เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 66 ใบหย่าของเฉียวเหลียนเฉิงหายไป ทรัพย์สินชิ้นแรกของเจียงหว่านP
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 66 ใบหย่าของเฉียวเหลียนเฉิงหายไป ทรัพย์สินชิ้นแรกของเจียงหว่านP
บทที่ 66 ใบหย่าของเฉียวเหลียนเฉิงหายไป / ทรัพย์สินชิ้นแรกของเจียงหว่าน
“แต่ถ้าฉันพูดผิด ก็แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นมีอำนาจมาก งั้นนายก็จะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม”
ถันหลงอึ้งไปเล็กน้อย “แกหมายความว่ายังไง? ถ้าเธอมีอำนาจมาก ทำไมฉันถึงต้องตายเร็วขึ้น!”
เจียงหว่านหัวเราะพลางพูดว่า “นายไม่เคยได้ยินเรื่องฆ่าปิดปากเหรอ?”
“ฉันถามหน่อยว่าผู้มีอำนาจคนไหนจะยอมให้คนอื่นรู้จุดอ่อนของตัวเอง?”
“นายมาจากโรงพนัน เปิดโรงพนัน ถ้าเธอไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย เธอก็จะต้องแปดเปื้อนไปชั่วชีวิต!”
“ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะฆ่านายก่อน!”
ถันหลงผงะไป ก่อนจะตื่นตระหนก!
ส่วนเจียงหว่านยืนขึ้นด้วยท่าทางไม่แยแส ขณะพูดอย่างดูแคลน
“เอาล่ะ ฉันแค่มาดูว่านายน่าสังเวชแค่ไหน น่าเสียดายที่คนฉลาดสามารถโง่ลงได้ขนาดนี้ นายจะโง่ต่อไปก็ได้ ยังไงซะ นายคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่วันอยู่แล้ว”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็หันหลังเดินจากไปอย่างมีความสุข
พอเธอออกมาแล้ว สหายที่รับผิดชอบการสอบปากคำจากสถานีตำรวจกับอู่หยางก็ติดตามออกมาด้วย
อู่หยางกล่าวว่า “พี่สาวอ้วน แค่ไม่กี่คำก็จบแล้วเนี่ยนะ? แบบนี้เขาจะพูดเหรอ?”
สหายที่อยู่ด้านข้างเองก็ขมวดคิ้ว แล้วถามว่า
“เกิดอะไรขึ้นกับคนจากค่ายทหารที่คุณพูดถึง? เป็นคนร่วมเปิดโรงพนันกับเขารึเปล่า?”
เจียงหว่านส่ายหัว “ไม่ใช่ร่วมกันเปิดโรงพนัน เจียงเสวี่ยไม่ได้มีอำนาจจะทำแบบนั้นหรอก อย่างดีที่สุด เธอก็แค่ติดสินบนเขาให้มาหลอกฉัน”
“ตอนนี้ฉันพูดหลอกล่อเขาเสร็จแล้ว พวกคุณอย่าไปสนใจเขาล่ะ แค่ส่งเขากลับไป จากนั้นก็พูดแบบนี้…”
เจียงหว่านกระซิบแนะนำเล็กน้อย
สหายตำรวจเขียนมันลงไปทีละอย่าง แล้วหันกลับไปเตรียมการ
ส่วนอู่หยางยกนิ้วโป้งขึ้นแล้วพูดว่า “พี่สาวอ้วนสุดยอดมาก อย่างนี้ต้องสำเร็จแน่”
เจียงหว่านก็ไม่ถ่อมตัวเช่นกัน เธอยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ถูกต้อง พี่สาวอ้วนของคุณเคยเป็นคนที่ทรงอิทธิพลอย่างมากเชียวนะ”
“คนอย่างถันหลงก็แค่คนโง่ หากนายเอาความหวังในใจของเขาออกไป เขาจะตื่นตระหนก จากนั้นไม่ว่าอะไรขาก็จะพูดทั้งนั้น”
อู่หยางหัวเราะ “พี่สาวอ้วน คุณน่าสนใจจัง”
ทั้งสองยืนหัวเราะอยู่นอกเรือนจำ และเสียงหัวเราะของพวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย
สาเหตุหลักมาจากเจียงหว่านอ้วน แต่อู่หยางสูงหล่อ
พอทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างแปลกประหลาด จึงดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
และก็บังเอิญมีคนบนรถจี๊ปที่อยู่ไม่ไกลเห็นฉากนี้เช่นกัน
“ผู้บัญชาการทำไมผู้หญิงอ้วนคนนั้นถึงดูคุ้นจัง? เธอเป็นคนในค่ายทหารของเราใช่หรือเปล่าครับ?” คนตั้งคำถามนี้คือเสี่ยวเลี่ยว เจ้าหน้าที่สารบรรณที่อยู่ถัดจากผู้บัญชาการ
ผู้บัญชาการหรี่ตาลง พลางจ้องมอง “เป็นเธอนั่นเอง!”
