เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 256 ผู้ชายที่ล้มบ่อยครั้ง
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 256 ผู้ชายที่ล้มบ่อยครั้ง
บทที่ 256 ผู้ชายที่ล้มบ่อยครั้ง
แม้จะวิ่งวุ่นอยู่ทั้งวัน แต่ร่างกายของเจียงหว่านกลับยังคงมีกลิ่นหอมจาง ๆ
เฉียวเหลียนเฉิงสูดกลิ่นหอมนั้นอย่างหวงแหน ทอดสายตามองเจียงหว่านอย่างล้ำลึก ก่อนสายตาจะหยุดลงตรงริมฝีปากของเธอ
ดูเหมือนว่าอารมณ์ในกายเฉียวเหลียนเฉิงจะพลุ่งพล่านขึ้นแล้ว!
เจียงหว่านสังเกตเห็นสายตานั้นอย่างรวดเร็ว เธอตกใจจนร่างกายแข็งทื่อ รีบผลักเขาออกไป พลันแก้มสองข้างก็แดงเรื่อขึ้นมา
“ฉันจะไปอาบน้ำก่อน วันนี้ไปทำธุระมาทั้งวันแล้ว”
เธอวิ่งเร็วเสียจนเฉียวเหลียนเฉิงไม่ทันได้รั้งไว้
เมื่อเห็นหญิงสาวเปิดประตูและวิ่งออกไปแล้ว เขาก็ทำได้เพียงมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาโศกเศร้า
เขารู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้เลยว่าอาชีพของเขาจะถึงวันจบสิ้นเมื่อไหร่
วันรุ่งขึ้น เจียงหว่านกับเฉียวเหลียนเฉิงตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะเข้าเมือง
ถ้าหากอยู่ในค่ายทหารและต้องการเข้าเมือง จะต้องขึ้นรถบัส ‘มู่อวิ๋นซาน – หน้าสถานี’ ซึ่งรถบัสที่พวกเขาขึ้นคือรอบเช้าช่วงหกโมงสามสิบ
และเพราะยังเช้ามาก จึงไม่ค่อยมีคนใช้บริการรถเท่าไหร่นัก ทั้งสองนั่งที่เบาะหลัง โดยเจียงหว่านนั่งริมหน้าต่าง ส่วนเฉียวเหลียนเฉิงนั่งติดริมทางเดิน
ทันทีที่รถสตาร์ตเพื่อออกตัว ฝุ่นก็คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ รถสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์คำรามลั่น
เฉียวเหลียนเฉิงนึกบางอย่างออก เขาหยิบซองจดหมายออกจากกระเป๋า แล้วพูดว่า “เจียงเฉิงเอามาให้เมื่อคืนน่ะ ผมลืมเอาให้คุณ”
เจียงหว่านเปิดอ่าน “อ้อ นิยายของฉันนี่เอง บรรณาธิการบอกว่าต้นฉบับหมดแล้ว เธอต้องการให้ฉันส่งไปเพิ่ม เธอบอกว่านิยายของฉันได้รับความนิยมมาก แล้วเดี๋ยวเธอจะให้ค่าลิขสิทธิ์อีกที”
“และเธอยังบอกอีกว่า นิยายเรื่อง ‘ตลับสีชาด’ ของฉันถูกส่งเข้าประกวดด้วย”
เฉียวเหลียนเฉิงเผยสีหน้าชื่นชม “สุดยอดเลย ผมไม่ค่อยเห็นว่าคุณจะเขียนนิยายเท่าไหร่ นึกว่าคุณหยุดเขียนไปแล้วซะอีก”
เจียงหว่านยิ้ม “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ เพราะฉันส่งต้นฉบับไปเยอะต่างหาก ฉันเลยมีเวลาว่างเพลิดเพลินกับอย่างอื่นได้ แต่ตอนนี้ต้นฉบับหมดแล้ว ฉันคงต้องกลับมาทำงานหนักอีกครั้งแล้วล่ะ”
“วันนี้เราจะไปซื้อหนังสือมัธยมต้นกัน นายก็เรียนหนังสือไป ฉันก็เขียนนิยาย พวกเราต่างก็พยายามในแบบของเรากันนะ”
เฉียวเหลียนเฉิงรู้สึกอุ่นวาบในใจ
หว่านหว่านของเขาเก่งขึ้นทุกวัน แบบนี้เขาเองก็ต้องพยายามอย่างหนักบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นวันนึงเขาอาจจะไม่คู่ควรกับเธอ
ทันทีที่รถวิ่งมาถึงหมู่บ้านชิงฮวา จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
“มีอะไรเหรอ?”
“ดูคนนั้นสิ เขาเดินไปหกล้มไป ก้าวออกมาได้นิดเดียวก็ล้มอีกแล้ว”
“นั่นมันคนตาบอดไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ นายพูดถูก”
ได้ยินผู้คนพูดคุยกัน เจียงหว่านก็หันมองตามออกไปอย่างอยากรู้อยากเห็น และเธอก็เห็นผู้ชายในชุดเอี๊ยมสีน้ำเงินกำลังหกล้มอยู่บนพื้น
เขาลุกขึ้นพร้อมตบฝุ่นออกจากร่างกายแล้วเดินมายังประตูรถอย่างไม่ยอมแพ้
อาจเป็นเพราะชื่อ ‘คนตาบอด’ ค่อนข้างจะน่าเวทนา นั่นทำให้แม้แต่คนขับเองก็ยังรอเขาอย่างอดทน
กระทั่งเมื่อเขาสามารถขึ้นมาบนรถได้ เขาก็ล้มลงอีกครั้ง
ผู้คนในรถระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกระลอก
แต่ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจ เขาตรงดิ่งมายังที่นั่ง แล้วนั่งลงตรงหน้าเฉียวเหลียนเฉิงกับเจียงหว่าน
เจียงหว่านมองเขาอย่างพิจารณา ดูเหมือนว่าเขาจะอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น และค่อนข้างหล่อไม่เบา แต่ทำไมเขาถึงหกล้มแบบนั้น
ส่วนชื่อคนตาบอด…
ทำไมคนถึงเรียกเขาว่าคนตาบอด ทั้ง ๆ ที่ดวงตาของผู้ชายคนนี้ล้ำลึกมันวาวราวกับดวงดาว เพียงมองครู่เดียวก็ยากจะละสายตา
แบบนี้จะเรียกว่าคนตาบอดได้ยังไง!
เป็นเพราะอีกฝ่ายล้มลงหลายครั้ง เส้นผมของเขาจึงค่อนข้างยุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่น ทำให้ดูน่าสงสาร
ขณะเดียวกัน ในสายตาของใครหลายคน ตอนนี้รูปร่างหน้าตาของคนคนนี้ช่างน่าขัน เจียงหว่านยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอีกฝ่าย เธอเหลือบมองเขาอยู่สองสามครั้ง
และเฉียวเหลียนเฉิงก็สังเกตเห็นว่าเจียงหว่านแอบมองชายอื่น เขาจึงเอื้อมมือหนาคว้ากุมมือของเธอเอาไว้
เจียงหว่านประหลาดใจ ไม่คิดว่าเฉียวเหลียนเฉิงจะเปราะบางขนาดนี้ เธอหันศีรษะมองเขา แต่เขากลับหันไปทางอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทำราวกับว่าเขาไม่ได้กุมมือเธออยู่
ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ใช่แค่กุมเอาไว้เฉย ๆ แต่ยังใช้นิ้วโป้งไล้หลังมือเธอเบา ๆ อีกด้วย
การลูบที่ดูไม่มีนัยนี้ทำให้ร่างกายของเจียงหว่านวูบไหว
เธอสะบัดมือชายหนุ่มออกอย่างรวดเร็ว และเฉียวเหลียนเฉิงก็หันกลับมาทำหน้าตาอ้อนวอนใส่เธอทันที
“มันคัน!”
เฉียวเหลียนเฉิงก้มศีรษะลงราวหมาหงอย
แม้เจียงหว่านจะดุเขา แต่หลังจากนั้นเธอก็ใช้นิ้วชี้จิ้มหลังมือของเขาเบา ๆ
แม้จะเป็นเพียงนิ้วเดียว แต่สีหน้าของเฉียวเหลียนเฉิงก็อ่อนโยนลงมาก เขาไม่สนใจเรื่องก่อนหน้าอีก เวลานี้เขาคว้านิ้วของเธอไว้ แล้วเล่นกับมันอย่างเพลิดเพลิน
นั่นทำให้หูของเจียงหว่านร้อนผ่าวอย่างช่วยไม่ได้ และทำได้เพียงมองไปทางอื่นเพื่อปกปิดอาการ
รถสตาร์ตอีกครั้ง พร้อมเคลื่อนตัวไปตามถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นเพราะฝนตก ผิวถนนจึงกลายเป็นแอ่งโคลน
คนในรถสั่นสะเทือนจนเครื่องในแทบจะถูกเขย่าให้รวมกันเป็นก้อนเดียว
ไม่นานนัก รถก็วิ่งเข้าสู่ถนนราบเรียบอีกครั้ง ผู้คนในรถจึงเริ่มพูดคุยกันอีกระลอก
“ถนนเส้นนี้ใช้สัญจรลำบากมาก ทำไมไม่มีใครคิดจะมาซ่อมบ้างเลยนะ”
“ทั้งวันมีรถสัญจรผ่านไม่มาก ใครจะมาซ่อม? ถ้าในอนาคตมีรถผ่านมากขึ้น เดี๋ยวก็คงจะได้รับความสนใจ และมีคนมาซ่อมแหละ!”
