เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 254 นาฬิกาข้อมืออะไร! ให้ตาย ก็ให้ไม่ได้!
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 254 นาฬิกาข้อมืออะไร! ให้ตาย ก็ให้ไม่ได้!
บทที่ 254 นาฬิกาข้อมืออะไร! ให้ตาย ก็ให้ไม่ได้!
เฉียวเหลียนเฉิงพูดด้วยความสงสัย “ความจำของผมไม่น่าผิดนะ ไม่ผิดแน่ ๆ เมื่อไม่กี่ปีก่อนผมกลับไปเยี่ยมญาติยังเห็นคุณใส่อยู่เลย!”
นาฬิกาเรือนนั้นมีกลไกที่ทำให้เข็มเดินเสมอตราบใดที่ใช้
หลี่หงเหมยจึงกลัวว่ามันจะพัง บางครั้งถึงต้องนำออกมาเช็ดฝุ่น
ตอนนี้ใบหน้าของหลี่หงเหมยดูน่าเกลียดมาก
เจียงหว่านแค่นเสียงเย็นชา “ขี้เหนียวจริง ๆ เหล่าเฉียวของเราให้เงินคุณใช้มากมายทุกเดือน แต่คุณกลับไม่ให้แม้แต่นานาฬิกาแก่ฉันด้วยซ้ำ!”
หลี่หงเหมยได้ยินก็โกรธมาก หล่อนจึงพูดโพล่งออกมา “นาฬิกาเรือนนั้นเป็นมรดกตกทอดในวงศ์ตระกูล ฉันเก็บไว้ให้หลานชายของฉัน แกอย่าคิดเพ้อเจ้อ!”
เจียงหว่านเลิกคิ้ว “หลานเหรอ? ลูกเยอะขนาดนี้ เก็บไว้ให้ใครล่ะ!”
พูดจบเจียงหว่านก็หันไปทางเฉียวเหลียนเฉิง “นายส่งเงินให้ครอบครัวใช้นานแค่ไหนแล้ว?”
เฉียวเหลียนเฉิงนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนตอบว่า “ตั้งแต่ผมเป็นทหาร ผมก็ส่งเงินให้หลายปีแล้ว”
เจียงหว่านหัวเราะ แล้วตบหน้าหลี่หงเหมย “ลูกชายคนโตของคุณส่งเงินให้ตั้งหลายปี นี่คุณเป็นพวกไม่มีจิตสำนึกใช่ไหม?”
“เขาเลี้ยงดูครอบครัวมาตั้งนาน พูดได้เลยว่าที่คุณเลี้ยงลูกชายลูกสาวจนโตมาได้ก็เพราะเขา ทำไมคุณถึงไม่ยอมให้กับอีแค่นาฬิกาแค่เรือนเดียว”
หงหลี่เหมยลนลาน เธอส่ายหัวสุดชีวิต และร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง
“ไม่ ๆ ฉันไม่ให้แก แกอย่ามาคิดแย่งนาฬิกาของฉันนะ”
“ไม่ให้ ถึงตายก็ไม่ให้แก”
ความบ้าคลั่งของหลี่หงเหมยไม่เพียงแต่ทำให้เจียงหว่านสังเวชใจ ยังทำให้ใจเธอยิ่งเชื่อคำพูดของไป๋อวี้ซิ่วมากขึ้นด้วย
เธอหันไปมองไป๋อวี้ซิ่ว
แต่ไป๋อวี้ซิ่วก็รีบหลบตามองไปทางอื่น
ซึ่งเจียงหว่านรู้ว่ากดดันตอนนี้ไม่ใช่ทางที่ดี
เพียงแค่นาฬิกาหนึ่งเรือน ขอแค่อีกฝ่ายอยู่ที่นี่ เธอก็มั่นใจว่าจะสามารถคิดหาวิธีเอามาจนได้
เจียงหว่านแสร้งพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ไม่มีนาฬิกาเรอะ ได้!”
เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ เจียงหว่านก็พูดง่ายขึ้นมา หลี่หงเหมยก็ทำอะไรไม่ถูก มองหญิงอ้วนอย่างไม่เชื่อ และถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“มะ ไม่เอาแล้ว?”
เจียงหว่านเลิกคิ้วตอบกลับ “เอาสิ ทำไมจะไม่เอา แต่คุณไม่ให้ แล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ”
หลังพูดแบบนั้น เธอก็มองไปที่เฉียวเหลียนเฉิง และถามเขา “น้องสามของนายสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อไหร่”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบ “ปีหน้า”
ได้ยินอย่างนั้น เจียงหว่านก็พูดว่า “งั้นให้เงินพวกเขาถึงแค่ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็พอ น้องชายน้องสาวของนายโตกันหมดแล้ว สามารถหาเงินด้วยตัวเองได้แล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องส่งเงินให้อีก”
เฉียวเหลียนเฉิงก็คิดแบบนั้น เขาจึงพยักหน้า “ได้”
หลี่หงเหมยถึงกับพูดไม่ออก หล่อนทำหน้าเหลอหลาอยู่พักใหญ่ ก่อนตะโกนทักท้วง “ไม่ได้! เขาเป็นพี่ใหญ่สุดในบ้าน หากเขาไม่เลี้ยงคนในครอบครัวแล้วใครจะเลี้ยง!”