ทั้งอ้วนทั้งดำขนาดนั้น แม้แต่ในเขตทหารก็ยังไม่ค่อยมีคนแบบนี้ นับประสาอะไรกับหมู่บ้านหรือเมืองรอบ ๆ
เสี่ยวเลี่ยวตกใจ “ทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้ครับ? คนข้าง ๆ เธอเป็นสหายตำรวจหรือเปล่า แล้วพวกเขามาทำอะไรที่เรือนจำกัน!”
ผู้บัญชาการเงียบไปครู่หนึ่ง “อย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นเลย ไม่ต้องถามมากด้วย ไปกันเถอะ”
เสี่ยวเลี่ยวรับคำ ก่อนขอให้คนขับ ขับรถออกไป
ฝั่งค่ายทหาร
วันนี้เจียงเฉิงค่อนข้างยุ่ง เพราะช่วงนี้กองทัพมีงานเยอะ ทำให้ต้องเตรียมเอกสารมากมาย และเขายังต้องไปประชุมด้วย ชายหนุ่มจึงหัวหมุนอย่างกับลูกข่าง
เมื่อใกล้จะกินข้าวเที่ยง
เจียงเฉิงรีบยัดเอกสารลงในกระเป๋าเป้สีเขียวของเขาแล้วสะพายไว้บนหลัง ก่อนจะไปที่โรงอาหาร
ตอนนี้ เจียงเสวี่ยไม่สามารถออกไปไหนได้ แต่ละวันเจียงเฉิงจึงต้องเอาอาหารไปส่งให้เธอทั้งสามมื้อ
ส่วนพี่เลี้ยงของเธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในโรงอาหารของทหาร
เจียงเฉิงกลับมาพร้อมกับกล่องอาหาร และพบกับเฉียวเหลียนเฉิงที่ดูกระวนกระวาย
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า เหล่าเฉียว?”
ใบหน้าของเฉียวเหลียนเฉิงซีดเผือด เขาพูดว่า “ฉันทำของหายน่ะ”
เจียงเฉิงรีบถาม “นายอยากให้ช่วยหรือเปล่า?”
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายหัวแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไร”
เจียงเฉิงจึงทำได้เพียงขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับกล่องอาหารกลางวัน
……
เจียงเสวี่ยยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นพี่ชายกลับมา “พี่คะ วันนี้อาหารกลางวันเป็นอะไรเหรอคะ?”
เจียงเฉิงตอบน้องสาวว่า “มีรากบัวทอด แต่เธอไม่ค่อยชอบกินของพวกนี้เท่าไหร่นี่”
เจียงเสวี่ยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ระหว่างมื้ออาหาร เจียงเฉิงก็กินไปพลางอ่านเอกสารไปพลาง
“พี่คะ งานด่วนมากเหรอ? กินข้าวก่อนสิ”
เจียงเฉิงพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “ฉันต้องส่งมันตอนบ่ายวันนี้ แต่ฉันยังอ่านไม่จบเลย อ่านเสร็จต้องเซ็นแล้วส่งไปที่กองบัญชาการกรมทหารอีก”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของเจียงเสวี่ยพลันสว่างวาบขึ้น เธอกังวลอยู่ว่าจะไม่มีโอกาส แต่ไม่ได้คิดเลยว่าสวรรค์จะช่วยชี้ทาง
เธอหันไปมองซิ่วเฟิน “ซิ่วเฟิน ฉันอยากดื่มน้ำ ไปเทน้ำให้ฉันหน่อยสิ”
ซิ่วเฟินขมวดคิ้ว “แต่ฉันเพิ่งรินน้ำให้คุณเองนะ”
เจียงเสวี่ยกำลังจะดุ แต่เธอก็ชะงักไป เพราะเจียงเฉิงยังอยู่ เธอจึงหันกลับมาหยิบแก้วน้ำข้าง ๆ ขึ้นดื่มจนหมดในหนึ่งลมหายใจแทน
”ตอนนี้มันหมดแล้ว”
ซิ่วเฟินมองดูเธออย่างสับสน แต่ก็ยอมเดินไปรับแก้วขึ้นมาในที่สุด และทำท่าจะเทน้ำจากกาน้ำให้
แต่ก่อนที่น้ำในกาจะถูกเทลงไป เจียงเสวี่ยก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ฉันอยากได้แบบร้อน ๆ น้ำนี่มีกลิ่นแปลก ๆ”
ซิ่วเฟินเงียบ เธอหยิบกาต้มน้ำ แล้วลงไปที่ชั้นล่างอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเห็นแบบนี้ เจียงเสวี่ยก็เม้มริมฝีปากแปลก ๆ
จากนั้นเธอก็พูดกับเจียงเฉิง
“พี่คะ ช่วยไปหยิบผ้าเช็ดตัวตรงนั้นให้หน่อยได้ไหมคะ?”
“ฉันเหงื่อออก รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่น่ะ”
เจียงเฉิงเหลือบมองอย่างสงสัย แต่ก็ยังยืนขึ้น และลุกเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้
ขณะที่เขากำลังเดินไปทางนั้น เจียงเสวี่ยก็รีบหยิบใบหย่าของเฉียวเหลียนเฉิงออกมา แล้วซุกไว้ในกองเอกสารของเจียงเฉิงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเจียงเฉิงเอาผ้าเช็ดตัวกลับมา เจียงเสวี่ยเก็บไม้เก็บมือของเธอราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และมองดูเขาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
แม้ภายนอกจะดูสงบเสงี่ยม แต่จริง ๆ แล้วหัวใจของเธอกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ
ปฏิบัติการเมื่อครู่นี้ค่อนข้างหวาดเสียวและน่าตื่นเต้น
เจียงเฉิงอ่านเอกสารที่อ่านค้างไว้อย่างรวดเร็ว อ่านเสร็จแล้วเก็บมันให้เรียบร้อย แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเตรียมออกไป
“ฉันไปก่อนนะ”
เจียงเสวี่ยส่งเสียงรับคำ ทางฝ่ายเจียงเฉิงก็เดินจากไปทันที
เมื่อเจียงเฉิงออกมา เฉียวเหลียนเฉิงยังคงมองหาของที่ทำหาย จนแทบจะพลิกต้นหญ้าดูอยู่แล้ว
“นายกำลังมองหาอะไรกันแน่น่ะ” เจียงเฉิงถามอย่างสงสัย
เฉียวเหลียนเฉิงโบกมือ “ไม่มีอะไร นายไปทำงานของนายเถอะ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังปฏิเสธที่จะพูดอะไร เจียงเฉิงก็ไม่ถามต่ออีก
ด้านเจียงหว่าน
หลังเจียงหว่านขายเนื้อเสร็จ เธอก็ไปกินข้าวที่สถานีตำรวจในตอนเที่ยง พอกลับมาจากเรือนจำเธอก็ไม่ได้ไปสถานีตำรวจทันที
เพราะวันนี้เป็นวันพุธ ที่สถานีตำรวจมีอบรมในช่วงบ่าย
เจียงหว่านจึงเวลาไปหาคนขายเนื้อได้พอดี
วันนี้ตอนเธอไปรับของเมื่อตอนเช้า คนขายเนื้อบอกว่าเขาไปถามเรื่องที่เธอไหว้วานไว้ก่อนหน้านี้มาหมดแล้ว และขอให้เธอมาหาตอนว่าง ๆ และจะพาเธอไปดู
เจียงหว่านนับเงินในมือ และพบว่าตอนนี้มีเงินแค่หนึ่งร้อยหยวน ซึ่งคงไม่พอจะซื้อจักรยาน
แต่ก็คิดว่า…ขอไปดูก่อนดีกว่า
“ฉันจะพาไปดูบ้านก่อนนะ อยู่แถวสวนหลังบ้านฉันเอง แม้จะไกลจากถนนนิดหน่อย แต่ก็ยังอยู่ในเมือง”
เจียงหว่านรีบตอบตกลง “แค่อยู่ในเมืองก็ช่วยฉันลดภาระได้มากแล้วล่ะ”
พื้นที่บ้านมีขนาดไม่ใหญ่ มีเพียงกระท่อมหลังคามุงจากสามหลัง ตัวกระท่อมก็เพียงสร้างขึ้นจากโคลนและหญ้าผสมกันง่าย ๆ เท่านั้น
แม้แต่ผนังด้านนอกก็ยังไม่ได้ทาสีตกแต่ง จนสามารถมองเห็นหญ้าแห้งที่พันอยู่ในผนังได้อย่างชัดเจน
มันเป็นบ้านที่เรียบง่ายมากจริง ๆ ไม่รู้ว่าหลังคาจะรั่วหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ หน้าต่างแตกเป็นรูโหว่ไปหมดทุกที่
สิ่งเดียวที่เจียงหว่านชอบมากก็คือ มีเตาขนาดใหญ่สองเตาอยู่ในลานบ้าน
แม้จะไม่มีหม้อน้ำก็ตาม
“ค่าเช่าที่นี่ถูกมาก แต่หลังคาน่าจะรั่วอยู่ ถ้าเธอเช่าฉันจะให้เจ้าของมาซ่อมหลังคาให้”
คนขายเนื้อยืนอยู่ที่ประตูลานบ้านพลางพูด
เจียงหว่านจึงถามว่า “ค่าเช่าเท่าไหร่เหรอ?”
คนขายเนื้อตอบว่า “สามเหมา!”
เจียงหว่านที่ได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจ “แค่สามเหมาเหรอ?”
คนขายเนื้อยิ้ม “ที่นี่ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ว่าจะดีพอให้อยู่อาศัย แต่ค่าเช่ารายเดือนก็เพียงสองหรือสามเหมาเท่านั้น”
“ในเมื่อที่นี่โทรมซะขนาดนี้แล้ว เธอคิดว่ามันจะแพงได้สักแค่ไหนล่ะ”