เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 261 ทั้งหมดคือโชคชะตา…
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 261 ทั้งหมดคือโชคชะตา…
บทที่ 261 ทั้งหมดคือโชคชะตา…
“เพราะเหตุผลนี้แหละผมเลยกลัวว่าเขาจะย้อนกลับมาทำร้าย ผมกังวลอยู่หลายวันจนกระทั่งได้ยินข่าวว่าเขาตายแล้ว ผมก็เลยโล่งใจได้สักที”
“แล้วผมก็ซักถามอย่างละเอียดเลยรู้ว่าคุณเป็นคนฆ่าเหลยช่าน ถือว่าคุณก็เป็นผู้มีพระคุณของผมด้วย!”
เฉียวเหลียนเฉิงยิ้ม “ไม่นับเป็นบุญคุณหรอก ผมต้องฆ่าหมอนั่นอยู่แล้ว”
ทันทีที่พูดจบ ในใจของเจียงหว่านพลันนึกบางอย่างออก เหมือนเธอจะจดจำบางอย่างได้
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอ เหอซานไห่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงแต่ก็น่าสงสารในเวลาเดียวกัน
เขาเป็นคนฉลาดในด้านธุรกิจ และพัฒนาธุรกิจของตัวเองได้อย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนี้เขายังเป็นคนแรกที่พบเห็นการสมคบคิดการผูกขาดทางเทคโนโลยีของทางตะวันตก และเสนอแผนห่วงโซ่อุตสาหกรรมในแบบของเขาเอง
ด้วยเหตุผลนี้ เหล่าประเทศตะวันตกจึงหวาดกลัวเขา ต่อมาเขาถูกล่อลวงไปยังต่างประเทศในงานแลกเปลี่ยนวิชาการ จากนั้นจึงถูกควบคุมตัวจากข้อกล่าวหาที่ไม่จริง
ไม่นานเขาก็เสียชีวิตในคุก
น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องพบเจออะไรบ้างในเวลานั้น และเมื่อเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่สู่สาธารณะในอีกหลายทศวรรษต่อมา มันก็ผ่านพ้นช่วงที่เขาตายไปนานหลายปีแล้ว
ได้ยินอย่างนั้น เจียงหว่านหันมองเหอซานไห่ตรงหน้าแล้วลอบตัดสินใจทันที
เธอต้องร่วมมือกับบุคคลตรงหน้านี้ให้ได้
เจียงหว่านหยิบรายการสินค้าออกมาและยื่นให้เหอซานไห่
“คุณมีรายการสิ่งของเหล่านี้ไหม?”
เหอซานไห่รับมันไว้ ไม่นานดวงตาก็เปล่งประกาย “ตอนนี้ผมมีของพวกนี้อยู่ครึ่งหนึ่ง และน่าจะใช้เวลาสักสามถึงห้าวันหาส่วนที่เหลือ!”
เจียงหว่านดีใจมาก เธอถาม “แล้วราคาล่ะ? เขียนเสนอราคาให้ฉันหน่อย!”
เหอซานไห่หยิบปากกาออกมาแล้วเริ่มเขียนราคาลงไปในรายการ
เจียงหว่านดูใบเสนอราคาของอีกฝ่ายแล้วตกใจ “ถูกขนาดนี้เชียวเหรอ?”
เหอซานไห่ตอบกลับ “ก็ไม่ถูกอะไร ความหิวเงินของผมไม่สูงหรอก ขอกำไรนิดหน่อยก็พอ”
“เวลาทำธุรกิจ ผมจะเน้นกำไรน้อย แต่หมุนเวียนสินค้าได้เร็ว!”
เจียงหว่านอดไม่ได้ที่จะเคอะเขิน “อ่า ฉันจะรับไว้ตามนี้ แต่ตอนนี้ฉันมีเงินทุนไม่พอ สามารถผ่อนชำระเป็นงวดได้ไหม? หรือรอสักสองสามวันฉันจะเอาเงินมาให้!”
ความจริงแล้วไม่ใช่ไม่พอ แต่ไม่มีเลยต่างหาก
คิดคำนวณเบื้องต้นแล้วประมาณห้าพันหยวน
นี่คือราคาตลาดทั่วไป ส่วนราคาที่เหอซานไห่เสนอมาอยู่ต่ำกว่ามาก แต่มันก็ยังมากถึงสามพันหยวนอยู่ดี
ในยุคนี้ เงินแค่หนึ่งเฟินก็สามารถซื้อซาลาเปาได้หนึ่งลูกแล้ว เพราะอย่างนั้นเงินสามพันหยวนอาจเรียกว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลได้เลย
ถ้าหากเจียงหว่านได้ขายเนื้อตุ๋นสักสองสามเดือน เธอก็อาจจะเก็บเงินได้สักหนึ่งพันหยวน ซึ่งเป็นเพียงหยดเล็กหยดน้อยในถังเงินสามพันหยวน
นอกจากนี้หมู่บ้านนายพรานก็ไม่ให้เวลาเธอมากนัก
เจียงหว่านกังวลว่าหากรู้ว่าเธอไม่มีเงินแล้วเหอซานไห่จะไม่พอใจ
ตอนนี้เธอเตรียมจะถูกเหอซานไห่ก่นด่าและเย้ยหยันแล้ว
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดกลับเกิดขึ้น เหอซานไห่คิดเรื่องนี้สักครู่ ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า
“คุณไปที่เฉิงเฉิงเพื่อส่งรายการนี้เหรอ”
เจียงหว่านพยักหน้า
เหอซานไห่ถามต่อ “แล้วปัญหาของคุณจะได้รับการแก้ไขได้ยังไง? พวกมันเป็นหมาป่า คงไม่ยินยอมรับข้อเสนอแน่หากคุณไม่จ่ายเงินให้”
เจียงหว่านไม่ได้ปิดบังและบอกว่า เพื่อนของเธอให้ไปที่นั่นและรับประกันหนักแน่นว่าจะไม่มีปัญหา
เพื่อแสดงความจริงใจ เจียงหว่านจึงบอกกล่าวถึงแหล่งปลายทางของเสบียงทั้งหมดนี้
ไม่ใช่ทุกคนในหมู่บ้านนายพรานที่จะยอมแลกเปลี่ยนด้วย
ในทางกลับกัน เธอเองก็อยากจะผูกมิตรกับเหอซานไห่เอาไว้
หลังจากได้ยินคำพูดของเจียงหว่านแล้ว ดวงตาของเหอซานไห่เปล่งประกายอีกครั้ง
เขาเคยไปที่หมู่บ้านนายพรานมาก่อน ได้ยินมาว่าสินค้าจากภูเขานั้นยอดเยี่ยมมาก
แต่เพราะผู้คนที่นั้นฉลาดแกมโกงและโหดเหี้ยม นั่นทำให้เขาสูญเสียเงินไปเยอะเลย หากเจียงหว่านสามารถพูดคุยกับคนพวกนั้นได้จริง แน่นอนว่ากำไรจะต้องมากมายมหาศาล!
หลังนึกได้อย่างนั้นแล้ว เขาจึงกล่าวว่า
“ผมไม่อยากได้เงิน ผมมีแค่คำขอเดียวเท่านั้น คือผมอยากจะร่วมหุ้นด้วย!”
“ถ้าร่วมมือกับผม คุณจะไม่มีวันขาดทุน ผมจะดูแลสินค้าทั้งหมดที่คุณต้องการ เพียงแค่ให้ผมสิบเปอร์เซ็นของกำไรหลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างก็พอ”
เจียงหว่านประหลาดใจมาก ผู้ชายคนนี้ทั้งใจกว้างและกล้ามากจริง ๆ เธอจึงตอบตกลงทันที
“ตกลง ฉันตกลง!” เธอตอบตกลงโดยไม่ลังเล
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เธอก็ไม่มีวันขาดทุน อีกทั้งเหอซานไห่ยังหาเสบียงมูลค่าหลายพันหยวนนี้ให้เธอก่อนด้วย
แล้วหลังจากผ่านพ้นเรื่องนี้ไป ค่อยมาดูนิสัยใจคอกันภายหลังก็ยังไม่สาย
ทั้งสองหารือร่วมกันเกี่ยวกับรายละเอียด พอเสร็จเจียงหว่านกับเฉียวเหลียนเฉิงจึงขอตัวกลับ
เวลานี้เองเจียงหว่านถามขึ้นด้วยความสงสัย “แล้วทำไมเวลาคุณเดิน คุณถึงขาอ่อนล่ะ?”
“ขาดแคลเซียม?”
เหอซานไห่ตกตะลึง “ขาดแคลเซียมเหรอ? มีคนเคยบอกว่าผมน่าจะขาดแคลเซียม แต่ผมก็ทานแคลเซียมเป็นอาหารเสริม ที่เป็นแบบเม็ดน่ะ”
เจียงหว่านถามอีกครั้ง “แต่คุณไม่ได้เข่าอ่อนในระหว่างวันเลยนี่ เป็นบ่อยช่วงเช้าและเย็นเหรอ?”
เหอซานไห่พยักหน้า
เจียงหว่านคิดสักครู่ก่อนจะพูดว่า “ฉันแนะนำบางอย่างนะ จากนี้ระหว่างวันไปคุณควรไปอาบแดดสักวันละสามชั่วโมง”
“ส่วนแคลเซียมแบบเม็ดก็ให้กินต่อไป แล้วก็ซื้อกุ้งแม่น้ำตัวเล็กมาทอดกินด้วย กินวันละหนึ่งกำมือ พอผ่านไปสักเดือนก็รอดูผลลัพธ์ได้เลย!”
เหอซานไห่พยักหน้าด้วยความงุนงง และออกไปส่งทั้งคู่ด้วยตัวเอง
หลังจากทั้งสองเดินออกจากประตู และตรงไปที่ถนน พวกเขาก็เตรียมจะเดินไปยังท่ารถ
เวลาเดียวกัน ตรงหัวมุมถนนมีผู้หญิงแต่งตัวดีคนหนึ่งกำลังเดินสวนมาทางนี้
ผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อขนสัตว์สีชมพู คลุมผ้าคลุมผมสีดำ และผ้าพันคอสีชมพูอ่อน มีดอกไม้เล็ก ๆ ประดับอยู่รอบ ๆ
ผ้าพันคอทำจากผ้าไหม ขนาดไม่ใหญ่มาก ยาวและบางเบา ผูกไว้เป็นโบว์รอบคอสวยงาม
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหว่านเห็นผู้หญิงใช้ผ้าพันคอที่ทำจากผ้าไหมในยุคนี้
ภาพที่เห็นทำเธอประหลาดใจไม่น้อย เธออดไม่ได้ที่จะหันมองหล่อนสองสามครั้ง
หากมองดูแล้ว รูปร่างของผู้หญิงคนนี้ดูดีไม่เบา และใบหน้าของเธอก็ดูคุ้นเคยมาก
มันคับคล้ายคับคลาแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
หล่อนถือกระเป๋าใบเล็กไว้ในมือ พร้อมกับสวมรองเท้าส้นสูง
ขณะย่างก้าว รองเท้าส้นสูงกระแทกกับพื้นเกิดเสียงกระทบต็อกแต๊ก ๆ
ผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านไปโดยไม่ได้สนใจพวกเขาสองคนแม้แต่น้อย
หลังจากเดินออกมาแล้ว เจียงหว่านหันไปถามเหอซานไห่ด้วยความสงสัย “คุณรู้จักผู้หญิงคนนั้นไหม?”
เหอซานไห่ส่ายศีรษะ “ผู้หญิงที่สวยขนาดนั้นไม่ได้อยู่ในเมืองของเราแน่นอน เธออาจจะมาจากที่อื่น ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเมืองหลวง!”
เจียงหว่านเงียบ ก่อนจะครุ่นคิด เธอรู้สึกว่าหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นคล้ายกับหลี่หงเหมยเลย!
แต่หญิงสาวไม่ได้ถามอะไรต่อ
เธอกับเฉียวเหลียนเฉิงเลี้ยวตรงหัวมุม แล้วขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางกลับ
ขณะเดียวกัน ภายในบริษัทการค้าเฉิงเฉิงจำกัด
หลังจากหลัวชิงซานพาคนของตัวเองกลับมา เขาสั่งให้อันธพาลทั้งหมดกลับไปหาวิธีแก้ปัญหา
สาเหตุหลักเป็นเพราะเขากลัวว่าจะตอบคำถามมู่เหย่ไม่ได้
ทว่าตอนนั้นเอง หลัวนีน่าก็เดินเข้ามา “พี่คะ จับพวกมันไม่ได้เหรอ?”
หลัวชิงซานพึมพำ “ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกเราจะทำพลาดแล้วล่ะ”
หลัวนีน่าเม้มปากด้วยความหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
หลัวชิงซานพูดต่อ “เธอไปขอโทษมู่เหย่ได้ไหม? ถ้าพ่อรู้เรื่องนี้ เขาฆ่าฉันตายแน่!”
หลัวนีน่าปฏิเสธทันที คู่พี่น้องกระวนกระวายมาก พยายามคิดหาทางออก ทันใดเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เสี่ยวฉุยคนเฝ้าประตูไปหาหมอ ทำให้ตอนนี้หน้าประตูบริษัทไม่มีคนเฝ้า
หลัวนีน่าที่อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เดินไปเปิดประตูด้วยความหงุดหงิด “จะเคาะอะไรนักหนา อยากตายรึไง!”
ทันทีที่พูดจบ ร่างกายพลันแข็งทื่อ เมื่อเห็นว่าใครที่ยืนอยู่หน้าประตู