เจียงหว่านหัวเราะอย่างเย็นชา
“ใครจะเลี้ยง? เจ้ารองของคุณน่ะเก็บไว้ทำไม มีมือมีเท้าทำไมไม่หาเงินเลี้ยงครอบครัวเข้าล่ะ?”
“เฉียวเหลียนเฉิงดูแลบ้านคุณมาก็ตั้งหลายปี แต่ตอนนี้ฉันเข้ามาดูแลบ้านของเขา แล้วทำไมยังต้องเลี้ยงดูคนโต ๆ แบบพวกคุณอีก”
“ดังนั้นตอนนี้คุณมีสองทางเลือกคือ หนึ่งให้นาฬิกาฉัน หรือสองหลังจากนี้จะไม่รับเงินจากพวกเราอีก”
หลี่หงเหมยตะลึง ตอนนี้ความคิดของเธอตีกันไปหมด …นาฬิกาน่ะให้ไม่ได้อย่างแน่นอน
เพราะว่านั่นเป็นเบาะแสเพียงหนึ่งเดียวที่เธอจะหาลูกสาวของตัวเองเจอ
ในตอนนั้นที่ลูกสาวถูกนำตัวไป คนบ้านนั้นไม่กล้าทอดทิ้งเธอ เพราะเธอเป็นเด็กผู้หญิง
อีกทั้งครอบครัวนั้นดูจะมีเงินและมีอำนาจด้วย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชีวิตของลูกสาวต้องดีมากแน่ ๆ
ถ้าหากมีนาฬิกาข้อมือ เธอก็ตามหาลูกสาวได้ และหางานดี ๆ ให้กับลูกชายทั้งสองและลูกสาวอีกคนได้ไม่ยาก พอเปรียบเทียบดูแล้วก็ดีกว่าลูกคนโตที่ไม่มีประโชน์คนนี้เสียอีก
พอคิดได้แบบนี้ หลี่หงเหมยก็ตัดสินใจได้ เธอจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“ไม่ให้ก็คือไม่ให้ แต่ถือว่าตกลงกันไปแล้วนะว่าพวกแกจะให้เงินจนกว่าจะสิ้นสุดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้า”
เจียงหว่านแค่นเสียงเย็นชา มองปราดเดียวก็รู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย แม้แต่แผนการของหญิงชรา เธอก็สามารถเดาได้
เจียงหว่านหรี่ตาลง แค่นเสียงตอบ “ตกลง คำไหนคำนั้น”
ถึงแม้ว่าหลี่หงเหมยจะโกรธมาก แต่เพื่อปกป้องนาฬิกาก็ต้องบีบจมูกยอมรับ[1]*
แต่เพราะนาฬิกายังอยู่กับเธอ ถ้าหากไปยั่วโมโหนังอ้วนคนนี้แล้วโดนแย่งไป ตอนนั้นเธอก็คงจะทำอะไรไม่ได้อีก
เมื่อทำข้อตกลงเสร็จแล้ว เจียงหว่านก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ จึงพาเฉียวเหลียนเฉิงออกไป
เธอต้องกลับไปคิดให้ดีว่าต้องทำยังไงถึงจะได้นาฬิกามา
ทว่าพอหญิงสาวกำลังจะหมุนตัวเดินออกไป เธอก็ถูกหลี่หงเหมยขวางไว้ก่อน
“อย่าเพิ่งไป เธอตกลงกันว่าจะให้เงินพวกเราสัปดาห์ละครั้งนี่ ตอนนี้มันผ่านมาสองสามวันแล้วนะ”
“เธออยากให้พวกเราหิวตายรึไง?”
เจียงหว่านเลิกคิ้ว “ใช่ ตกลงกันว่าจะให้เงินสัปดาห์ละครั้ง แต่นี่ก็ยังไม่ครบเจ็ดวันเลยนี่!”
“อีกอย่าง ฉันให้เงินพวกคุณไปตั้งหลายหยวน เพียงพอจะใช้จ่ายได้ทั้งอาทิตย์แล้ว แต่นี่อะไรพวกคุณใช้เงินเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ!”
หลี่หงเหมยได้ยินก็ถลึงตาใส่เฉียวเหลียนเฉิง “ก็ใช้หมดแล้วน่ะสิ!”
เจียงหว่านสังเกตเห็นแววตาของหญิงชรา เธอก็คิดบางอย่างได้
“พูดขนาดนี้ ที่อู่หยางบอกว่าในตำบลมีคนแอบไปเล่นพนัน เป็นพวกคุณใช่ไหม?”
ใจของหลี่หงเหมยสั่นเทิ้ม หล่อนรีบหลบสายตา
“ไม่ใช่พวกเรานะ เธออย่าพูดไร้สาระ!”
เห็นท่าทางแบบนี้ เจียงหว่านก็หัวเราะทันที ใช่จริง ๆ เพราะตามนิสัยของหลี่หงเหมย ปกติแล้วหล่อนจะกระทืบเท้าและด่าสาปแช่งเธอแน่นอน
ทว่าตอนนี้กลับตอบปกติและอยู่ไม่สุขอย่างชัดเจน!
เจียงหว่านลูบคางพลางคิด “อู่หยางบอกว่าในตัวตำบลมีคนเปิดบ่อนเล่นพนัน คิดดูแล้วคือสามวันที่ฉันไม่อยู่”
“และเพียงไม่กี่วันมานี้พวกคุณก็ใช้เงินหมดซะแล้ว”
“งั้นพวกคุณเอาเงินไปทำอะไรกันหมด?”
หลี่หงเหมยไม่ตอบ เจียงหว่านใจเต้นแรง เธอพูดขึ้นมาว่า
“ถ้าคุณไม่พูดความจริง ฉันจะไม่ให้เงินคุณอีก”
“ไม่อย่างนั้น หากให้เงินเท่าไหร่ก็คงไม่พอ ไม่จบไม่สิ้นแน่!”
หลี่หงเหมยร้อนใจ หล่อนรีบตะโกนอย่างโกรธเคือง “เป็นเจ้ารอง เขาเอามันไปเล่นพนัน”
เฉียวเหลียนเย่ได้ยินก็ตะโกนอย่างน้อยใจ “ผมแค่เอาไปเสี่ยงโชคเท่านั้นเอง ถ้าชนะก็เอากลับมาให้แม่อยู่แล้ว!”
หลี่หงเหมยถลึงตาใส่เขา
เจียงหว่านยกยิ้มมุมปากบาง ๆ พลางพูดนิ่ง “อย่างงี้นี่เอง ก็น่าจะบอกกันสิ”
“เขาไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร จะไปเล่นให้เสียทั้งเงินทั้งอารมณ์ทำไมกัน”
ขณะที่เธอพูดก็หยิบเหรียญสามหยวนให้กับหลี่หงเหมย
“นี่คือเงินของพวกคุณในหนึ่งสัปดาห์ รักษาดี ๆ อย่าให้เขาไปเล่นพนันอีก ไม่อย่างงั้นฉันจะไม่ให้เงินพวกคุณแล้ว!”
หลี่หงเหมยรีบรับปาก และคว้าเงินใส่กระเป๋าทันที
จากนั้นเจียงหว่านก็กวาดสายตามองไปทางเฮียวเหลียนเย่ ก่อนจะพาเฉียวเหลียนเฉิงออกมา
พอออกมา เฉียวเหลียนเฉิงก็พูดอย่างหดหู่ “ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมให้นาฬิกากับเราง่าย ๆ นะ แล้วเราจะยืนกรานให้เธอเอาให้ก็ไม่ได้ด้วย”
เจียงหว่านหัวเราะ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มีวิธี”
“นายกลับไปที่ลานบ้านก่อน ถือโอกาสไปหยั่งเชิงเจียงเฉิงหน่อย ดูว่าเขารู้เรื่องผู้อาวุโสของจินกังที่ตายไปก่อนหน้านี้หรือเปล่า”
เฉียวเหลียนเฉิงสงสัย “แล้วคุณล่ะ”
เจียงหว่านยิ้มบาง “ฉันจะไปหาคนขายเนื้อ แล้วถือโอกาสไปดูพี่สะใภ้เฉินเลย จะได้ดูว่าไม่กี่วันมานี้ขายของดีไหม และจะถามราคาน้ำมันพืชในตอนนี้ด้วย”
“ไม่งั้นตอนเข้าไปในเมืองพรุ่งนี้จะต่อรองเรื่องราคาไม่ได้”
เฉียวเหลียนเฉิงเห็นด้วย เขาจึงแยกกับเจียงหว่าน และกลับไปค่ายทหารเพียงคนเดียว
เมื่อเห็นเฉียวเหลียนเฉิงเดินไปไกลแล้ว เจียงหว่านก็เดินไปอีกทาง เธอไปยืนรออยู่ตรงบริเวณใกล้ประตูทางออกที่มีเพียงถนนเส้นเดียวตัดผ่าน
เจียงหว่านซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ซึ่งโชคดีที่ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่พอ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถบดบังเธอไว้ได้
[1] บีบจมูกยอมรับ คือ จำใจต้องยอมรับอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อต้องเจอกับความสูญเสีย และทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว