว่านมองไปที่เฉียวเหลียนเฉิงที่กำลังส่งสายตาคล้ายกับจะบอกว่า ‘ไม่ต้องมายุ่ง’ ก็เม้มปากแน่นก่อนจะเมินเขา และเดินออกไปทันที
เธอยอมแพ้กับผู้ชายคนนี้แล้ว และไม่สนใจด้วยว่าเขาจะทำอะไร
จะไปสนใจทำไมว่าหมอนั่นโกรธอะไรเราอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น เจียงหว่านยึดมั่นว่าจะให้เรื่องผู้ชายมากระทบกับความเร็วในการหาเงินของเธอไม่ได้
เธอใช้ทั้งพลังทั้งโชคลาภไปมากในการเริ่มต้นธุรกิจนี้ ถ้ามีเงิน มีฐานะเมื่อไหร่ เธอจะก้าวไปให้ถึงจุดสูงสุดของชีวิต จะต้องเป็นคนที่มีความสุข และความสุขกับชีวิตของเธอก็ไม่จำเป็นต้องมีผู้ชายเป็นตัวขับเคลื่อน!
หมูตุ๋นถูกยกออกจากหม้ออย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมโชยเข้าสู่จมูกของเจียงหว่าน ทำให้เธอน้ำลายแทบหก
อยากกิน!
แม้เธอจะขายหมูตุ๋น แต่ว่าเธอไม่เคยกินมันสักครั้ง ไม่ใช่เพราะไม่อยากกิน แต่เพราะเธอกำลังลดน้ำหนักอยู่
เธอวางหมูตุ๋นลงในหม้อก่อนจะเข็นรถเข็นออกไป
ก่อนออกเดินทาง เจียงหว่านเหลือบมองเฉียวเหลียนเฉิงที่กำลังฉาบผนัง แม้จะลังเล แต่เธอก็ทำเพียงเข้าไปหยิบกล่องไข่บนเตียงแล้วออกไปเท่านั้น
เธอกลัวว่าเฉียวเหลียนเฉิงจะคลั่งขึ้นมา แล้วทำลายบ้านพังไปเสียก่อน
ถ้าหากแค่บ้านพังมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เพราะยังไงหมอนั่นต้องรับผิดชอบ แต่ถ้ากล่องไข่นี่แตกขึ้นมา นั่นหมายความว่าทุกอย่างจบสิ้น
เฉียวเหลียนเฉิงเห็นด้วยหางตาแล้วว่าเจียงหว่านหยิบกล่องไข่ออกไป แม้จะไม่แสดงสีหน้าใดออกมา แต่แววตาของเขาก็วูบไหว และความคับข้องใจก่อนหน้าก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วย
วันนี้เจียงหว่านขายเนื้อได้ค่อนข้างดี เธอขายเนื้อหมูครึ่งขาออกไปในระยะเวลาสั้น ๆ
ถ้ายังขายดีอย่างนี้ต่อไป ใช้ไม่นานต้องขายหมดแน่!
หลังจากชั่วโมงเร่งด่วนจบสิ้นลง อู่หยางก็เข้ามาหาเจียงหว่าน และบอกให้เธอรีบไปกินข้าว
“วันนี้พ่อครัวในโรงอาหารมีธุระช่วงบ่าย โรงอาหารจะปิดเร็วหน่อยน่ะครับ พี่สาวอ้วนรีบไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวผมดูร้านให้”
เจียงหว่านกล่าวขอบคุณ “ไม่ต้อง ๆ ฉันจะปิดร้านแล้ว”
ทุกคนในโรงอาหารจึงทานมื้อเที่ยงกันเสร็จแล้ว และสิ่งที่เหลืออยู่มีแค่ผัดผัก เพราะเธอมาถึงคนสุดท้าย
เจียงหว่านมองอาหารตรงหน้า และคิดว่าจะสั่งมาหนึ่งจาน
แต่เธอก็นึกได้ว่าช่วงกลางคืนตนจะไม่มีอะไรกิน
จึงถามไปว่า
“อาหารที่เหลือนี่คุณจะทำยังไงเหรอคะ? ฉันขอซื้อมันได้ไหม?”
พ่อครัวมองอาหารที่เหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นแล้วพูดขึ้น “ไม่ได้จะทำอะไรกับมันหรอก ปกติแล้วอาหารที่นี่จะเหลือน้อยมาก แต่วันนี้มีคนออกไปทำงานข้างนอกเยอะ ยังไม่กลับมา เลยเหลือเยอะหน่อยน่ะ”
“จะซื้อไปทำไมล่ะ? ยังไงเธอก็ให้เนื้อร้านเราบ่อย ๆ ถ้าอยากกินก็เอาไปเถอะ”
เจียงหว่านไม่ใช่คนขี้เหนียว บางครั้งถ้าเธอเนื้อขายไม่ดี และเหลือมากเกินไป เธอจะตัดแบ่งบางส่วนมาให้ที่โรงอาหารนี้
เพราะยังไง การเอาเปรียบผู้อื่นบ่อย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเหมาะสมสักเท่าไหร่
สังคมทุกวันนี้เป็นสังคมแห่งการเกื้อกูล เธอที่กำลังเผชิญหน้ากับความสูญเสีย คนอื่น ๆ จะรู้สึกเห็นใจเธอก็เป็นธรรมดา
เจียงหว่านรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ก็เก็บเอาอาหารที่เหลือขึ้นรถเข็น เอากลับไปที่ลานบ้าน
ทันทีที่มาถึงก็ยังเห็นเฉียวเหลียนเฉิงฉาบผนังอยู่
เจียงหว่านลากรถเข็นไปที่ลานบ้านก่อนจะวางกล่องอาหารกลางวันไว้บนโต๊ะเล็ก ๆ ใต้ต้นไม้
เฉียวเหลียนเฉิงอยากพูดคุยกับเจียงหว่านจึงเดินออกมาหา แต่ดูเหมือนเจียงหว่านจะไม่ยินดี และหลบหน้าเขา!
เขาเดินไปที่ลานเพื่อล้างมือ พอกลับมาจึงเห็นว่ามีกล่องข้าววางอยู่บนโต๊ะ
เฉียวเหลียนเฉิงคิดไปว่าเจียงหว่านคงเตรียมอาหารไว้สำหรับเขา จึงหยิบกล่องอาหารกลางวันขึ้นมา แล้วความสงสัยก็ฉายชัดบนใบหน้า พลางพึมพำแผ่วเบา “ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมฉินฮั่นถึงชอบบอกว่า พวกผู้หญิงมักปากไม่ตรงกับใจ หว่านหว่านแสดงออกว่ารำคาญขนาดนั้น แต่ก็ยังคิดถึงฉันอยู่สินะ”
เฉียวเหลียนเฉิงเปิดกล่องอาหารออก และเขาก็ต้องตกตะลึง
ภายในกล่องข้าวนี้มีทั้งข้าวขาว ผัดผักที่ดูดี และยังมีเนื้อสองสามชิ้นในผัดผักนั้นด้วย
ต่างจากในกองทัพมากทีเดียว
นี่คือเนื้อไม่ติดมันจริง ๆ
อาหารแบบนี้ยิ่งน่ากินมากเมื่ออยู่คู่กับข้าวขาว
“อาหารพวกนี้มาจากไหน? เธอซื้อมันมาจากร้านอาหารเหรอ?” เฉียวเหลียนเฉิงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณไม่กลับไปกินข้าวที่บ้าน เพราะอาหารนี่ดูน่าอร่อยกว่าอาหารในกองทัพซะอีก”
ทันใดนั้น เจียงหว่านก็เดินออกมาจากบ้าน และเห็นว่ากล่องอาหารของเธอไปอยู่ในมือของชายหนุ่มเสียแล้ว
เธอกัดฟันแน่นก่อนจะคิดแย่งคืน แต่เมื่อตระหนักถึงบางอย่างที่ว่า ไม่ว่าเจ้าของร่างเดิมจะทำตัวเลวร้ายมากแค่ไหน และเฉียวเหลียนเฉิงจะเกลียดชังเธอมากเท่าไหร่ เขาก็ยังคงจัดหาอาหารสามมื้อมาให้กับเธอเสมอ
เมื่อคิดได้อย่างนั้นเจียงหว่านก็ทำได้เพียงบอกตัวเองว่า …เอาล่ะ ลืมมันไปซะ เขาอยากจะกินก็ให้กินไปแล้วกัน!
เธอหันมองเขาก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเศร้าใจ “นี่มาจากโรงอาหารในสถานีตำรวจ พวกเขาให้ค่าบรรยายกับฉันน้อย เลยช่วยดูแลเรื่องอาหารกลางวันของฉันให้ด้วย”
“เอ๊ะ! แล้วทำไมฉันต้องอธิบายให้นายฟังด้วยเนี่ย จะกินก็กินไปเถอะ”
เจียงหว่านหยุดพูดไปครู่หนึ่ง และกล่าวเสริมขึ้นว่า “นี่… จะกินก็ได้นะ แต่จ่ายเงินฉันมาด้วย มื้อละหนึ่งหยวน”
เฉียวเหลียนเฉิงมองดูอาหารในมือ ไม่สนใจที่เธอขอเงินค่าอาหาร “พวกเขาดูแลแค่ตอนเที่ยงเหรอ? แล้วตอนเช้ากับกลางคืนล่ะ คุณทำยังไง”
“ช่วงนี้คุณไม่ได้กลับบ้านไปกินข้าวที่บ้านเลยนะ”
เจียงหว่านตวาดกลับทันที “ฉันกินแค่มื้อเดียว!”
เฉียวเหลียนเฉิงขมวดคิ้วงุนงง “ทำไมล่ะ? ทำไมถึงไม่กินข้าวเช้ากับข้าวเย็น?”
เจียงหว่านตอบกลับเสียงแผ่วเบา “ฉันอ้วน… ถ้ากินมื้อเช้าและมื้อเย็นน้ำหนักก็จะไม่ลดน่ะสิ เลยกินแค่วันละมื้อเพื่อไม่ให้หิวตายเท่านั้นแหละ”
เธอตอบกลับไปอย่างนั้น ทว่าความจริงแล้วเธอมักจะนำซาลาเปาที่ยังไม่ได้กินในตอนเที่ยงกลับมากินกับน้ำในเช้าวันถัดไปเสมอ
นั่นแหละคือมื้อเช้าสำหรับเธอ ส่วนมื้อเย็นเธอก็จะไม่กิน
เธอตั้งใจว่าจะลดน้ำหนัก ไม่ใช่แค่การพูดเล่น!
เฉียวเหลียนเฉิงเงียบไปก่อนจะมองกล่องอาหารกลางวันในมือ และรู้สึกว่าไม่กล้ากินมันแล้ว
เขาวางกล่องข้าวลงก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ
เจียงหว่านเห็นอย่างนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “ทำไมไม่กินล่ะ? มันแพงไปเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบกลับ “ผมไม่กินหรอก คุณเก็บนี่ไว้สำหรับมื้อเย็นเถอะ น้ำหนักคุณลดมากเกินไปแล้ว”
หลังจากคิดอีกครู่หนึ่ง เขาก็พูดต่อว่า “ผมจะจัดการเรื่องเงินให้ และคุณควรจะกินข้าวให้ครบสามมื้อนะ”
เจียงหว่านพูดไม่ออก
เธอหันมองกล่องอาหารกลางวัน และเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจเขา
เจียงหว่านหยิบกล่องไข่ออกมาแล้วใช้ไฟฉายส่อง ดูเหมือนว่าไข่กำลังโตขึ้นเรื่อย ๆ นั่นทำให้ความคาดหวังในใจเธอเพิ่มมากขึ้น
ด้านเฉียวเหลียนเฉิง หลังฉาบผนังเสร็จแล้ว เขาก็หันกลับมามองเจียงหว่าน และเห็นเธอกำลังถือไข่อยู่พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“คุณกำลังฟักไข่อยู่เหรอ?”
เจียงหว่านฮึมฮัมเพลงออกมาแผ่วเบา
คล้ายไม่ต้องการพูดคุยกับเขา
แต่เฉียวเหลียนเฉิงยังคงถามต่อ “ทำไมผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณอยากฟักไข่? แล้วทำไมไม่หาลูกไก่มาเลี้ยงซะเลยล่ะ?”
เจียงหว่านเหลือบมองเขาด้วยความหงุดหงิด “ฉันจะฟักพวกมันเอง จะได้คืนให้พี่สะใภ้เฉินกับเหอหยวนหยวน เพราะฉันเอาแม่ไก่ของพวกเธอไปสองตัว ฉันก็ต้องคืนพวกเขาไหม?”
“อีกอย่างลูกเจี๊ยบก็หาซื้อได้ยากด้วย ถ้านายหาได้ก็ไปหาซื้อมาให้ฉันสิ”
เฉียวเหลียนเฉิงเงียบไป ใช่แล้ว การหาซื้อลูกเจี๊ยบในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะปกติแล้วไก่จะฟักออกมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
“ไข่กำลังจะฟัก อย่าหยิบมันออกมาดูบ่อย ๆ อย่าไปขยับเขยื้อนมันมากด้วย แค่พลิกมันบ่อย ๆ ก็พอ”
เจียงหว่านที่ได้ยินคำเตือนถึงกับประหลาดใจ “นายรู้วิธีฟักไข่ด้วยเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบกลับ “ตอนเด็ก ๆ ผมเห็นคุณยายฟักไข่บ่อย ๆ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหว่านได้ยินเฉียวเหลียนเฉิงกล่าวถึงครอบครัวของเขา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว พวกเขาแทบไม่ได้คุยกันดี ๆ เลย แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องในอดีต
แต่เมื่อเห็นว่าเฉียวเหลียนเฉิงไม่อยากพูดถึงมัน เจียงหว่านจึงไม่คิดจะถามต่อ
“ก็ได้ ฉันจะเชื่อนาย ฉันจะไม่แตะต้องพวกมัน และคอยคาดหวังว่าไข่พวกนี้จะฟักในเร็ววันก็แล้วกัน”
“แบบนี้ ฉันจะได้ใช้หนี้ของฉันซะที”
พอได้ยินเจียงหว่านพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ราวกับว่าเธอได้ปล่อยวางบางสิ่งบางอย่าง และไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องใดอีก
ทำให้เฉียวเหลียนเฉิงรู้สึกเหมือนว่าคนตรงหน้ากำลังจะหายไปอีกครั้ง
เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที!
เขาหันมองลานเล็ก ๆ ก่อนจะพูดว่า “ถึงลานนี้จะไม่ใหญ่มาก แต่ก็เลี้ยงไก่ได้ ถึงรั้วจะยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ แต่ไว้ผมจะซ่อมให้นะ”
เจียงหว่านไม่สนใจ “ไม่ ฉันไม่ได้อยากเลี้ยงไก่ ไก่พวกนี้เป็นของสะใภ้เฉินกับเหอหยวนหยวน ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่ฟักมันหรอก”
ตอนนี้เธอมีอาหารเพียงพอสำหรับตัวเอง และไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องจะหิวอีกต่อไปแล้ว!
ทว่าเฉียวเหลียนเฉิงไม่เข้าใจ “ทำไมถึงไม่เก็บมันไว้เองบ้างล่ะ? ไข่นี่มันเยอะมากเลยนะ ถ้าคุณเก็บไว้สักหน่อย ต่อไปผมก็สามารถหาไข่มาเพิ่มให้อีกได้”
ขณะที่พูด สายตาของเขาจับจ้องเจียงหว่านละ
แม้เธอจะดูดีหลังจากน้ำหนักลดลงไปมาก แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ยิ่งเห็นว่าเธอผอมมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งคิดว่าตัวเองทำผิดต่อเธอไปมาก จึงลอบคิดอยู่ในใจว่า ‘ผู้หญิงคนนี้บอกว่าไม่สนใจเรา แต่จริง ๆ แล้วก็คงรู้สึกอึดอัดอยู่ข้างใน เธอแกล้งทำเป็นไม่สน แต่เธอก็คงเสียใจมาก เป็นเพราะเรามันแย่และทำตัวไม่ดี เป็นความผิดของเราคนเดียว!’
เมื่อนึกได้อย่างนั้น ความเสียใจยิ่งพลุ่งพล่านเต็มอก ราวกับกำลังจะระเบิดออกมา
มันกระตุ้นทำให้เขาอยากจะชดเชยให้เธอมากกว่านี้!