“รอรถเยอะ? เมื่อไหร่จะเยอะล่ะ!”
“ฉันได้ยินว่าครอบครัวในประเทศอื่น ๆ มีรถยนต์กันทั้งนั้น คาดว่าอีกสักสามสิบปี ทุกคนในประเทศของเราก็คงมีรถยนต์เหมือนกัน”
เจียงหว่านมองคนบนรถพูดคุยกันด้วยความประหลาดใจ ผู้ชายคนนั้นนั่งข้าง ๆ กับคนตาบอด อายุราว ๆ สามสิบหรือสี่สิบปีได้
มองเพียงครั้งแรกก็สัมผัสได้ว่า เขาดูเป็นคนรอบรู้ และได้เดินทางบ่อย ๆ และอารมณ์ของเขาก็ค่อนข้างดีไม่น้อย
หลังจากผู้ชายคนนั้นพูดจบแล้ว คนตาบอดที่เงียบมาตลอดทางก็พูดขึ้นว่า “แล้วยังไง? ถึงเวลานั้นทุกครอบครัวก็มีรถยนต์ และรถก็จะติดเพราะทุกคนออกจากบ้านพร้อมกัน ยิ่งไปกว่านั้นจะมีรถมากมายไร้พลังงาน”
“ฉันคิดว่าพอถึงเวลานั้น การซื้อรถสักคันมันก็คงจะง่าย แต่ถ้าไม่มีเงินจะเติมน้ำมัน ก็ลำบากอยู่ดี!”
เจียงหว่านอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เธอหันมองชายตาบอดอีกครั้ง
เขาเป็นใครกันนะ? ทำไมถึงบรรยายเรื่องราวในทศวรรษถัดไปได้ชัดเจนแบบนี้? หรือว่าเขากลับชาติมาเกิด หรือเดินทางข้ามเวลามาเหมือนกับเธอ?
คนตาบอดสัมผัสได้ถึงสายตาของเจียงหว่าน เขาจึงหันมาหาเธอกับเฉียวเหลียนเฉิงอย่างรวดเร็ว
เจียงหว่านตระหนักได้ว่าเธอมองมากเกินไป จึงรีบหันไปทางอื่น
ไม่นานนัก เมื่ออยู่ห่างจากเมืองเพียงหนึ่งป้ายโดยสาร คนตาบอดก็ลงจากรถ
แต่หลังจากเขาลงจากรถ เขาก็หกล้มอีกสามครั้ง
ทุกคนในรถพากันหัวเราะไม่หยุด
พอเขาจากไปแล้ว เจียงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถามเพื่อนร่วมที่นั่งของชายตาบอดก่อนหน้านี้
“เห็นกันอยู่ว่าเขาไม่ได้ตาบอด แต่ทำไมเรียกเขาว่าคนตาบอดล่ะ”
ผู้ชายคนนั้นตอบกลับ “ใช่ หมอนั่นไม่ได้ตาบอด แต่เป็นเพราะหมอนั่นล้มบ่อยจนเหมือนคนตาบอด นั่นเลยเป็นเหตุผลที่คนอื่น ๆ ตั้งชื่อนี้ให้น่ะ”
เจียงหว่านอุทานออกมา “โอ้ แล้วทำไมเขาถึงทำแบบนั้นล่ะ? เขาป่วยเหรอ?”
ผู้ชายคนนั้นตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน หมอนั่นไม่น่าจะป่วยนะ หลานชายของฉันมาจากหมู่บ้านเดียวกับเขา ว่ากันว่าเขาเริ่มเป็นอย่างนี้เมื่อสามปีที่แล้ว คุ้มดีคุ้มร้ายน่ะ”
“เขาไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้ว แต่ก็ไม่เจอสาเหตุอะไรเลย บางคนบอกว่าถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้”
“แต่พูดก็พูดเถอะ เด็กคนนั้นสุดยอดมากนะ เขาเดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ และเป็นคนรอบรู้คนหนึ่งเลยล่ะ”
“ถ้าอยากจะรู้อะไร ก็ถามเขาได้เลย!”
ในที่สุด รถบัสก็มาถึงป้ายสุดท้าย ทุกคนจึงลงจากรถ เจียงหว่านยังต้องการถามผู้ชายคนนั้นต่อเกี่ยวกับเรื่องคนตาบอด
ทว่าเฉียวเหลียนเฉิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ และยังกุมหนึ่งนิ้วของเธอไว้แน่น พูดเปรยขึ้นมา “ดูเหมือนคุณจะสนใจผู้ชายตาบอดคนนั้นจังเลยนะ เหอะ ๆ”
แม้จะเป็นคำพูดสั้น ๆ แต่เจียงหว่านก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมรอบตัวเขา