เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 42 เจอถันหลงขวางทาง เจียงหว่านถล่มกำแพง!
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 42 เจอถันหลงขวางทาง เจียงหว่านถล่มกำแพง!
บทที่ 42 เจอถันหลงขวางทาง เจียงหว่านถล่มกำแพง!
บ้านแม่หมูเป็นชื่อที่เจียงหว่านพูดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
เพราะไม่ว่าจะขายอะไร ก็ต้องตั้งชื่อให้มันเสมอ จึงจะสร้างมูลค่าของแบรนด์ได้
ทันทีที่เธอพูดออกไป ทุกคนก็หันกลับมามองอีกครั้ง พวกเขาต่างก็เห็นเนื้อบนฝากล่องข้าว แต่ก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้กันนัก
เมื่อเห็นอย่างนี้ เจียงหว่านก็เอ่ยเรียกป้าที่อยู่ตรงหน้า “คุณป้าคะ มาสิ ชิมฟรีได้นะ จะซื้อหรือไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร”
ป้าที่อยู่ตรงหน้าเธออายุสี่สิบเศษแล้ว แต่ยังดูดี ผิวหน้าย้วยนิดหน่อยแต่ไม่ได้ดูแก่มาก มองจากภายนอกแล้ว อีกฝ่ายอาจเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ได้
คุณป้าที่ถูกเรียกลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวไปข้างหน้า หยิบชิ้นเนื้อขนาดเท่าเล็บมือใส่เข้าไปในปาก
หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของป้าคนนั้นก็ชะงักค้างไป
“อร่อยจัง เนื้อนี่ขายยังไงเหรอ?”
เจียงหว่านรีบบอกราคา
ฝั่งคุณป้าคนนั้นมองไปที่ลำไส้หมูต่อ “อันนี้กินได้หรือเปล่า?”
เจียงหว่านพยักหน้ารัว ๆ เหมือนไก่ผงกหัวจิก หยิบมีดขึ้นมา ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วส่งให้คุณป้าคนนั้น
คุณป้ารับไปชิมแล้วก็บอกว่าไม่เลว
ในที่สุดเธอก็ซื้อเนื้อหัวหมูและลำไส้ไปอย่างละชิ้น
จากจุดนี้ทำให้มีผู้คนมากมายมาลองลิ้มรสกันอย่างอยากรู้อยากเห็น
หลังจากได้ชิม ทุกคนต่างก็ชื่นชมหมูตุ๋นของเจียงหว่าน
แต่ไม่ค่อยมีคนซื้อเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่เดินออกไป หลังจากชิมเสร็จ
ท้ายที่สุดแล้ว ในยุคสมัยนี้เนื้อสัตว์ที่มีราคามากกว่าหนึ่งหยวนต่อชั่งถือเป็นของฟุ่มเฟือยสินะ!
ดวงอาทิตย์ตกอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เจียงหว่านขายเนื้อในวันนี้หมดได้
แต่นับกันจริง ๆ จำนวนหนึ่งในสามของหมูตุ๋นถูกแจกจ่ายให้ชิมฟรี ไม่ได้ขาย
ระหว่างทางกลับ เจียงหว่านคำนวณเงิน เมื่อวานให้คนในลานได้ชิมดู วันนี้เองก็ให้คนทั่วไปชิม เงินที่ได้มาพอหักลบต้นทุนแล้ว เท่ากับว่าครั้งนี้เธอไม่ได้กำไรเลย
นับว่าเริ่มต้นไม่ดี แต่ก็ได้ผลดีอยู่บ้าง
ขณะที่เธอกำลังจะไปถึงฐาน จู่ ๆ คนหลายคนก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ
คนคนนั้นคือถันหลง
“อ้าว นังอ้วน แกจะไปไหน?”
วันนี้ถันหลงถือไม้ไว้ในมือ ขณะพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม
เจียงหว่านหยุดชะงัก และถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ “ทำไมคุณยังมาตามรังควานฉันอยู่อีกล่ะ? หนึ่งเดือนที่เราตกลงกันไว้ยังไม่ถึงกำหนดเวลาเลยนะ!”
ถันหลงกดมุมปากลง “ไม่ต้องห่วง วันนี้เราไม่ได้มาหาแก แค่ผ่านมาเจอกันพอดี ก็เลยแวะมาทักทายเท่านั้นเอง”
เจียงหว่านพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ฉันไม่ลืมหรอก ไว้ถึงวันนัดค่อยมาหาฉันสิ”
ถันหลงหัวเราะเบา ๆ “เอาล่ะ ฉันได้ยินมาว่าวันนี้แกไปขายเนื้อในเมือง ก็ไม่แย่นะ ฉันจะรอให้แกหาเงินได้มากพอที่จะจ่ายคืนให้ฉัน แต่อย่าหาว่าฉันไม่เตือนแกล่ะ ครั้งนี้เวลาที่ตกลงกันไว้คือหนึ่งเดือน”
“เห็นแก่ที่แกเป็นภรรยาทหาร เงินจำนวนนี้ฉันไม่ต้องการดอกเบี้ย ยังมีเวลาอีกห้าวันก่อนถึงกำหนดหนึ่งเดือน แต่ถ้าแกยังไม่สามารถจ่ายเงินคืนได้ ฉันจะคิดดอกเบี้ยแกอีกครั้งแน่”
เจียงหว่านโบกมืออย่างรำคาญ “เข้าใจแล้ว ไปเถอะ”
ถันหลงไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เขาหันหลังกลับ และจากไปพร้อมกับพวกลูกน้อง
เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นจากไปแล้ว เจียงหว่านก็ถอนหายใจเบา ๆ และผลักจักรยานกลับบ้าน
ทันทีที่เธอหมุนตัวกลับ หางตาของพลันเห็นเงาใครคนหนึ่งยืนอยู่หลังต้นไม้ไม่ไกล
แผ่นหลังดูเหมือนจะเป็นผู้หญิง ดูคุ้นตาราวกับเป็นคนรู้จัก แต่เธอจำไม่ได้ว่าเป็นใคร
แต่หญิงสาวก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ตอนขายเนื้อช่วงกลางวัน เธอก็เห็นผู้หญิงเดินมาดูเนื้อมากมาย เธอจึงอาจจะแค่จำผิดไปก็ได้!
และเพราะถันหลงทำให้ล่าช้า กว่าจะกลับมาถึงฐานเวลาก็ล่วงเลยปาเข้าไปสามทุ่มเสียแล้ว
เจียงหว่านมองประตูฐานที่ล็อคไว้ รู้สึกหดหู่ใจจนอยากเอาหัวโขกกำแพง
“จบแล้ว ฉันกลับเข้าไปไม่ได้แล้ว เพราะไอ้เจ้าถันหลงนั่นคนเดียวเลย!”
เจียงหว่านยืนห่างจากประตูเพราะไม่อยากถูกทหารยามจับได้ เธอชะเง้อมองเข้าไปข้างใน แต่ก็ไม่เห็นความหวัง
ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงกำแพงแถวอิฐสีแดงกับคำขวัญสีขาวที่อยู่นอกลานบ้านขึ้นมา
เจียงหว่านหรี่ตาลง “แล้วถ้าปีนข้ามกำแพงล่ะ?”
……
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เธอก็จอดรถจักรยานไว้ใต้ต้นไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประตูฐาน
หลังจากล็อคจักรยานแล้ว เจียงหว่านก็หันหน้าไล่สายตามองไปตามกำแพง
เธออาจเคยเห็น แต่ก็ไม่แน่ใจว่ากำแพงอิฐสีแดงด้านหลังลานบ้านนั่นอยู่ตรงไหน
ต้องสังเกตดูอีกทีแล้วล่ะ
ในเวลาเดียวกัน เฉียวเหลียนเฉิงที่อยู่ในห้องรู้สึกกระสับกระส่าย
เจียงหว่านออกไปขายเนื้อ เฉียวเหลียนเฉิงจึงต้องเป็นคนสอนการบ้านผิงอันเอง
ผิงอันทำการบ้านจนถึง 8.30 น. แล้วก็เข้านอน
ใต้แสงตะเกียงจาง ๆ เฉียวเหลียนเฉิงกำลังอ่านหนังสืออยู่เพียงลำพัง ผิงอันพลิกตัวกลับมา มองพ่อด้วยความงุนงง และอดที่จะถามไม่ได้ว่า
“พ่อยังไม่นอนเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงส่งเสียงรับ “นอนก่อนเถอะ พ่อจะอ่านหนังสือต่ออีกสักหน่อย”
เขาไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองกำลังรอเจียงหว่านอยู่
เฉียวเหลียนเฉิงไม่มีนาฬิกา ในห้องเองก็ไม่มีเลยสักเรือน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงคอยฟังเสียงดับไฟ
สัญญาณดับไฟในกองทัพคือเวลาสามทุ่มตรง พอได้ยินเสียงสัญญาณก็แน่ใจได้ว่าประตูถูกล็อคแล้ว
เฉียวเหลียนเฉิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขารออีกสักพัก จากนั้นก็วางหนังสือลง ก่อนจะออกไปที่ประตูเพื่อรอ
เมื่อเวลาผ่านไป ทางฐานจะล็อคประตู เจียงหว่านคงไม่สามารถเข้ามาได้อย่างแน่นอน แต่หากเขาไปที่นั่น เขาก็สามารถขอร้องให้คนเฝ้าประตูพาเธอเข้ามาได้ โดยไม่ต้องรอให้ผู้บัญชาการกองพันทหารอนุมัติ
ตอนเขาส่งเธอออกไปเมื่อเช้า เขาลืมบอกให้เธอจำเวลาล็อคประตูฐานให้ดี
เฉียวเหลียนเฉิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็รีบไปที่ประตู
เมื่อไปถึง เห็นนายทหารยืนเฝ้าอยู่
เฉียวเหลียนเฉิงก้าวไปข้างหน้าแล้วถามว่า “เมื่อกี้มีคนเข้ามาหรือเปล่า? เป็นผู้หญิงอ้วนมาก ๆ น่ะ”
ทหารเฝ้ายามส่ายหัวเพื่อแสดงออกว่า เขาไม่เห็น
อีกด้าน เจียงหว่านไม่ได้เข้าใกล้ประตู เพราะเธอรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้เข้าไปแน่ ดังนั้นเธอจึงคิดหาทางอื่นอย่างชาญฉลาด
ทำให้ทหารยามเฝ้าประตูไม่สังเกตเห็น
เฉียวเหลียนเฉิงมุ่นคิ้วขมวดแน่น เมื่อได้ยินว่าทหารยามไม่เห็นเจียงหว่านกลับมา
ความสงสัยแวบขึ้นมาในใจของเขา ‘หรือเธอจะไปเล่นการพนันอีกกันแน่!’
