เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 247 สิ่งที่เราไม่ได้ทำ ต่อให้ตายก็ห้ามยอมรับ
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 247 สิ่งที่เราไม่ได้ทำ ต่อให้ตายก็ห้ามยอมรับ
บทที่ 247 สิ่งที่เราไม่ได้ทำ ต่อให้ตายก็ห้ามยอมรับ
คำพูดของมู่เหย่เต็มไปด้วยการดูถูก
เจียงหว่านรู้ดีว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ก็แค่ปากหมาไปอย่างนั้น
เธอเหลือบมองไปด้านข้าง หยิบปากกาแล้วเขียนข้อความสองสามคำลงบนกระดาษ
”เวลา สถานที่ ชื่อ…”
เจียงหว่านเขียนข้อความไว้ข้าง ๆ อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้
บันทึกของเธอมีรายละเอียดครบถ้วน ใจความกระชับ
เพียงไม่กี่ประโยค สถานการณ์ก็ได้รับการบันทึกไว้อย่างชัดเจน
สิ่งสำคัญที่สุดคือรูปแบบอักษร ตลอดทั้งข้อความมีความสวยงามอ่านง่ายมาก
แค่มองก็ทำให้คนดูสบายตาแล้ว
มู่เหย่ก็อยากรู้เช่นกัน เมื่อเขาเห็นเจียงหว่านเขียนคำศัพท์มากมาย ชายหนุ่มก็เข้ามาดู
เพียงแวบเดียวเขาก็ตกใจ “ให้ตายเถอะ เธอเขียนได้ดีมาก!”
น้ำเสียงของเจียงหว่านแข็งกร้าว “ถ้านายไม่อยากมีปากอีก ฉันเย็บมันให้ได้นะ!”
“ฉันเก่งเรื่องเย็บปักถักร้อยอยู่แล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของมู่เหย่ก็ซีดลง เขาโบกมืออย่างร้อนรน ก่อนจะปิดปากแน่น
เพราะคำพูดของมู่เหย่ ทุกคนเลยเกิดความสงสัย จึงเข้าไปดู
ทุกคนดูแล้ว ก็ตกใจ
มีเพียงเฉียวเหลียนเฉิงเท่านั้นที่ไม่ได้อยากรู้อยากเห็น และดูภูมิใจมากโดยที่ไม่ต้องหันไปมอง
เขาเคยเห็นลายมือของเจียงหว่านมาก่อน และมันก็สวยงามมากจริง ๆ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไป๋อวี้ซิ่วก็ลองเข้ามาดูด้วย เมื่อเธอเห็นลายมือที่ประณีตและสง่างาม เธอก็กัดฟันด้วยความเกลียดชัง
อีกทั้งอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งหลี่หงเหมยในใจ
เมื่อไม่นานมานี้ หลี่หงเหมยบอกเธอว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่มีการศึกษาและเป็นแค่หญิงธรรมดา ๆ ในหมู่บ้าน
แต่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดาๆ จะเขียนลายมือสวยแบบนี้ได้เหรอ?
การเขียนตัวอักษรด้วยมือแบบนี้ ไม่สามารถเชี่ยวชาญได้หากไม่ได้ฝึกฝนมานานกว่าสิบปี
’ยัยป้านั่นรู้อะไรไม่จริงสักอย่าง! โง่จริง ๆ!’ ไป๋อวี้ซิ่วอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งหลี่หงเหมย
เจียงหว่านเขียนโครงร่างทั่วไปเสร็จแล้ว เธอจึงมองไปที่ไป๋อวี้ซิ่ว “พูดมาสิ!”
ไป๋อวี้ซิ่วอยากจะร้องไห้ออกมา แต่เมื่อเธอเห็นทุกคนจ้องมองด้วยสายตากระตือรือร้น เธอก็ยอมบอกเรื่องราวการสมรู้ร่วมคิดของเธอกับเถาจื่อ
เพียงแต่เธอบิดเบือนความจริงเล็กน้อย เพราะเดิมทีเธอคือคนไปหาเถาจื่อก่อน แต่ตอนนี้กลับบอกว่าเป็นเถาจื่อมาหาเธอก่อน
ตลอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไป๋อวี้ซิ่วพูดเหมือนตกเป็นเหยื่อ
“เธอบอกว่าถ้าฉันไม่ทำตามที่เธอบอก จะให้งูมากัดฉัน!”
“เธอบอกว่าสิ่งที่เธอนำมาคืองูเจ็ดดอก พิษของมันออกฤทธิ์เร็วมาก และแน่ใจได้เลยว่าถ้าฉันโดนกัด ฉันจะตายก่อนที่จะได้ขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ”
“ฉะ ฉันยังไม่อยากตายนี่!”
ไป๋อวี้ซิ่วร้องไห้ขณะพูดออกมา
ถึงวิธีการพูดแบบนี้จะทำให้ดูน่าสงสาร แต่น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้เจียงหว่านทุบตีเธอเหมือนหมูเหมือนหมาจนหน้าตาดูไม่ได้
ทุกคนจึงมองเธอด้วยสายตารังเกียจ
เจียงหว่านถามว่า “ทำไมเถาจื่อถึงให้ยากระตุ้นอารมณ์กับเธอ หล่อนต้องการจะใช้มันกับใคร”
ไป๋อวี้ซิ่วเหลือบมองเฉียวเหลียนเฉิง และเธอก็เห็นความรังเกียจและความดูถูกในสายตาของเขาอย่างชัดเจน
ไป๋อวี้ซิ่วไม่กล้าพูดว่าจะใช้กับเฉียวเหลียนเฉิง ดังนั้นเธอจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “จะใช้กับใครก็ได้ ยัยนั่นไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ใครเป็นพิเศษ”
“ฉันอยากทดสอบดู เลยใส่มันลงในโถน้ำตาล”
“ตอนนี้น้ำตาลมีราคาแพงมาก ฉันคิดว่าเสิ่นหรูเหมยจะเติมมันลงไปนิดหน่อยแค่นั้น ถ้าเติมน้อย ๆ อาการก็จะไม่หนักขนาดนี้”
“ฉันไม่คิดว่าหล่อนจะใส่เยอะ”
“และฉันก็ไม่ได้คิดว่าหมูป่าจะกินมัน!” เมื่อมาถึงจุดนี้ เธอมองไปที่เฉียวเหลียนเฉิงอย่างละอายใจ ก้มหน้าลง และไม่กล้าพูดอะไรต่อ
ภาพลักษณ์ของผู้สำนึกผิดที่ถูกบังคับให้ทำสิ่งเลวร้าย และมาเสียใจในภายหลังนั้น ถูกแสดงออกมาอย่างแนบเนียน
น่าเสียดาย เฉียวเหลียนเฉิงไม่ได้มองเธออย่างเห็นอกเห็นใจเลยสักนิด
หลังจากที่เจียงหว่านเขียนคำให้การทั้งหมดเสร็จแล้ว เธอก็ตรวจทานอยู่หลายครั้ง พอแน่ใจว่าถูกต้อง เธอก็ขอให้ทุกคนที่มาเป็นพยานร่วมลงนาม
พวกเขาทั้งหมดเป็นพยาน
ทุกคนทำตามที่เธอบอก แต่เมื่อถึงตาของมู่เหย่ เขารู้สึกขี้เกียจ จึงพูดว่า “แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่มีใครไม่เชื่อหรอกน่า!”
เจียงหว่านเลิกคิ้ว “นายก็เป็นพยานเหมือนกัน และนายยังเป็นพยานที่สำคัญที่สุดด้วย”
จากนั้นก็ไล่จี้เขา “เร็วเข้า!”
มู่เหย่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบปากกาขึ้นมา และเขียนชื่อของตนที่ด้านล่าง
คงจะเป็นเรื่องจริงที่นิสัยคนเราก็เหมือนกับตัวอักษรที่เราเขียน เพราะตัวอักษรคำว่า ‘มู่เหย่’ ที่เขียนเหมือนตะขอนั้นเต็มไปด้วยความฉวัดเฉวียนดื้อรั้น
เจียงหว่านเหลือบมอง “ลายมือสวยดี แต่ดูหรูหราไปหน่อยนะ”
มู่เหย่เชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว วัน ๆ ฉันไม่ได้ทำอะไรหรอกนอกจากฝึกเขียนสองคำนี้!”
เจียงหว่านบันทึกคำสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษรเสร็จแล้ว เธอก็หันไปโบกกระดาษต่อหน้าไป๋อวี้ซิ่ว
“เห็นไหม? นี่คือคำสารภาพของเธอ และฉันจะไปที่หมู่บ้านนายพรานทีหลัง!”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ส่งเธอเข้าคุกหรอก”
“แต่ถ้าเธอยังคงพูดเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับหลี่จ้วงจ้วงอีก ฉันรับประกันว่าคำสารภาพนี้จะไปอยู่บนโต๊ะของแผนกความมั่นคงกองทัพแน่!”
คำพูดของเจียงหว่านทำให้ทุกคนตกใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่จ้วงจ้วง เขามองเจียงหว่านด้วยดวงตาเบิกกว้าง และไม่อยากจะเชื่อ
“พี่สะใภ้ ผม…”
เพียงพูดออกมาไม่กี่คำ ดวงตาของหลี่จ้วงจ้วงก็แดงก่ำ
เจียงหว่านกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว นายแค่ทำพลาดไป และฉันจะไม่ปล่อยให้นายโดนทำลายอนาคตเพราะเรื่องหรอก”
“ในฐานะผู้ชาย ถ้าทำอะไรผิด ต้องกล้าพอที่จะรับผิดชอบ”
“แต่เราจะไม่ยอมรับในสิ่งที่เราไม่ได้ทำ!”
คำพูดของเจียงหว่านดังกึกก้องจนทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิม
ทั้งแววตาของหญิงสาวก็เป็นประกายสดใส
จนมู่เหย่ที่อยู่ด้านข้างถึงกับรู้สึกประหลาดใจ แม้ว่าปกติแล้วเขาจะคอยปากดีไปเรื่อย
แต่ในขณะนี้ กลับมีความชื่นชมแจ่มชัดในสายตา เมื่อเขามองไปที่เจียงหว่าน
มีบางความรู้สึกบางอย่างที่ค่อย ๆ เติบโตลึกภายในหัวใจของมู่เยว่ โดยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว
คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มู่เหย่พอจะเดาได้แล้ว
เดิมทีไป๋อวี้ซิ่วมาที่นี่เพราะเฉียวเหลียนเฉิง และต้องการใช้ยากระตุ้นอารมณ์กับเขา
ทว่าครั้งนี้เธอล้มเหลว และคำสารภาพในมือของเจียงหว่านก็เพียงพอจะทำให้เธอเข้าคุกได้
และด้วยวิธีนี้ ทุกอย่างที่ไป๋อวี้ซิ่วทำนับจากนี้จะไม่มีผลต่อเจียงหว่านอีกแล้ว
หรืออย่างน้อยก็ไม่สามารถออกมาสร้างความวุ่นวายได้ในช่วงระยะหนึ่ง!
แน่นอนว่าถ้าไป๋อวี้ซิ่วถูกส่งไปยังสถานีตำรวจแล้วประกันตัวไม่ได้ เธอคงจะตามกัดหลี่จ้วงจ้วงเหมือนหมาบ้า เพื่อหาคนมาหนุนหลัง
และแม้ว่าหลี่จ้วงจ้วงจะถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ แต่ก็ไม่มีพยานหรือหลักฐานรอบตัวเขาในเวลานั้นเลย
ดังนั้นไม่ว่าไป๋อวี้ซิ่วต้องการให้เรื่องเป็นแบบไหน เธอก็แค่เพียงพูดสร้างเรื่องออกมา!
และผลลัพธ์สุดท้าย หลี่จ้วงจ้วงก็จะโดนยึดเครื่องแบบ
ซึ่งหากเป็นแบบนั้น เจียงหว่านจะช่วยหลี่จ้วงจ้วงไว้ไม่ได้
ส่วนไป๋อวี้ซิ่วจะติดคุก เพราะดิ้นไม่หลุดจากหลักฐานเช่นกัน
แต่นี่เจียงหว่านยอมเสียโอกาสในการลากหัวอีกฝ่ายเข้าคุกโดยไม่ลังเล
นี่คือสิ่งที่มู่เหย่ชื่นชม
เจียงหว่านพาเสิ่นหรูเหมยออกจากบ้าน เอาเธอมานอนด้วยกัน และให้เฉียวเหลียนเฉิงไปนอนเบียดกับคนอื่น ๆ
พอตกกลางดึก เสิ่นหรูเหมยก็ตื่นขึ้นมา
เมื่อเธอลืมตาขึ้นและเห็นสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย เธอสับสนเล็กน้อย เมื่อลุกขึ้นนั่ง เธอก็เห็นเจียงหว่านที่กำลังงัวเงียตื่น
“พี่สะใภ้เฉียว ทำไมฉันถึงมานอนที่นี่ล่ะ”
เมื่อมองลงไป เธอพบว่าเสื้อผ้าบนร่างกายได้ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะอาด และร่างกายก็รู้สึกเหมือนถูกชำระล้างอะไร ๆ ออกไปแล้ว
เจียงหว่านไม่ได้พูดอะไร เพียงจุดตะเกียงขึ้นมา แล้วยื่นคำสารภาพของไป๋อวี้ซิ่วให้
เนื่องจากที่นี่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและไม่มีผู้อยู่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ จึงยังไม่มีไฟฟ้า ทำได้เพียงจุดตะเกียงเอาเท่านั้น
เสิ่นหรูเหมยรู้สึกสับสน และใบหน้าก็มืดมนลงหลังจากได้อ่าน
“ยัยสารเลวนั่น!” หญิงสาวที่สง่างามและอ่อนหวานโกรธจนตัวสั่น ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
เธอจำได้ไม่ชัดเจนว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ในตอนแรก พอเธอเห็นเฉียวเหลียนเฉิง เธอก็พยายามจะตะครุบเขา แต่ระหว่างทางกลับ เธอก็ตระหนักว่าทุกคนที่เป็นเพศตรงข้ามดูมีเสน่ห์ไปหมด
แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ที่หน้าประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปกอดมัน