เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 259 เสียใจจนพะอืดพะอม!
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 259 เสียใจจนพะอืดพะอม!
บทที่ 259 เสียใจจนพะอืดพะอม!
จริง ๆ หลัวชิงซานก็มาจากกลุ่มอันธพาล และเขาไม่ใช่สมาชิกที่แท้จริงของตระกูลทหาร
พ่อของเขาชื่อหลัวเยว่ เดิมทีเป็นคนขับรถให้กับหัวหน้า และได้รับผลประโยชน์จากความสัมพันธ์นี้ ทั้งสองพี่น้องจึงได้อาศัยอยู่ที่นั่นนานสามถึงสี่ปี
จนกระทั่งพ่อของเขาเกษียณอายุ เขาจึงพาครอบครัวกลับมาที่บ้านเกิด และเปิดบริษัทการค้าในเมืองแห่งนี้
และด้วยเส้นสายที่สะสมไว้ระหว่างขับรถให้กับหัวหน้า เขาจึงประสบความสำเร็จ
พ่อของเขาเป็นคนดี ทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์
แต่หลังจากป่วยด้วยโรคมะเร็งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกิจการในบริษัทมากนัก และปล่อยให้หลัวชิงซานซึ่งเป็นลูกชายดูแลแทนทั้งหมด
ความจริงแล้ว มู่เหย่ต้องการให้เจียงหว่านพบกับหลัวเยว่ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทการค้าเฉิงเฉิงที่แท้จริง ไม่ใช่หลัวชิงซาน
หลัวเยว่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับมู่เหย่ และทั้งสองเป็นสหายที่ดีต่อกันมานานหลายปี
หลังจากมู่เหย่เข้ามาที่นี่เมื่อวานนี้ หลัวเยว่จึงต้องการใช้โอกาสนี้ให้ลูกชายของตนและมู่เหย่สนิทกันไว้
เพราะเขายังป่วย และไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
เขาจึงขอให้ลูกชายต้อนรับเจียงหว่านและคนอื่น ๆ แทน
แต่เขาคงไม่คิดมาก่อนว่าลูกสาวของตนจะหลงรักมู่เหย่
เมื่อวานนี้มู่เหย่เพียงกล่าวชื่นชมเจียงหว่านว่าเป็นคนดี เพียงถ้อยคำนี้ก็ทำให้หลัวนีน่าคิดว่ามู่เหย่หลงรักเจียงหว่านเสียแล้ว
เพราะเหตุผลนี้หล่อนจึงตัดสินใจจะสร้างความอับอายให้กับเจียงหว่าน
พี่ชายและน้องสาวพูดคุยกันถึงสิ่งที่ต้องทำ
พวกเขาต้องการทำให้อีกฝ่ายเผชิญกับความยุ่งยาก และทำให้พวกเขาเห็นถึงความสำคัญของการช่วยเหลือนี้
แต่ไม่คิดเลยว่าทั้งเจียงหว่านและเฉียวเหลียนเฉิงจะเป็นคนมีไหวพริบ ไม่ใช่ไก่อ่อนที่หลอกได้ง่าย ๆ!
เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว หลัวชิงซานย่อมไม่ยินยอมให้เฉียวเหลียนเฉิงทุบตีน้องสาวและลูกน้องในพื้นที่ของเขาเช่นกัน
เวลานี้เขาดึงดาบยาวหนึ่งเมตรออกมาจากใต้โต๊ะก่อนจะเหวี่ยงดาบใส่เฉียวเหลียนเฉิง
ในสายตาของเขาแล้ว คนเหล่านี้เป็นเพียงพวกบ้านนอกที่รู้จักมู่เหย่เท่านั้น
บัดซบจริง ๆ เป็นเพราะหมอนั่นไม่บอกเล่าทุกอย่างให้หมดแท้ ๆ!
เฉียวเหลียนเฉิงเห็นดาบเล่มใหญ่กำลังจะฟาดฟันลงมา ก็ไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย
กล่าวตามตรง ถ้าหากว่าหลัวชิงซานไม่ลงมือด้วยตัวเอง เขาก็ไม่กล้าลงมือเหมือนกัน
หากหลัวชิงซานคิดจะฆ่าแกงถึงขนาดนำอาวุธสังหารออกมา เฉียวเหลียนเฉิงก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้
ทว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว นั่นมันดาบขนาดใหญ่ที่ใช้ฆ่าคนได้ง่าย ๆ เลยนะ
มันสมเหตุสมผลที่เขาจะต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง
ดาบของหลัวชิงซานพุ่งเข้าหาเฉียวเหลียนเฉิง ทว่าชายหนุ่มเพียงเบี่ยงหลบเล็กน้อยก่อนจะยื่นสองนิ้วออกไปคีบดาบเอาไว้
การเคลื่อนไหวนี้ทำเอาหลัวชิงซานถึงกับตกตะลึง เขาพยายามจะกดดาบลงไปแต่ก็ทำไม่ได้
และแม้จะอยากดึงมันกลับคืนมา ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
ดาบใหญ่นี้ราวกับว่าติดอยู่ในหิน ไม่สามารถดึงออกได้
สีหน้าของหลัวชิงซานแข็งทื่อ และรู้แล้วว่าตนเองกำลังตกที่นั่งลำบาก
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะตอบโต้ได้ เฉียวเหลียนเฉิงก็ขยับข้อมือ
รวดเร็วมาก
และดาบก็หักออกเป็นสองท่อน!
หลัวชิงซานหน้าซีดเซียวเมื่อเห็นว่าดาบตรงหน้าถูกหักลงอย่างง่ายดาย
เฉียวเหลียนเฉิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกผู้หญิงกำลังทะเลาะกัน พวกเราเป็นผู้ชายควรจะรับชมเฉย ๆ อย่าสอดดีกว่า!”
“แกพูดเรื่องอะไร!”
หลัวชิงซานกลืนน้ำลายก่อนจะนึกถึงคำพูดของมู่เหย่ก่อนหน้านี้
เมื่อวานมู่เหย่บอกกับหลัวเยว่ว่า ‘ผมได้พบเจอกับคนที่น่าสนใจมากสองคน พวกเขาเป็นคนดีมาก’
‘ผู้หญิงชื่อเจียงหว่าน เธอไม่ใช่แค่กล้าหาญเท่านั้นนะ แต่เธอยังมีความรู้มากมาย อีกทั้งยังเป็นคนดีอย่างแท้จริง!’
‘ส่วนผู้ชายชื่อเฉียวเหลียนเฉิง เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพ ไม่ใช่แค่มีทักษะการต่อสู้ที่โดดเด่น แต่เขายังมีไหวพริบและกล้าหาญมากด้วย!’
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว หลัวชิงซานก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง ก่อนจะร้องถามเพื่อความมั่นใจ
“แกคือเฉียวเหลียนเฉิง!”
เฉียวเหลียนเฉิงไม่ได้แปลกใจนัก และยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ ผมชื่อเฉียวเหลียนเฉิง”
จากนั้นเขาชี้ไปทางเจียงหว่านที่กำลังทุบตีคนอย่างดุเดือด
“นั่นคนรักของผม เจียงหว่าน”
เวลานี้หลัวชิงซานรู้สึกเสียใจจนพะอืดพะอม
เขานึกคิดในใจ ‘มู่เหย่เป็นบ้าอะไรถึงไม่บอกให้ครบ แนะนำพวกมันซะละเอียดยิบแต่กลับไม่บอกว่าทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากัน!’
ถ้าอธิบายเรื่องนี้ตั้งแต่แรก สถานการณ์คงไม่เลวร้ายแบบนี้แน่นอน
ถึงจะเสียใจ แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว และความขุ่นเคืองไปไกลเกินกว่าจะหยุด ไม่สามารถยุติได้อีก
หลัวชิงซานกัดฟันก่อนจะพยักหน้ารับ “อืม เข้าใจแล้ว!”
หลังพูดจบ เขาละทิ้งดาบที่หักแล้วดึงฆ้องออกมาจากใต้โต๊ะ ก่อนจะทุบตีมันอย่างบ้าคลั่ง
เขาวิ่งไปที่ประตูขณะเคาะฆ้องในมือ
หลัวนีน่าเองเข้าใจความหมายของสิ่งนี้ จึงวิ่งออกไปด้วยเช่นกัน
หลัวชิงซานเร็วมาก เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็มาถึงประตูแล้ว เวลานี้เขาตะโกนลั่น
“มันไม่สำคัญหรอกว่าแกจะแข็งแกร่งที่สุดในกองทัพ แต่ในพื้นที่ของฉัน ต่อให้แกเป็นมังกร แต่แกก็เป็นแค่คนโง่เง่าคนหนึ่งเท่านั้น!”
“พี่น้องเอ๋ย ออกมาเถอะ มาฆ่ามันซะ!”
หลังพูดจบ เขาโบกมือและทันใดนั้นก็มีชายกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาด้านหลัง
พวกเขาอายุยี่สิบต้น ๆ แต่ละคนถือมีดพร้าและมีดสั้นไว้ในมือ
เฉียวเหลียนเฉิงไม่ได้กลัวคนพวกนี้เลย เวลานี้เขาคว้าเก้าอี้ขวางด้านหน้าเอาไว้
และเมื่อมาถึงประตู เขาก็เห็นด้านหลังของหลัวชิงซานมีผู้คนล้อมรอบ
พวกมันมีมากเกือบห้าสิบคน
เมื่อเดินเข้ามาเต็มถนนด้านหน้า บรรยากาศก็กลายเป็นเงียบสงัด
ขณะนั้นเฉียวเหลียนเฉิงอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา “บริษัทการค้าแห่งนี้เช่าทั้งตึกนี้ไว้ คงไม่มีใครเห็นเหตุการณ์แน่”
แถมพวกเขาทะเลาะกันมาตั้งนานแล้ว แต่กลับไม่มีใครออกมาเลย
อีกทั้งคนทั้งหมดนี้ไม่ต่างจากพวกอันธพาล
เฉียวเหลียนเฉิงอยากจะรีบออกจากที่นี่ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีคนมากเกินไป เขาก็เปลี่ยนใจ
เขาโยนเก้าอี้ในมือโจมตีใส่เด็กหนุ่มที่วิ่งเข้ามา
เด็กหนุ่มเซกลับไปด้านหลัง และเฉียวเหลียนเฉิงฉวยโอกาสนี้ปิดประตู
แม้จะมีมือเพียงข้างเดียว แต่เขาก็ล็อกมันอย่างรวดเร็ว
ที่นี่มีคนมากเกินไป และเจียงหว่านไม่สามารถต่อสู้กับพวกมันได้หมด
เธอหันกลับมา “มีอะไรงั้นเหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงเดินเข้าไปหาเจียงหว่านพร้อมคว้ามือเธอแล้วเดินตรงไปที่หน้าต่าง
“หมอนั่นเรียกกำลังเสริมมาและทุกคนมีอาวุธ พวกมันมีมากเกินไป เราจัดการไม่ได้แน่”
ปัญหาก็คือเขาไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ เพราะแขนใช้ไม่ได้แถมมันยังเสี่ยงเกินไป
ถ้าหากอีกฝ่ายไม่มีอาวุธ เขาอาจจะยอมถูกทุบตีเล็ก ๆ น้อย ๆ และฝ่าวงล้อมออกไป
แต่ตอนนี้เขากังวลว่าจะไม่สามารถปกป้องเจียงหว่านได้
เจียงหว่านหรี่ตาลงก่อนจะกำไม้นวดแป้งไว้แน่น “ฉันควรทำยังไง?”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบกลับ “กระโดดออกจากหน้าต่าง!”
ทั้งสองเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกหัวออกไป
ถึงนี่จะเป็นชั้นสอง แต่มันก็มีชั้นวางป้ายของห้างร้านด้านล่างเป็นตัวรองรับ
จะกระโดดลงไปก็ไม่ใช่ปัญหา!
“คุณเชื่อใจผมไหม? ผมจะกระโดดลงไป แล้วคุณก็กระโดดตาม ผมจะรอรับคุณเอง!”
ก่อนเฉียวเหลียนเฉิงจะพูดจบ เจียงหว่านโบกมืออย่างไม่สนใจ
“ไม่ต้อง ฉันช่วยเหลือตัวเองได้!”
เธอกระโดดออกไปก่อนที่เฉียวเหลียนเฉิงจะพูดจบเสียอีก
และเธอไม่ลังเลในการกระโดดคราวนี้แม้แต่น้อย
ราวกับว่านี่ไม่ใช่ชั้นสอง แต่เป็นขอบหน้าต่างที่บ้าน
สำหรับเฉียวเหลียนเฉิงแล้วมันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะกระโดดออกไปด้วยความสูงขนาดนี้ ทว่าในใจของเขาก็ยังกดดันไม่น้อยเมื่อเห็นเจียงหว่านกระโดด
เขารีบกระโดดตาม และหลังจากลงถึงพื้นแล้ว เขาหันมองเจียงหว่าน “เป็นยังไงบ้าง? ไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม!”
เจียงหว่านส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร
เวลานี้คำสาปแช่งของหลัวชิงซานดังขึ้นที่หน้าต่างชั้นสอง
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าหลัวชิงซานยื่นศีรษะออกมานอกหน้าต่าง ใบหน้าของอีกฝ่ายบิดเบี้ยวจนกลายเป็นสีม่วง
เจียงหว่านชูนิ้วกลางขึ้นมาก่อนจะขยับนิ้วอย่างเชื้อเชิญ
“แกน่ะ! รออยู่ตรงนั้นนะ!”
หลัวชิงซานตะโกนลั่น!
เวลานี้เจียงหว่านเห็นแล้วว่ามีใครบางคนกำลังวิ่งลงมาจากชั้นบน
ทั้งสองคนไม่ยั่วยุหลัวชิงซานอีกต่อไป พวกเขาจับมือกันและวิ่งหนีทันที
คนของหลัวชิงซานวิ่งออกมาแล้ว พวกเขาเห็นเจียงหว่านและเฉียวเหลียนเฉิงอยู่ไม่ไกล ทั้งหมดวิ่งตามพร้อมกับกระชับมีดในมือแน่น!
นี่เป็นช่วงกลางวัน บนถนนจึงมีคนมากมาย
ทั้งสองกระโจนเข้าสู่ฝูงชนและพยายามสลัดพวกที่ไล่ล่าออกอย่างเต็มกำลัง
แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เสียเปรียบ และเป็นเพราะไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเลยทำให้วิ่งไปผิดทาง
สุดท้ายพวกเขามาหยุดยืนตรงทางตัน
เจียงหว่านมองกำแพงสูงสามเมตรด้วยความหดหู่ “มันสูงเกินไป ฉันปีนไม่ได้แน่ นายปีนขึ้นไปเถอะ!”
เฉียวเหลียนเฉิงหันกลับมามอง “พูดบ้าอะไร! ผมจะหนีไป และทิ้งให้คุณอยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไง!”
เจียงหว่านตอบกลับ “มีคนมากเกินไป แถมนายมีแขนแค่ข้างเดียว นายจะสู้กับพวกมันได้ยังไง!”
“ออกไปแล้วพาตำรวจมาช่วยฉัน ไม่อย่างนั้นเราสองคนจะตายอยู่ที่นี่!”
เฉียวเหลียนเฉิงไม่ยอม และพยายามมองหาใครสักคนที่จะช่วยเหลือได้ในบริเวณนี้ และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
ทันใดนั้น มีเสียงดังขึ้นจากด้านข้าง
“เฮ้ พวกนายต้องการความช่วยเหลือไหม!”
เจียงหว่านหันหน้าไปมองด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเห็นว่าประตูด้านข้างถูกเปิดออก
แต่มันเป็นประตูที่ค่อนข้างแคบ และสีกลมกลืนกับผนังมากจนมองไม่เห็นถ้าหากไม่เปิดประตูออกมา
เธอพยายามเพ่งสายตาและมองศีรษะที่ยื่นออกมาจากประตูให้ดี
“บ้าจริง คนตาบอดนี่!” เจียงหว่านตกใจจนแทบจะดุด่าอีกฝ่าย