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา มันก็ไม่สามารถลบให้หายไปได้ง่าย ๆ
เขาเดินไปรอบ ๆ ประตูสองสามครั้งอย่างกระวนกระวาย แล้วมายืนอยู่ข้างราวบันไดพลางมองออกไปด้านนอก
พลันสายตาเขาก็เห็นจักรยานคันหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลนัก
ที่สำคัญคือ ตะกร้าท้ายจักรยานยังมีหม้อใบเล็กอยู่ด้วย
หม้อใบเล็กนี้ดูคุ้นตามาก!
เฉียวเหลียนเฉิงกำลังพินิจดูดี ๆ ทันใดนั้นกลับมี ‘โครม’ ดังขึ้นไม่ไกลนัก
ปัง! โครม!
เฉียวเหลียนเฉิงตกตะลึง ทหารยามที่เฝ้าประตูอยู่ก็ตกใจเช่นกัน ก่อนจะรีบไปตรวจสอบทันที
เฉียวเหลียนเฉิงเองก็ติดตามเขาไปตรวจสอบด้วย
ไม่ทันได้เข้าไปใกล้ ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง พวกเขาเห็นผนังส่วนหนึ่งที่ก่อไว้อย่างดีพังทลายลงมา
เมื่อเข้าไปใกล้ ก็เห็นผู้หญิงตัวอ้วนกำลังรีบลุกขึ้นจากกองอิฐกองหิน ฝุ่นผงฟุ้งกระจาย เนื้อตัวเปรอะมอมแมม
คนคนนั้นไม่ใช่ใคร แต่เป็นเจียงหว่าน!
เจียงหว่านลุกขึ้นพลางใช้มือเช็ดใบหน้า จากนั้นก็ตบ ๆ ฝุ่นบนร่างกายออก พลางบ่นอย่างหงุดหงิด
“กำแพงบ้านี่มันอะไรเนี่ย? ไม่แข็งแรงเอาซะเลย พอขึ้นไปก็พังลงมาทันที เฮอะ!”
เมื่อหันกลับมา เธอเห็นเฉียวเหลียนเฉิงยืนหน้าดำคร่ำเครียดมองเธออยู่ ข้าง ๆ มีทหารยามที่ดูเหมือนกำลังจะสับสน
เจียงหว่านหัวเราะเจื่อน ๆ อย่างรู้สึกผิด ทำให้ฝุ่นควันพุ่งออกมาจากปากของเธอ
ก่อนพูดกับเฉียวเหลียนเฉิงอย่างเขินอาย “ถ้าฉันจะบอกว่าฉันไม่ได้เป็นคนพังกำแพงนี้ นายจะเชื่อฉันไหม?”
เฉียวเหลียนเฉิงถามเสียงจริงจัง “คุณคิดว่ายังไงล่ะ!”
เจียงหว่านลูบจมูก แล้วถอนหายใจเบา ๆ “ฉันเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ว่าแต่กำแพงนี้ ฉันต้องซ่อมใช่ไหม?”
แต่เพราะกำแพงที่พังทลายลง เจียงหว่านจึงไม่จำเป็นต้องนอนข้างนอกแล้ว เธอวิ่งเหยาะ ๆ ไปจูงจักรยานเข้ามา ตามหลังเฉียวเหลียนเฉิงกลับไปไม่ยอมทิ้งห่าง
พอกลับถึงบ้าน เฉียวเหลียนเฉิงก็ออกไปพร้อมกับกระติกน้ำร้อน และกลับมาพร้อมน้ำร้อนเต็มกระติก
“ดึกแล้ว ห้องต้มน้ำปิดอยู่ ผมคิดว่าน้ำคงไม่เย็น แต่ก็ไม่น่าจะร้อนนัก ยังไงคุณก็ไปอาบน้ำก่อนเถอะ”