เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 76 เฉียวเหลียนเฉิงขอร้อง ได้โปรดอย่าไป!
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 76 เฉียวเหลียนเฉิงขอร้อง ได้โปรดอย่าไป!
บทที่ 76 เฉียวเหลียนเฉิงขอร้อง ได้โปรดอย่าไป!
น้ำหนักของเจียงหว่านเคยมากถึง 150 กิโลกรัม แม้ช่วงหลังมานี้เธอจะลดน้ำหนักลงได้ แต่มันก็ยังไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัมอยู่ดี แต่แขนของเฉียวเหลียนเฉียงกลับโอบรอบร่างของเธอได้
เขากอดรัดเธอไว้แน่น และไม่ยอมปล่อยมือ
เจียงหว่านเห็นแบบนี้ก็โกรธจัด “เฉียวเหลียนเฉิง! เราหย่ากันแล้ว ทำไมยังมากอดฉันแบบนี้ฮะ?”
“ความเย็นชา ความอวดดีของนายมันหายไปไหนหมด? นายเคยดูถูกและรังเกียจฉันไม่ใช่หรือไง!”
“ปล่อยฉัน หมาที่ดีไม่ขวางทางหรอกนะ[1]*!”
เธอตะโกนลั่นด้วยความโกรธก่อนจะผลักเขาออกสุดแรง
แต่ว่าเฉียวเหลียนเฉิงแข็งแรงมาก เขารัดร่างกายของเธอไว้แน่น ไม่ขยับเขยื้อนเลยแต่น้อย
ท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ถามด้วยความโกรธ “เราตกลงกันแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอว่าคนที่ไม่ยอมหย่าเป็นหมา!”
เฉียวเหลียนเฉิงหน้าแดงด้วยความประหม่า หลังจากนั้นเขาเปิดปากตะโกนออกมาทันที
“โฮ่ง! โฮ่ง!”
เจียงหว่านสะดุ้งตัวโยนก่อนจะหันมองเฉียวเหลียนเฉิงอย่างสับสน และยกมือขึ้นแตะหน้าผากของเขาอย่างช่วยไม่ได้
“นายโดนผีสิงหรือเปล่า?”
เฉียวเหลียงเฉิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ผมเป็นพวกวัตถุนิยม เชื่อมั่นในประชาชนและตัวเอง ไม่เชื่อเรื่องงมงายแบบนั้นหรอก”
เจียงหว่านถึงกับพูดไม่ออก
จากนั้นเฉียวเหลียนเฉิงลดเสียงลงต่ำ แล้วพูดต่อว่า “ผมขอโทษ ผมรู้ว่าผมทำผิด แต่เจียงหว่าน คุณอย่าไปเลยนะ อย่างน้อยก็ช่วยฟังผมสักหน่อยเถอะ”
เจียงหว่านสบฟันแน่น ก่อนจะกล่าวว่า “ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนาย เราหย่ากันแล้ว”
ทว่าเฉียวเหลียนเฉิงกอดเธอไว้แน่น “อย่าทิ้งผมไปเลยนะ ถ้าคุณไม่ยอมฟัง ผมจะไม่ปล่อยคุณจนกว่าผมจะตาย”
เจียงหว่านเริ่มหงุดหงิด “ก็ได้ ๆ ฉันจะฟัง ปล่อยฉันก่อน”
เฉียวเหลียนเฉิงไม่รู้เลยว่าที่อีกฝ่ายพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือหลอกเขากันแน่ เขาจึงลังเลว่าควรปล่อยหรือกอดต่อไปดี
เฉียวเหลียนเฉิงลังเลจนเจียงหว่านหงุดหงิดมาก “ถ้านายไม่ปล่อยฉัน ฉันยอมตายดีกว่าจะฟังที่นายพูด และฉันจะทำจริง ๆ!”
ได้ยินอย่างนั้นหน้าของเฉียวเหลียนเฉิงถึงกับเปลี่ยนสี รีบปล่อยมือก่อนจะถอยหลังไปพิงประตูเอาไว้
เขากลัวว่าถ้าหากทำผิดพลาดไปอีกครั้ง เจียงหว่านจะทิ้งเขาไปจริง ๆ
เจียงหว่านถอยหลังออกไปสองสามก้าวแล้วดึงเก้าอี้มานั่ง ส่วนมือยังคงกำถุงผ้าเอาไว้แน่น สายตาของเฉียวเหลียนเฉิงจดจ่ออยู่กับถุงผ้าใบนั้น พร้อมกับความหดหู่ที่ฉายชัดออกมา
“ผมไม่หย่า ผมรู้ว่าผมทำผิด ผมควรจะเชื่อใจคุณให้มากกว่านี้”
“แต่วันนั้นเยี่ยนจื่อมาหาผม บอกว่าคุณกับถันหลงสมรู้ร่วมคิดกัน แล้วคุณก็จะมาหลอกยืมเงิน”
“หลังเยี่ยนจื่อพูดอย่างนั้น แล้วคืนนั้นคุณก็ขอเงินผมจริง ๆ ผมก็เลย…”
เจียงหว่านแค่นหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “หึ แล้วมันจะเป็นความผิดของนายได้ยังไงล่ะ? ก็ในอดีตฉันทำตัวเลวร้ายไว้ตั้งมากมาย เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่นายจะไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด นายทำถูกแล้วละ”
เฉียวเหลียนเฉิงคิดอะไรบางอย่างออก เขาหยิบใบหย่าที่ประทับตราแล้วขึ้นโบกไปมาต่อหน้าเจียงหว่าน พลางพูดว่า
“นี่คือใบหย่า คุณดูนะ”
เจียงหว่านมองดู และเห็นตราประทับสีแดงเป็นเครื่องหมายว่าอนุมัติ
แต่หลังจากนั้น เฉียวเหลียนเฉิงก็ฉีกมันต่อหน้าเจียงหว่าน และฉีกมันออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยในพริบตา
เฉียวเหยียนเฉิงโยนเศษกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายไปทั่ว ทำเอาเจียงหว่านนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แล้วเธอก็คำรามอย่างเกรี้ยวกราดออกมาทันที
“เฉียวเหลียนเฉิง! นายเป็นบ้าไปแล้ว พวกเราพยายามกันมากเท่าไหร่กว่าจะได้รับอนุมัติให้หย่า? แล้วนี่นายฉีกมันทิ้งแบบนี้ เราจะยืนยันว่าหย่ากันแล้วได้ยังไง!”
เฉียวเหลียนเฉิงกล่าวพร้อมจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง “ผมไม่หย่า และจะไม่มีวันหย่าด้วย!”
เจียงหว่านได้ฟังอย่างนั้นก็ระเบิดความโกรธ
หลังจากผ่านปัญหามาตั้งมากมาย ในที่สุดเขาก็จะได้หย่าแล้วแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่คิดจะหย่าเนี่ยนะ!
ไม่มีวันหย่าอีก? มันไร้สาระมากไปแล้ว ละที่เธอพยายามมาตลอดล่ะ ไม่เท่ากับว่าสูญเปล่ารึไง?
เจียงหว่านก้าวไปคว้าคอเสื้อเฉียวเหลียนเฉิงลงมาถาม
“ไหนพูดอีกรอบซิ”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมไม่หย่า และจะไม่มีวันหย่าด้วย!”
เจียงหว่านโกรธจนแทบคลั่ง เธอใช้ถุงผ้าในมือทุบศีรษะ และร่างกายของเฉียวเหลียนเฉิงอย่างแรงหลายครั้ง
“ไอ้บ้าเอ๊ย พูดออกมาได้ยังไง!”
“ไม่หย่างั้นเหรอ? นายพูดว่าจะไม่มีการหย่าเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
“นายคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร!”
เธอฟาดถุงผ้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่ามันจะมีเพียงเสื้อผ้า แต่ฟาดแบบนี้ก็ยังทำให้รู้สึกเจ็บอยู่บ้าง
เฉียวเหลียนเฉิงยังคงทำหน้าเรียบเฉย ไม่หลบเลี่ยงใด ๆ และปล่อยให้เจียงหว่านทุบตีจนพอใจ
ดูเหมือนว่าการถูกทุบตีอย่างนี้จะทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นด้วย
เจียงหว่านรู้สึกเหนื่อยหลังจากทุบเขามาสักพัก เฉียวเหลียนเฉิงจึงเหยียดมือออกไปคว้าข้อมือเธอไว้ และดึงเธอเข้ามากอดอีกครั้ง
“หว่านหว่าน ผมผิดไปแล้ว ผมเข้าใจคุณผิดไป”
“จะตีผมยังไงก็ได้ ตีได้ตามต้องการเลย ยังไงพวกเราก็จดทะเบียนสมรสและเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฏหมาย เรามาเริ่มกันใหม่ ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ของเราต่อไปเถอะนะครับ”
“ผมขอโทษ ผมขอโทษนะ ได้โปรดยกโทษให้ผมเถอะ ให้โอกาสผมเถอะ…นะ ได้ไหม”
เมื่อได้คำฟังขอโทษซ้ำไปซ้ำมา เจียงหว่านยิ่งโกรธจัด
“นายบอกว่าเข้าใจผิด แต่ก็เขียนมันออกมาเองไม่ใช่เหรอ?”
“คิดว่าจะทำให้ฉันหายโกรธด้วยคำพูดเดียวงั้นเหรอ? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายศีรษะอย่างดื้อรั้น
เจียงหว่านยังคงถูกกอดรัดไว้แน่น และไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ตอนนี้หน้าเธอที่แนบชิดอยู่กับอกเขา บิดเบี้ยวไม่น่ามองด้วยความโกรธ
เธอที่ขยับไม่ได้ จึงเขย่งเท้าไปกัดคางของเฉียวเหลียนเฉิงอย่างแรง
แต่ดูเหมือนวิธีของเจียงหว่านจะรุนแรงไปสักหน่อย
เฉียวเหลียนเฉิงขมวดคิ้วมุ่น เพราะความเจ็บ เขาจึงเผลอผ่อนแรงที่อ้อมแขนลง
แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามเธอกัด และจงใจผ่อนคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้ายอมให้เธอกัดง่าย ๆ เพราะกลัวว่าเดี๋ยวเนื้อทั้งก้อนของเขาจะหลุดติดไปกับฟันของเธอ
เจียงหว่านเกลียดผู้ชายคนนี้มาก เธอจึงออกแรงสุดชีวิต
แต่เมื่อได้รสชาติของเลือด เธอก็ปล่อยปากออกโดยไม่รู้ตัว
ถึงอย่างนั้นเจียงหว่านก็ยังไม่สามารถผลักผู้ชายคนนี้ออกไปได้ ทำได้เพียงกลอกตาไปมาแล้วบ่นพึมพำเท่านั้น
“ฉันเจ็บ… จะรัดให้ตายเลยหรือไง?”
เฉียวเหลียนเฉิงที่ได้ยินก็ลนลานขึ้นมา ผ่อนคลายอ้อมแขนออกเล็กน้อย และเจียงหว่านใช้โอกาสนี้ผลักเขาออกไปทันที
เธอถอยหลังออกไปสามก้าว “เฉียวเหลียนเฉิง สามีภรรยาจะต้องมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างกัน แต่เราไม่มีอะไรพวกนั้นเลย”
เฉียวเหลียนเฉิงไม่สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้าสักนิด และถามออกไปว่า “ถึงคุณจะบอกว่ารักอิสระ แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถอยู่คนเดียวตลอดไปได้?”
“คนในกองทัพส่วนมากก็ล้วนแต่อยากมีครอบครัวกันทั้งนั้น”
“พวกเขาลางานเพื่อไปนัดดูตัว ชอบพอกัน หมั้นกัน ไปจดทะเบียนสมรสในช่วงวันหยุดกัน และแต่งงานกัน”
“อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เห็นหน้ากัน ได้เรียนรู้กัน แล้วเราล่ะ”
“นายกล้าพูดเหรอว่าเราเคยเรียนรู้กันมาก่อน?”
เฉียวเหลียนเฉิงแย้งทันที “คุณเป็นคนบังคับให้ผมแต่งงาน คุณนอนกับผม และผมก็ตอบตกลงแต่งงานกับคุณเพื่อรับผิดชอบ”
เจียงหว่านพยักหน้ารับ “ใช่ เห็นไหมว่าพวกเราไม่มีความรักต่อกัน แล้วเราก็ไม่มีวันเรียนรู้กันได้ด้วย”
เฉียวเหลียนเฉิงยิ่งฟังยิ่งหดหู่ “ต่อให้คุณไม่ได้ชอบการแต่งงานของเรา ต่อให้คุณจะไม่ได้รู้สึกรักในคราวแรก…”
“แต่ผมเป็นผู้ชาย ผมต้องรับผิดชอบ”
“ทันทีที่ผมตัดสินใจแต่งงานกับคุณ ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับคุณไปตลอด”
เจียงหว่านหัวเราะ “ใช่ชีวิตร่วมกัน? นายกลับไปคิดเอาเถอะว่าเรายังมีชีวิตที่ดีร่วมกันได้อีกเหรอ? ความเชื่อใจระหว่างเรามันไม่มีอีกแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันจะเป็นหนามแทงใจของเราไปตลอด!”
เฉียวเหลียนเฉิงไม่คิดยอมแพ้
เจียงหว่านเหนื่อยมาก เธอจึงถามอย่างเด็ดขาด
“เฉียวเหลียนเฉิง นายชอบฉันเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงถึงกับตกตะลึง เพราะเขากำลังสับสนว่า ‘ชอบ’ คำนี้หมายถึงอะไร?
เขาไม่เคยมองหรือสนใจใครมาก่อน ก่อนแต่งงานในสายตาเขามีเพียงงาน และศัตรูเท่านั้น
แต่ผู้หญิงคนนี้กลับโผล่มาจากไหนไม่รู้ ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ แล้วยังหลับนอนกับเขาอีก
จริงอยู่เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นถือว่าเป็นสิ่งน่าละอายสำหรับเขา
แต่มันก็คือความรับผิดชอบด้วย
ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่า… ชอบคืออะไร!
พอเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป เจียงหว่านก็ถอนหายใจ “เห็นไหมว่านายไม่ได้ชอบฉัน”
เฉียวเหลียนเฉิงรีบส่ายหัว “ไม่ ๆ ไม่ใช่”
หลังจากเงียบไปสักครู่ เขาพูดขึ้นช้า ๆ ว่า “แต่ผมไม่รู้…คำว่าชอบคืออะไร”
เขายังกล่าวต่ออีกว่า “คราวแรกผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ แต่ผมรู้ว่าทั้งหมดนี้คือความรับผิดชอบของผม”
“การแต่งงานไม่ใช่แค่การมีชีวิตที่ดีร่วมกัน! แต่ผมอยากจะมีชีวิตที่ดีกับคุณ คุณไม่จำเป็นต้องทำดีกับผมก็ได้ ตราบใดที่คุณดีกับผิงอันก็พอ”
“ผมอยากหย่าเพราะคุณจะเอาผิงอันไปขาย ซึ่งเรื่องนั้นผมรับไม่ได้”
“แต่หลังจากที่ศีรษะของคุณหายดี คุณก็เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นในทุกวัน”
“ตราบใดที่คุณไม่ขายผิงอันและเลิกเล่นการพนัน เราสองคนสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ และผมจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ”
เฉียวเหลียนเฉิงกล่าวออกมาด้วยความเคอะเขิน และท่าทางของเขาแข็งทื่อจากความเคอะเขิน ทำให้รู้สึกว่าอารมณ์เขาแข็งทื่อตามไปด้วย แต่ความหมายของทุกถ้อยคำนั้นเขาจริงใจมาก
[1] หมาที่ดีไม่ขวางทาง หมายถึง คนมีสติไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น