เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 68 เจียงหว่านโมโหเฉียวเหลียนเฉิงเป็นครั้งแรก
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 68 เจียงหว่านโมโหเฉียวเหลียนเฉิงเป็นครั้งแรก
บทที่ 68 เจียงหว่านโมโหเฉียวเหลียนเฉิงเป็นครั้งแรก
กล่องรองเท้าสมัยนี้มีราคาแพง
ไม่ต้องพูดถึงวัตถุดิบและการผลิต ต้นทุนการติดกระดาษแข็งนั้นมีค่าใช้จ่ายประมาณสองเหมา
ส่วนกล่องทั้งหมดก็มีราคาอย่างน้อยกว่าสิบเหมา
ดังนั้นพี่สะใภ้จึงค่อนข้างลังเลที่จะให้มัน
ส่วนเจียงหว่านคิดได้ว่าเธอกลับบ้านไปก็ไม่มีที่วางไข่อยู่ดี ด้วยบ้านของเฉียวเหลียนเฉิงนั้นเรียบง่ายมาก อาจต้องวางไข่ไว้กับพื้น
แต่พื้นบ้านก็เป็นปูนซีเมนต์ แถมห้องหันหน้าไปทางทิศเหนืออุณหภูมิในห้องจึงค่อนข้างต่ำ หากวางไข่บนพื้นซีเมนต์แข็ง ๆ เย็น ๆ มันก็คงอยู่รอดได้ไม่เกินสองสามวัน
ในท้ายที่สุด เจียงหว่านจึงต้องซื้อกล่องกระดาษใส่รองเท้ามาสองกล่อง ในราคากล่องละสามสิบเหมาเพื่อใส่ไข่
ทำไมถึงซื้อสองกล่องน่ะเหรอ? ก็เพราะกล่องเดียวใส่ไม่พอน่ะสิ อีกทั้งถ้าลูกเจี๊ยบฟักออกมาก็ไม่สามารถอัดกันอยู่ในกล่องเดียวได้ ไม่อย่างนั้นมันคงจะเบียดกันจนขาดอากาศหายใจตาย
หลังจากจ่ายเงินแล้ว เจียงหว่านก็อุ้มกล่องที่เอาไข่ใส่ไว้ทั้งสองกล่องกลับออกไปอย่างมีความสุข หัวของเธอจินตนาการไปถึงภาพไก่ทั้งสิบสองตัวส่งเสียงร้องอยู่รอบ ๆ บ้านแล้ว
ก่อนออกเดินทาง เธอยังถามถึงข้อควรระวังในการฟักไข่ และเลี้ยงไก่ไว้ด้วย
ถึงกับยืมกระดาษกับปากกาจากพี่สะใภ้มาจดบันทึกไว้ เพราะเธอกลัวว่าจะลืม
คนขายเนื้อที่อยู่ด้านข้างมองท่าทางจริงจังและความละเอียดลออของเจียงหว่านด้วยความชื่นชม
“น้องสาว เธอดูเหมือนคนหยาบคาบ จนฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นคนรอบคอบขนาดนี้”
“แล้วเธอยังมีความสามารถอีก สามีของเธอนี่ช่างโชคดีมากจริง ๆ ที่ได้พบเธอนะเนี่ย”
เจียงหว่านยิ้มอย่างมีความสุข “ไอหยา ฉันรู้นะว่าพี่ชายกำลังชมฉัน แต่จะว่าไปแล้วฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ฮ่า ๆ”
คนขายเนื้อรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนยกย่องตัวเองแบบไม่กระดากอาย ผู้หญิงคนนี้พิเศษจริง ๆ!
เจียงหว่านกลับมาที่สถานีตำรวจโดยถือกล่องสองกล่องมาด้วย
ตอนนี้เกือบจะมืดแล้ว
เจียงหว่านไม่มีที่วางกล่อง ดังนั้นเธอจึงต้องวางมันไว้ข้างรถเข็นไม้ เธอวางกล่องไว้ชิดด้านใน เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเผลอเตะ
หลังจากขายเนื้อในตอนเย็นเสร็จ เจียงหว่านก็ถือกล่องขึ้นมาด้วยความทะนุถนอม แล้ววางกล่องทั้งสองไว้ในกะละมังบนกระดานไม้ของรถเข็น
พอจัดแจงทุกอย่างเสร็จก็ลากรถเข็นเตรียมกลับบ้าน แต่…พอเดินไปได้ไม่เท่าไหร่เธอก็หยุดลง
จากนั้นเจียงหว่านหันกลับมามองดูกล่องทั้งสองด้วยท่าทางเศร้าโศก
กล่องถูกวางไว้ในกะละมังบนรถเข็นไม้ และปัญหาคือถนน ถนนมันเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่เรียบเสมอกัน มันขรุขระเกินไป ถ้ายังปล่อยกล่องไข่ไว้บนรถเข็นไม้แล้วลากมันต่อแบบนี้ มันต้องกระดอนขึ้นลงจนเละแน่ พอกลับไปถึงพวกไข่คงผสมรวมกลายเป็นเมือกสีเหลืองกันหมด
นี่คือลูกเจี๊ยบสิบสองตัวเชียวนะ!
แต่ถ้าจะวางมันไว้ในบ้านที่เพิ่งเช่า เจียงหว่านก็เป็นกังวลอีกว่าจะมีคนเข้าไปขโมยตอนกลางดึก
หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ เจียงหว่านก็ตัดสินใจเอารถเข็นไม้ไปทิ้งไว้ลานบ้านที่เพิ่งเช่า ก่อนจะอุ้มกล่องทั้งสองกล่องกลับไปด้วยตัวของเธอเอง
เมื่อเธอกลับมาถึง เฉียวเหลียนเฉิงก็กลับมาถึงก่อนแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าวันที่เฉียวเหลียนเฉิงเห็นเจียงหว่าน
เมื่อเจียงหว่านเปิดประตูเข้ามา ทางเฉียวเหลียนเฉิงก็มองไปที่เธอโดยไม่รู้ตัว
เขารู้สึกประหลาดใจที่รู้ว่าตนไม่ได้เจอเธอเพียงห้าวัน
เพราะดูเหมือนว่าน้ำหนักเจียงหว่านจะลดลงไปมากทีเดียว ดวงตาของเธอกลมโตขึ้น ใบหน้าที่เดิมทีเหมือนกับลูกซาลาเปา ตอนนี้กลับเห็นสันกราม และโครงของใบหน้าได้ชัดขึ้น
เพียงห้าวันทำไมเธอถึงผอมได้ขนาดนี้?
เฉียวเหลียนเฉิงขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะสายตาจะมองไปเห็นกล่องในมือของหญิงสาว
เขาไม่พูดอะไร และผละสายตาออกอย่างเงียบ ๆ
เจียงหว่านวางกล่องไว้บนเตียง ครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน แล้วหันไปพูดกับผิงอัน
“อย่าแตะต้องไข่ในกล่องนี้นะ มันมีไว้สำหรับฟักเป็นลูกเจี๊ยบ”
ผิงอันมุ่ยหน้า “ฟักลูกเจี๊ยบอะไร แล้วนี่จะใช้พุงเธอฟักรึไง”
เจียงหว่านเมินเขา เพราะจริง ๆ แล้วที่พูดกับผิงอัน เธออยากจะพูดคำเหล่านี้กับเฉียวเหลียนเฉิงมากกว่า
เจียงหว่านหยิบกะละมังและผ้าเช็ดตัวออกไป ราวกับว่าเธอมองไม่เห็นเฉียวเหลียนเฉิงเลย
พอเจียงหว่านออกไป ผิงอันก็ไปที่เตียงของเธอเพื่อดูไข่
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาก็แสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมา
เขาหันไปหาเฉียวเหลียนเฉิงแล้วถามว่า “พ่อครับ มันจะฟักเป็นลูกเจี๊ยบได้จริงเหรอ?”
“เราไม่ได้ต้องการแม่ไก่หรอกเหรอ?”
……
เฉียวเหลียนเฉิงส่งเสียงรับอย่างเหม่อลอย ก่อนจะถามผิงอันว่า “ลูกเห็นกระดาษที่มีรอยมือสีแดงประทับอยู่บ้างไหม?”
ผิงอันถามอย่างสงสัย “พ่อเอามันไว้ที่ไหนเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบว่า “วางไว้บนเก้าอี้น่ะ วันนั้นพ่อวางกางเกงที่เปลี่ยนไว้บนเก้าอี้ตรงนั้น ส่วนกระดาษก็อยู่ในกระเป๋ากางเกงของพ่อ”
ผิงอันส่ายหัว “ผมไม่เห็น และก็ไม่ได้แตะมันด้วย”
เฉียวเหลียนเฉิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ผิงอันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แต่ดูเหมือนน้าอ้วนจะหยิบกางเกงตัวนั้นขึ้นมานะ ผมเห็นเธอหยิบมันขึ้น แล้ววางลงไปใหม่”
เฉียวเหลียนเฉิงขมวดคิ้ว “เธอแค่หยิบกางเกงขึ้นมาเหรอ? เธอได้ทำอะไรอีกรึเปล่า?”
ผิงอันส่ายหัว แล้วบอกว่าเขาไม่รู้
เฉียวเหลียนเฉิงยังคงเงียบ แต่อดที่จะสงสัยไม่ได้
ตอนนี้ดึกแล้ว ผิงอันจึงไปนอน ส่วนเจียงหว่านกลับมาพร้อมกะละมังกับผ้าเช็ดตัว เธอเปิดม่านออกไปเพื่อซักผ้า
เมื่อเธอกลับเข้ามา เฉียวเหลียนเฉิงก็ถามเธอว่า “คุณได้ยุ่งกับกางเกงของผมหรือเปล่า?”
เจียงหว่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเมื่อวานซืนกางเกงที่เฉียวเหลียนเฉิงเปลี่ยนจะวางอยู่บนเก้าอี้
วันนั้นเจียงหว่านวางเชือกป่านไว้บนเก้าอี้เหมือนกัน เพราะเชือกรถเข็นใกล้จะขาด เธอจึงขอให้คนขายเนื้อช่วยหาเชือกป่านที่หนาขึ้นมาให้
เฉียวเหลียนเฉิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกไป แต่เพราะยังมืดอยู่ เขาเลยมองเห็นไม่ชัดเจน และคงไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บนเก้าอี้หรือเปล่า จึงวางกางเกงที่กะจะเอาไว้ซักตอนกลับไว้บนเก้าอี้ ซึ่งวางทับเชือกของเจียงหว่าน
ส่วนเจียงหว่านพอลุกขึ้น จะออกไปขายของก็มองหาเชือก พอเห็นเชือกอยู่ใต้กางเกงของเขา เธอจึงยกกางเกงขึ้น แล้วหยิบเชือกออกมา
ก่อนจะวางกางเกงกลับลงไปเหมือนเดิม
ตอนนี้พอเฉียวเหลียนเฉิงถาม เจียงหว่านก็จำได้ทันที และบอกความจริงกับเขา
เฉียวเหลียนเฉิงขมวดคิ้วมุ่น ถามขึ้นราวกับไม่เชื่อเจียงหว่าน “คุณแค่หยิบมันขึ้นมาแล้ววางกลับไป …โดยไม่ได้เอาอะไรไปเลยงั้นเหรอ?”
เจียงหว่านได้ยินดังนั้นจึงถามกลับว่า “ทำไม นายทำเงินหายเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายหัว “เปล่า ในนั้นไม่มีเงินอยู่”
เจียงหว่านแค่นหัวเราะเยาะ “ในเมื่อไม่ใช่เงิน ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะหยิบอย่างอื่นมา ฉันไม่ได้แตะต้องอะไรเลย และฉันก็ไม่เห็นอะไรในนั้นเลยด้วย”
แววตาของเฉียวเหลียนเฉิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนเขามองเธออย่างรังเกียจ และพูดว่า
“มันไม่ใช่เงิน แต่เป็นใบหย่าที่ผมเพิ่งเขียน”
เจียงหว่านนิ่งไป เธอไม่แปลกใจเลยที่เขาเขียนใบหย่าอีกครั้ง
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันไม่เห็น และไม่ได้เอามันไปด้วย”
เฉียวเหลียนเฉิงรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีที่เธอยืนกรานปฏิเสธไม่ยอมรับ
“เจียงหว่าน คุณพูดความจริงสักครั้งไม่ได้เหรอ?”
เจียงหว่านหน้าเครียด “นายหมายความว่ายังไงที่ว่าฉันไม่ได้พูดความจริง!”
เฉียวเหลียนเฉิงโกรธมาก แต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมความโกรธในอกของเขาจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้ จนทำให้ความเยือกเย็นและความอดกลั้นตามปกติของเขาหายไป
เขาพยายามข่มเสียงสะกดอารมณ์ และพูดอย่างเย็นชา “คุณกล้าพูดว่าคุณไม่ได้เอาใบหย่าไปงั้นเหรอ?”
“ผมรู้ว่าคุณไม่ต้องการหย่า แต่ทำไมคุณถึงใช้ชีวิตแบบคนอื่น ๆ ไม่ได้ล่ะ? ผมให้โอกาสคุณแล้ว”
ในขณะนี้เขารู้สึกเศร้าจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้
ความเจ็บปวดร้าวรานไปทั่วทั้งหัวใจ
ใช่ จริงอยู่ที่เขาไม่ได้มีความรู้สึกใดต่อเจียงหว่าน แต่เมื่อเขาตัดสินใจแต่งงานกับเธอแล้ว เขาก็อยากอยู่กับเธอจริง ๆ
และหวังว่าเธอจะสามารถเป็นบ้านให้กับเขาได้
แต่เรื่องราวที่ผ่านมากลับทำให้เขาผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า มาตอนนี้ความผิดหวังได้พัฒนาอย่างช้า ๆ จนกลายเป็นความสิ้นหวังไปแล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ เขาเลยรู้สึกไม่สบายใจ!
วันนี้เจียงหว่านเหนื่อยมาก และยิ่งรู้สึกเหนื่อยเข้าไปอีก เมื่อได้ยินเรื่องใบหย่า
เธอคิดกับตัวเองว่า ‘วิธีนี้ก็ดีเหมือน เรื่องจะได้จบเร็วขึ้น จะได้เป็นอิสระต่อกันเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วย’
เธอโพล่งพูดออกมาอย่างไม่อดกลั้น “นายบอกว่าฉันเอาใบหย่าของนายไป ฉันจะเอาของพรรค์นั้นไปเพื่ออะไร? เอาไปกินงั้นเหรอ?”
“มันมีเนื้ออร่อย ๆ อยู่ในนั้นรึยังไง?”